9 ส.ค. 2021 เวลา 08:36 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกกึ่งนิยาย ตอนที่ 8
"Do you believe in True Love?"
หลวงพระบาง และการจากลา
03 มีนาคม 2545
หลวงพระบางวันที่ 3
ตื่นเช้าอย่างสดชื่น เพราะเมื่อคืนก่อนนอนจัดยาแก้เมารถไป หลับลึกหลับสนิทยาวนานจนรุ่งเช้า วันนี้พี่โยฮันชวนไปเที่ยวน้ำตกกวางสี ซึ่งอยู่ไกลออกไป ต้องเดินทางด้วยมอเตอร์ไซด์ พี่โยฮันรับหน้าที่จะไปเช่าเอง ส่วนฉันแวะไป Internet Cafe แล้วเดี๋ยวมาพบกันตอนสาย
ไม่มีอีเมล์จากสเตฟาน เข้าใจว่าอาจจะชื่นมื่นกับ “เธอ” อยู่ ส่วนแม๊ตตี้ส่งข่าวว่ากำลังเก็บของเตรียมเดินทางไปเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า หยอดท้ายอีเมล์ว่า อย่าคิดถึงเขาให้มากเกินไปล่ะ
1
ฉันนั่งนิ่งอยู่พักใหญ่หลังจากตอบอีเมล์กลับไป จำได้ว่าเราไม่ได้สัญญิง สัญญาอะไรกัน ไม่ได้ลงลึกถึงความรู้สึกภายในใจต่อกันอะไรแบบนั้น
ฉันควรรู้สึกผิดรึเปล่าที่ไม่ได้คิดถึงเขาอย่างที่เขาคาดหวัง แม๊ตตี้กำลังอยู่กับที่ แต่ฉันออกเดินทางแล้ว เรื่องราวใหม่ ๆ ผู้คนใหม่ ๆ ถูกบันทึกในสมุดของฉันแล้ว และเมื่อแม๊ตตี้เริ่มออกเดินทางอีกครั้งในไม่กี่วันข้างหน้า สมุดบันทึกของเขาก็คงเริ่มบันทึกเรื่องราวใหม่ ๆ ผู้คนใหม่ ๆ เช่นกัน
1
ฉันเขียนเล่าเรื่องราวระหว่างทางลงไปในเว็บบอร์ดกลุ่มที่มีเพื่อนห้าหกคนรออ่านอยู่ ในช่วงเวลาสิบกว่าวันฉันรู้สึกว่า ทัศนคติต่อการมองโลกของฉันกว้างขึ้นมาก
การเดินทางพบเจอเรื่องราวและผู้คน ทำให้ฉันหมกมุ่นกับเรื่องของตัวเองน้อยลง การพบ การได้มีช่วงเวลาดี ๆ ช่วงเวลาแย่ ๆ และการจากลา สร้างตัวตนใหม่ของฉันขึ้นมาแล้ว ฉันยังไม่มีเป้าหมายใหม่อะไรสำหรับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเป้าหมายเก่าที่ต้องการหลุดพ้นจากอาการอกหักช้ำรักมันบรรลุไปเรียบร้อยแล้ว ในตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน
1
ซึ่งการไม่มีเป้าหมายอะไรนี่แหละ คือความตื่นเต้นในทุก ๆ วันที่กำลังจะมาถึง ฉันไม่วางเป้าหมาย ทั้งไม่ได้วางแผนว่าจะไปที่ไหน จะอยู่นานเท่าไหร่ แต่ค่อย ๆ ใช้ชีวิตไปตามสถานการณ์ ค่อย ๆ เก็บเกี่ยวทุกอย่างใส่สมุดบันทึกชีวิตเอาไว้ ไปแบบไม่รีบ สบายใจก็อยู่ เริ่มร้อนใจก็ไปต่อ .... เพื่อนคนนึงอ่านแล้วตอบกลับมาว่า
“มึงรีบไปต่อเถอะ อย่าให้ผู้ชายมาหยุดมึงไว้”
2
ฉันกลับมายังที่พักตามเวลานัด เนื่องจากเรารู้กันมาว่า เส้นทางที่ไปนั้นเป็นถนนดินแดงไม่ใช่ถนนราดยาง พี่โยฮันจึงพิถึพิถันกับการเลือกรถอยู่นาน แต่เมื่อฉันได้เห็นรถก็ส่งสายตาถามไปว่า นี่เลือกแล้ว? พี่โยฮันยักไหล่ตามเคย คล้ายจะตอบประมาณว่า ดีที่สุดที่หาได้
ระยะทางไม่ใช่ใกล้ แต่สองข้างทางสดชื่นมาก พี่โยฮันสนุกกับการขี่หลบหลุม หลบหินก้อนใหญ่ และบีบแตรไล่ฝูงเป็ด ฝูงไก่เป็นระยะ แต่เมื่อเจอฝูงวัว เราก็หยุดรอไกล ๆ ด้วยความเคารพ
1
ถึงน้ำตกก็เจอฝรั่งเล่นน้ำกันอยู่ไม่น้อย มีคนนึงบอกพวกเราว่า สามารถขึ้นไปชั้นบน ๆ ได้อีกหลายชั้นนะ มันจะมีชั้นที่กระโดดได้ เรามองฝูงฝรั่งที่แช่น้ำกันอยู่มากหน้าหลายตา แล้วมองหน้ากัน ต่างพยักหน้าให้โดยไม่ได้พูดอะไร
แล้วมุ่งหน้าค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปยังชั้นน้ำตกด้านบนอันสูงชัน ระหว่างนั้นฉันได้ยินเสียงหอบพี่โยฮันดังขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดฉันก็ทนไม่ได้หัวเราะออกมา ถามว่าพอแค่ชั้นนี้ดีมั้ย พี่แกกัดฟันตอบออกมาว่า โน โน ไปต่อ ไปอีก ขึ้นไปจนสุดกัน
เราผ่านน้ำตกมาสองชั้น ซึ่งคนเริ่มบางตา ก็ขึ้นไปต่อจนถึงชั้นที่ไม่มีคนเลย น้ำตกที่ร่วงหล่นลงมาเป็นสาย ใสไหลรินรวมตัวกันเป็นสีเขียวอ่อนที่แอ่งด้านล่าง ความเหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว ความร้อนอบอ้าวที่ไร้ลม พี่โยฮันถอดเสื้อผ้าออกเหลือกางเกงในตัวเดียวเดินลุยลงไปที่น้ำตก
ฉันในตอนนั้นไม่ได้ตะลึงกับกางเกงในตัวเดียวของพี่เขา แต่เพิ่งได้มีโอกาสเห็นหลังทั้งแผ่นของพี่โยฮันที่มีลายสักของรูปมังกรตัวใหญ่กินผืนที่เต็มบริเวณ ใจที่พยายามแข็งมาตั้งแต่เมื่อวาน ก็เริ่มอ่อนรวยริน
1
อ่อยยย!! ผู้ชายลุคแบ๊ดบอยพร้อมรอยสักมังกร ใจดี อบอุ่น ขี่มอร์ไซด์คล่อง เล่นกีตาร์เป็น นี่มันสเป็คในฝันชัด ๆ .... ตื่น!! ตื่น!! ฉันเตือนตัวเอง ก่อนจะวิ่งตามลงไปเล่นน้ำกับพี่โยฮัน ดำผุดดำว่ายกันจนสาแก่ใจ ก็หาทางไต่กลับลงไป
เราจำทางลงกันไม่ค่อยได้ว่าลงทางไหน แต่ดูเอาทางที่พอไต่ลงได้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งน่าจะเลือกทางผิด เพราะยิ่งลงทางยิ่งชัน จนสุดท้ายทางชันแบบตั้งฉาก มีเพียงท่อเหล็กอยู่ท่อนึงที่พออาศัยจับพยุงตัวไต่ลงไปได้ พี่โยฮันบอกว่าเดี๋ยวจะลงไปทดสอบดูก่อน
แกก็ค่อย ๆ ยักแย่ยักยันลงไป พอกระโดดตุ่บลงที่พื้น แกบอกว่าไปหาทางอื่นดีกว่า อันนี้ยากเกินไป แล้วทำท่าจะไต่กลับขึ้นมาใหม่ เอ้า!! ถ้าพี่ลงได้ น้องก็ลงได้สิ ว่าแล้วฉันก็ไต่ลงไปบ้าง มันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป ระหว่างนั้นพี่โยฮันก็ทั้งลุ้นและสบถต่อว่าฉันไม่หยุด แกบอกว่ามันอันตราย และฉันคือ Stupid Stupid Stupid girl ซึ่งทำไมฉันถึงฟังไปยิ้มไปได้ก็ไม่รู้
เราลงมาถึงข้างล่างด้วยความมะล่อกมะแล่ก เหงื่อโทรมกายอีกครั้ง เสื้อผ้าที่เปียกตอนนี้หมาดจนเกือบแห้ง พี่โยฮันชวนเล่นน้ำอีกรอบก่อนกลับ แข่งกันดำน้ำ แข่งกันว่ายน้ำ ตีน้ำสาดน้ำกันอย่างรุนแรงแบบไม่มีใครยอมใคร และถึงตอนนี้ฉันก็เริ่มจะดึงใจตัวเองไว้ไม่อยู่แล้วนะ ใครก็ได้ช่วยที
1
หนุ่มสาวขี่รถกลับมาถึงหลวงพระบางในช่วงเย็น ยังมีเวลาเหลือก่อนที่จะคืนรถ พี่โยฮันเลยขี่พาไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ริมแม่น้ำโขงทดแทนที่เมื่อวานฉันพลาดไป
เราเดินเลาะเรียบริมแม่น้ำรอช่วงเวลาที่สวยงามของวัน พี่โยฮันเล่าถึงชีวิตของเค้าให้ฟังว่า ชีวิตก่อนหน้านั้นเละเทะไม่มีชิ้นดี เล่นดนตรีและเล่นยา เพิ่งจะมาเข้าที่เข้าทางได้เมื่อไม่นานเท่าไหร่นี้เอง ก็ตั้งใจทำงานเก็บเงินแล้วขายรถขายบ้าน เพื่อจะออกเดินทางไปมันเรื่อย ๆ ยังไม่ได้วางแผนอะไร
พระอาทิตย์กำลังจะลับเชิงเขา ท้องฟ้าเปลี่ยนหลายสีในหนึ่งนาที แม่น้ำโขงดั่งไม่ใช่แม่น้ำสายเดิมที่เคยเห็นตลอดสองสามวัน มันสวยอย่างที่ฉันจินตนาการไว้จริง ๆ พี่โยฮันโอบไหล่แล้วส่งยิ้มให้ ฉันสบตายิ้มตอบกลับไปแล้วก็พูดว่า พรุ่งนี้ฉันจะเดินทางต่อไปวังเวียงแล้วนะ พี่โยฮันชะงักนิดนึงแล้วตอบกลับแสนเบา ... It’s time.
1
04 มีนาคม 2545
หลวงพระบาง - วันสุดท้าย
ฉันตื่นตั้งแต่ตีห้า เพื่อจะออกไปเก็บภาพการตักบาตรยามเช้า พี่โยฮันนอนต่อแต่ฝากกล้องมาด้วย ซึ่งควรจะเป็นอีกเช้าที่สดใส ฉันยืนรอตรงเส้นทางที่พระจะเดิน สักพักวิกตอเรียเพื่อนในกลุ่มของน้องไมเคิลก็เข้ามาทัก
ยังไม่ทันจะคุยอะไรกันเป็นชิ้นเป็นอัน พระเอกของเราอีไมเคิลก็เดินยิ้มร่าเข้ามา ถ้าเป็นพล็อตหนังไทย ไมเคิลต้องเป็นพระเอกแน่นอน เพราะนางเอก(ซึ่งก็คือฉัน) แสนจะเหม็นขี้หน้าและไม่อยากคบหาสมาคมด้วย แต่ก็มีอันให้ได้พบกันอยู่ร่ำไป
ฉันขอตัวเดินแยกออกมา เพราะไม่อยากจะเป็นนางเอกในละคร ได้พบกับน้องสาวชาวลาวหน้าตาจิ้มลิ้มแต่งชุดสวยที่เดินสวนมา ไถ่ถามได้ความว่าพระจะมาถึงประมาณหกโมงครึ่ง ตอนนี้กำลังจะเดินไปทำงานที่โรงแรมสันติ อยู่สุดถนนพอดี
“คุณพี่เดินไปกับน้องก็ได้ค่ะ” เธอว่าอย่างนั้น เราคุยกันเรื่อยเปื่อยและอำลาเมื่อถึงหน้าทางเข้าโรงแรม น้องทิ้งท้ายว่า “ถ้าคุณพี่ขัดข้องอะไรระหว่างอยู่ที่นี่ เข้าไปหาน้องได้นะคะ“
ฉันเก็บภาพแทบไม่ได้เลยเพราะแสงไม่พอ และลืมหยิบขาตั้งกล้องมา เจอฝรั่งเสื้อแดงยืนรอใส่บาตรพระเหมือนกัน เรามองกันไปมาแต่ไม่ได้พูดกัน เมื่อใส่บาตรเสร็จฉันก็เดินไปร้านหนังสือกึ่งคาเฟ่ เพื่อนั่งละเลียดอาหารเช้า พี่ฝรั่งเสื้อแดงเดินตามมา เค้าทำมือเป็นท่าถ่ายรูปเหมือนจะถามว่าถ่ายรูปเสร็จแล้วเหรอ ฉันพยักหน้าและชวนมานั่งกินอาหารเช้าด้วยกัน
Christof มาจากฝรั่งเศส เราคุยกันถูกคอเพราะมีอาการเดียวกันคือ Slow down or Shut up อาการฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยทันเหมือนกันนั่นเอง เราค่อย ๆ คุยกันเรื่องอาหาร การเดินทาง หนังสือ ภาพยนต์
Christof ถามฉันว่าชอบหลวงพระบางมั้ย และก็ต้องแปลกใจเมื่อฉันบอกว่า ชอบมากแต่วันนี้ฉันจะไปวังเวียงล่ะนะ “ชอบมากก็อยู่ต่อสิ เที่ยวหมดแล้วเหรอ”
“อืมม It seem too good to be true ทุกอย่างมันดูดีไปหมด ฉันว่าฉันไปดีกว่า” แล้วฉันก็เล่าให้เขาฟังว่า ฉันเริ่มเดินทางเพราะอะไร และตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกดีขนาดไหนที่มีพี่โยฮันเป็นบัดดี้
เล่าแค่นี้ Christof ก็เข้าใจทันที สนับสนุนฉันว่า รีบไปเถอะ สถานการณ์เริ่มแย่จริง ๆ โมเม้นท์พวกนี้ของเหล่านักเดินทางมันเป็นเหมือนกับดัก ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี เราอาจจะตกลงไปบาดเจ็บได้
ทีแรกฉันเกือบจะไม่ได้ถามชื่อเขา เพราะบ่อยครั้งที่ถามแล้วก็จำกันไม่ได้ เพราะเจอกันแป๊บเดียวบ้าง และเวลาคุยกันก็ใช้สรรพนาม ไอ ๆ ยู ๆ ตลอดเวลาบ้าง ฉันก็บอกความคิดนี้ออกไป เขาก็ยอมรับว่าเป็นเหมือนกัน แต่เขาคิดว่าเราอาจจะได้เจอกันอีกสักแห่งระหว่างทางดังนั้นโปรดจำชื่อเค้าไว้ด้วย และเขาจะจดชื่อฉันไว้เช่นกัน
กลับมาถึงที่พัก เป้ใบใหญ่ถูกแพ็คไว้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืน พี่โยฮันตื่นแล้วนั่งเกากีตาร์ส่งเสียงใสกังวานอยู่ที่ม้าหิน ชั้นหย่อนตัวเองลงตรงข้าม นั่งมองนิ้วยาว ๆ ที่กำลังพริ้วไหวอยู่เงียบ ๆ สักพักพี่โยฮันก็หยุดเล่น ถอนหายใจ แล้วก็ยิ้ม
ฉันอยากจะพูดอะไรมากมาย อยากขอบคุณไปหมดทุกอย่าง นี่คือการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกของฉัน แถมยังเป็นการเดินทางคนเดียวอีก แต่พี่โยฮันทำให้ความกลัวทุกอย่างหายไปหมด พี่โยฮันทำให้ฉันสบายใจ คอยแนะนำสารพัดเทคนิคเอาตัวรอดระหว่างทางหลายเรื่อง คอยให้กำลังใจเรื่องภาษา ประคับประคองความรู้สึก เป็นเพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน เพื่อนดื่ม ให้ทั้งที่ว่าง ให้ทั้งความอบอุ่น
เฮ้ย!! Too good to be true จริง ๆ นั่นแหละ!! ฉันคิดถูกแล้วที่ต้องไปต่อ!
พี่โยฮันเห็นฉันยังนั่งอยู่เงียบ ๆ ก็วางกีต้าร์แล้วลุกขึ้นยืน พยักหน้าเรียกฉันเข้าไป เรายืนกอดกันอยู่อย่างนั้นนิ่งนาน ฉันอยากพูดแต่ก็ไม่ได้พูด พี่โยฮันก็คงอยากพูดแต่ก็ไม่ได้พูด ฉันว่าฉันต้องร้องไห้แน่ ๆ ถ้าพูดอะไรออกไป แถมจะทำให้ก้าวขาจากไปไม่ได้อีกต่างหาก
1
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ มี E-book นะคะ
👇
โฆษณา