10 ส.ค. 2021 เวลา 11:23 • นิยาย เรื่องสั้น
บันทึกการเดินทางกึ่งนิยาย ตอนที่ 9
"Do you believe in True Love?"
- สวัสดีวังเวียง -
04 มีนาคม 2545
- สวัสดีวังเวียง -
1
การเดินทางจากหลวงพระบางไปวังเวียง ใช้เวลาทั้งหมด 7 ชั่วโมงโดยรถบัสขนาดกลาง ลักษณะก็เหมือนรถบัสวิ่งข้ามจังหวัดของบ้านเรา สภาพกลางเก่ากลางใหม่ค่อนไปทางเก่า
ฉันมาถึงตอนที่เหลือแค่ที่นั่งยาวด้านหลังสองที่ เมื่อฉันหย่อนตัวลงไป อ้ายคนลาวก็เอาเก้าอี้พลาสติกตัวเล็ก ๆ เหมือนเก้าอี้นั่งซักผ้าสมัยก่อนมาวางเรียงไว้สองสามตัวตรงพื้นที่ว่าง ฉันสงสัยมากว่า จะให้ผู้โดยสารนั่งอีเก้าอี้ตัวนี้ไป 7 ชั่วโมงจริง ๆ เหรอ
สักพักจึงได้เห็นผู้โชคดีเป็นหญิงฝรั่งร่างยักษ์ ฉันประมาณน้ำหนักตัวเธอไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ มันมากกว่าฉันสองคนรวมกัน เธอส่งยิ้มทักทายผู้คนไปรอบ ๆ
เมื่อรถออกไปสักพัก ฝรั่งหนุ่มที่นั่งข้างหน้าฉันก็ถามเธอว่า แลกที่นั่งกันมั้ย เธอปัดไม้ปัดมือพันลวัน โน โน โน ฉันนั่งได้สบายมาก รถบัสพาเราลัดเลาะเส้นทางอันคดเคี้ยวขรุขระไปอย่างไม่เร่งรีบ ฉันจึงพอเข้าใจว่าทำไมถึงใช้เวลานานร่วม 7 ชั่วโมง
รถแวะจอดกลางทางในจุดที่ไร้อาคารบ้านเรือน มีต้นไม้กระจายอยู่หลายต้น และทุ่งหญ้าที่ไร้ผู้คน อ้ายชาวลาวตะโกนขึ้นว่า Toilet!! ไม่ต้องอธิบายกันมากความ ทั้งหัวดำ หัวทองก็วิ่งหาจุดกำบังซ่อนเร้นทำธุระส่วนตัวของใครของมัน
เมื่อรถเคลื่อนตัวอีกครั้ง น้องหนุ่มก็เอ่ยถามหญิงร่างยักษ์อีกครั้งเพื่อให้เปลี่ยนที่นั่งกัน ซึ่งเธอยังคงใจแข็งนั่งกระเด้งกระดอน และผ่านโค้งมาอีกสามสิบโค้งเห็นจะได้ เธอจึงใจอ่อนเมื่อ หนุ่มยังคงยึดมั่นสอบถามเธออีกครั้ง
ความประทับใจของฉันเกิดขึ้นเมื่อผู้ชายฝรั่งหลายคนในรถผลัดกันแลกที่นั่งตรงนี้ตลอดระยะเวลา 5 ชั่วโมง ทุกคนทำเหมือนว่าการนั่งเก้าอี้จิ๋วแสนลำบากนี้เป็นเรื่องน่าสนุกและต่างอยากจะทดลองนั่งและแบ่งปันให้คนอื่นได้ลองบ้าง เกมส์เก้าอี้ดนตรีถูกเล่นกันไม่หยุดจนมาถึงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
1
อ้ายคนขับจอดรถข้างร้านค้ากึ่งร้านอาหาร มีโต๊ะไม้ยาวตีง่าย ๆ อยู่สามสี่โต๊ะ เก้าอี้ยาวขนาบข้าง อ้ายส่งเสียงบอกว่าจอดนานหน่อย ให้พักกินอาหารและเข้าห้องน้ำ(จริง)
ฉันเดินตรงลงไปที่หน้าตู้กระจกและเตาทำอาหาร สั่งมาม่าผัดมากิน แล้วเมื่อหลายคนเห็นอาหารของฉันมาเสิร์ฟตรงหน้า ก็ส่งเสียงเซ็งแซ่ว่ามันคืออะไร สั่งยังไง ไม่เอาเนื้อสัตว์ได้มั้ย ฉันจึงแปลงร่างเป็นเด็กเสิร์ฟของร้าน รับและจดรายการส่งต่อไปยังเอื้อยผู้ปรุงอาหาร
2
กินเสร็จแล้วแต่ยังไม่เห็นอ้ายคนขับ ทุกคนจึงยืนเตร็จเตร่กันอยู่แถว ๆ ท้ายรถ หนุ่มหัวทองคนหนึ่งยื่นซองบุหรี่ให้ ฉันสั่นหัว มองไปทั่ว ๆ ก็เห็นฝรั่งเกือบทุกคนมีบุหรี่ในมือ ท่าทางพ่นควันและผ่อนคลาย ก็ทำให้ฉันอดคิดถึงพี่โยฮันไม่ได้
บุหรี่ของพี่เค้าไม่ใช่บุหรี่สำเร็จ แต่เป็นแบบม้วนเอง ฉันก็ได้รับการถ่ายทอดและคำอธิบายจากพี่โยฮันนี่แหละว่า บุหรี่ที่ม้วนเองจะเผาไหม้ช้ากว่า และให้รสชาตดีกว่าบุหรี่สำเร็จ
เมื่อรถจอดที่ท่ารถวังเวียง ขบวนตุ๊ก ๆ จอดเรียงราย เหล่าพลขับก็รุมล้อมนักท่องเที่ยวที่เพิ่งลงจากรถ และส่งเสียงเซ็งแซ่ แต่เหล่านักแบกเป้หาข้อมูลมาดีว่าบริเวณที่พักอยู่ถัดไปจากท่ารถแบบเดินไปไหว จึงพากันเอาเป้ขึ้นหลังแล้วเดินจากไปกันเป็นสาย
เมื่อมาถึงทางแยกกลุ่มนึงเดินไปทางขวา อีกกลุ่มเดินไปทางซ้าย ฉันตัดสินใจไปทางซ้ายเพราะอยู่ ๆ ก็มีประโยคนึงผุดขึ้นว่า “ขวาร้าย ซ้ายดี” แล้วฉันก็ดันเชื่อ
1
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเลี้ยวไปทางขวา จะเจอที่พักให้เลือกเยอะกว่าราคาถูกกว่าและเป็นโซนที่มีร้านอาหารอยู่คับคั่ง แต่ใช่ว่าโชคดีจะไม่อยู่ข้างฉัน เพราะตอนที่ฉันกำลังเดินหาที่พักอยู่นั้นก็ได้เจอกับจอห์น คนที่เคยไปยืนดูคุณลุงเล่นขิมด้วยกันที่หลวงพระบางวันก่อน
จอห์นเดินมากัยไอยร่า หญิงสาวชาวอิสราเอล เมื่อรู้ว่าฉันเพิ่งมาถึงและยังไม่มีที่พัก ไอยร่าก็ชวนแชร์ห้องด้วยกัน เธอจ่ายอยู่คืนละ $4 ถ้าฉันแชร์ด้วยก็เหลือแค่ $2 ซึ่งก็ประมาณ 100 บาทไทย มีห้องน้ำในตัวน้ำอุ่นพร้อม ฉันตกลงทันที ไอยร่าพาไปที่ห้องแล้วก็ทิ้งฉันไว้ลำพัง หลังจากอาบน้ำเสร็จท้องฟ้าก็มืดแล้ว ฉันเดินออกไปสำรวจวังเวียงและหาอะไรกิน
เมืองวังเวียงเล็กกว่าหลวงพระบางมาก เต็มไปด้วยฝรั่งคับคั่งและร้านอาหารมากมายเรียงติดกัน ทุกร้านมีลักษณะคล้ายกันไปหมดทั้งการตั้งโต๊ะ และบรรยากาศ เกือบทุกร้านมีทีวีจอใหญ่อยู่ด้านใน เปิดภาพยนต์รันไปเรื่อย ๆ ทุกร้านคนแน่น แต่ทุกคนนั่งจ้องทีวีเหมือนผีดิบ ฉันเลือกร้านที่พอมีที่ว่างและสั่งสปาเก็ตตี้เนื้อสับมากิน เสร็จก็เดินกลับที่พัก ไม่มีโอกาสหาเพื่อน เพราะฝรั่งทุกคนละแวกนั้นกลายเป็นผีดิบไปหมดแล้ว
ขากลับฉันเพิ่งเห็นว่าหน้าปากซอยที่พักมีร้านอาหารเงียบ ๆ อยู่ร้านนึง ชายผิวดำร่างใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดและโพกหัวด้วยผ้าสีแสบไม่แพ้กันนั่งจิบเบียร์อยู่คนเดียว ส่งเสียงทักฉันว่า “สบายดี” ฉันซึ่งกำลังเซ็งจากแคว้นผีดิบ ก็เดินเข้าไปนั่งคุยกับพี่เขาง่าย ๆ เมื่อพี่กวักมือเรียก
พี่เดวิดมาจากแอลเอ พูดภาษาอังกฤษไม่ช้าไม่เร็ว แต่ฉันฟังสบายหู แถมอัธยาศัยไมตรีดีจนล้นหลาม ฉันนั่งฟังพี่เดวิดเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่เป็นนาน ไล่ไปตั้งแต่ประวัตศาสตร์ ศาสนา ธรรมชาติ ความรัก ความเชื่อ
สักพักก็มีผู้คนทยอยเดินเข้าร้านมาทีละคนสองคน แล้วก็มานั่งรวมกลุ่มกัน ถึงแม้ฉันแทบจะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองบื้อใบ้ เพราะฉันฟังเข้าใจเกือบทั้งหมดทั้งเวลาพี่เดวิดพูด หรือคนอื่น ๆ ร่วมออกความเห็น
ทันใดนั้นเองฉันก็คิดถึงพี่โยฮันจับใจ อยากให้อยู่ตรงนี้ด้วยกันจัง ...
หยุด!! หยุดเลย!! ฉันรีบเตือนตัวเอง ปัดอารมณ์อ่อนไหว โรแมนติกต่าง ๆ ออกไปให้หมด พยายามดึงสติ กลับเข้าสู่การสนทนาแลกเปลี่ยนอีกครั้ง พักนึงจอห์นและไอยร่าก็มาร่วมวง เราสังสรรค์กันจนเกือบเที่ยงคืนก็แยกย้าย ฉันเดินกลับพร้อมไอยร่า แหงนหน้ามองขึ้นฟ้าแต่หาพระจันทร์ไม่เจอ
5 มีนาคม 2545
วังเวียง, ประเทศลาว
เช้านี้ถูกปลุกด้วยเสียงไอถี่ ๆ ของไอยร่า ฉันเลยยื่นยาละลายเสมหะให้ไปลอง เธอถามว่าฉันมีแพลนไปไหน ฉันบอกว่าไม่รู้เลยไม่มีข้อมูลอะไรของวังเวียงทั้งนั้นขอเดินวน ๆ ดูเมืองก่อน
เธอแนะนำให้เช่าจักรยานขี่ไปเที่ยวถ้ำจัง ฉันจดข้อมูลและถามรายละเอียดอื่น ๆ เพิ่มเติม เราแยกย้ายกันไปคนละทางในตอนสาย ก่อนจะไปเช่าจักรยานฉันก็แวะเข้า Internet Cafe ส่งข่าวขึ้นเว็บบอร์ด ได้รับอีเมล์จากสเตฟานซึ่งยังมีอาการเวิ่นเว้อเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกำลังจะเดินทางไปกัมพูชา
1
ส่วนแม๊ตตี้ตอนนี้ถึงเมืองย่างกุ้งแล้ว และดูเหมือนว่าจะหาเน็ตใช้ได้ลำบาก ฉันชั่งใจอยู่สักพักว่าจะส่งอีเมล์หาพี่โยฮันดีหรือไม่ แต่แล้วก็ตัดใจไม่ส่งดีกว่า
เมื่อจ่ายค่าเช่าจักรยานแปดพันกีบ และขอแผนที่จากที่ร้านเพื่อไปยังถ้ำจังแล้ว คิดยังไงไม่รู้ปั่นกลับไปที่พักคว้าเปลสนามติดมือไปด้วย ฉันชอบเปลสนามหลังนี้เพราะเบามาก ตัวเปลเป็นผ้าร่มสองชั้นขนาดกว้าง ซึ่งฉันมักจะติดกระเป๋าเวลาไปเที่ยวป่าเที่ยวเขาเป็นประจำมันกินพื้นที่ในกระเป๋าไม่มาก น้ำหนักก็ไม่เยอะ แต่มีประโยชน์แฝงยามฉุกเฉินหลายอย่าง จะใช้ปูพื้น ให้ห่ม ใช้กันฝนพรำ แต่ที่แน่ ๆ ใช้ผูกนอนสบายเป็นที่สุด
ถ้ำจังอยู่ห่างจากตัวเมืองวังเวียงไม่มาก ถือว่าเป็นถ้ำที่น่าจะอยู่ใกล้ที่สุดแล้ว จักรยานแม่บ้านกับทางลูกรังดูเหมือนว่าจะลำบาก แต่ฉันกลับรู้สึกสบายใจดี
นี่น่าจะเป็นช่วงเวลาแรก ๆ เลยที่ฉันได้ทบทวนตัวเองจริงจังนับตั้งแต่ออกเดินทาง ฉันแทบจะนึกถึงตัวเองคนเก่าที่เศร้า เหงา และกลัวไม่ออกแล้ว ตอนนี้ความรู้สึกมันกลมกลืนไปกับเหล่า Backpacker ไปหมด ทำแบบนั้น คิดแบบนั้น เดินทางแบบนั้น กินแบบนั้น นอนแบบนั้น ได้อย่างไม่ขัดเขิน
1
ฉันรู้สึกถึงอิสระที่มีมากมายอยู่ในมือ มันเป็นอิสระที่เกิดจากการไม่ต้องวางแผนอะไร จะไปช้าไปเร็ว จะไปหรือไม่ไปก็ตัดสินใจได้เลยตามสถาการณ์เฉพาะหน้า ฉันไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อน รู้สึกเหมือนเป็นอลิซที่ได้พบกับดินแดนมหัศจรรย์ในใจ
ถ้ำจังเก็บค่าเข้าหนึ่งพันห้าร้อยกีบซึ่งไม่ใช่ปัญหา แต่ฉันผู้ซึ่งในบางครั้งก็ขี้เกียจสิ้นดี ตัดสินใจผูกเปลอยู่ใกล้ ๆ ลำธารมากกว่าที่จะปีนบันไดสูงร้อยกว่าขั้นเพื่อเข้าไปชมถ้ำหินงอกหินย้อย ลำธารน้ำใสแจ๋วแต่มองไกล ๆ จะเป็นสีเขียวอ่อน
เห็นฝรั่งลงไปว่ายเล่นอยู่สองสามคนก็หมายตาเอาไว้ว่า ไว้บ่าย ๆ อากาศร้อนกว่านี้จะลงไปเล่นบ้าง ดีที่ไอยร่าบอกไว้แล้วเลยเตรียมขาสั้นกับผ้าถุงติดมาด้วย ตอนที่ผูกเปลเสร็จและกำลังทดสอบความแข็งแรงของเปลอยู่นั้น อ้ายลาวถืออุปกรณ์ว่ายน้ำกำลังจะเดินผ่าน ก็หยุดแวะคุยถามฉันว่า “จะนอนเหรอ”
อ้ายลาวมีแว่นตาดำน้ำขนาดใหญ่ และตีนกบ กระโดดตูมลงไปดำผุดดำว่ายอยู่พักใหญ่ ก็กลับขึ้นมานั่งคุยต่อ ฉันไม่ทันตั้งตัวโดนยิงคำถามเป็นชุด ๆ จนแทบจะรู้จักโคตรเหง้ากันอยู่แล้ว
แต่พอฉันถามว่าอ้ายลงไปว่ายทำอะไร หาสมบัติเหรอ มันจะมีเหรอน้ำก็ไหลแรงออกอย่างนั้น จุดที่อ้ายแกลงไปงมของเป็นจุดที่น้ำไหลออกมาจากถ้ำ และเป็นทางแคบต่างระดับ น้ำจึงไหลแรง อ้ายอมยิ้มแต่ไม่ยักกะให้คำตอบเป็นชิ้นเป็นอัน
ฉันใช้เวลาอยู่ที่บริเวณถ้ำจังอยู่จนถึงบ่ายแก่ หมดเวลาไปกับการนอนเล่น พูดคุย อ่านหนังสือ วาดรูป เขียนโปสการ์ด แต่ไม่ยอมปีนขึ้นไปเข้าถ้ำ พอกลับมาถึงที่พักเจอโน๊ตที่ไอยร่าเขียนแปะไว้ว่า ตัดสินใจเดินทางไปต่อกระทันหันจ่ายค่าที่พักเรียบร้อยแล้ว
เอารถจักรยานไปคืนเสร็จแล้วก็เดินเล่นสำรวจเมืองไปเรื่อย ๆ เจอสนามวอลเล่ย์บอลที่มีบรรยากาศประหลาดมากจนถึงกับต้องหยุดนั่งดู
นี่เป็นสนามวอลเล่ย์ของชุมชนชาวลาวอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้คนในสนามมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งเด็กวัยรุ่น และป้าวัยกลางคน แต่ก็หลุดมีฝรั่งตัวสูงโย่งปรี๊ดผสมอยู่ด้วยคนหนึ่ง
นอกจากความหลากหลายที่ไม่ได้มีการแบ่งประเภทของทีมแข่งขันอย่างชัดเจนแล้ว มันดูเหมือนว่าใครอยากเข้ามาเล่นก็มา ใครพอใจจะหยุดเล่นก็เดินออกมาขี่มอเตอร์ไซด์ลับหายไป
พี่ฝรั่งโย่งมองมาที่ฉันหลายครั้ง ในที่สุดก็ตะโกนถามว่า
“เล่นด้วยกันมั้ย”
“ไม่”
“Sure?”
“Sure!”
แต่ฉันก็ยังคงปักหลักชมเกมส์การเล่นที่แสนประหลาดนั้นต่อไป
พักใหญ่ ๆ พี่ฝรั่งโย่งก็อำลาสนามแล้วเดินมานั่งลงใกล้ ๆ แนะนำตัวว่าชื่อ Ben เป็นคนฝรั่งเศส อายุเท่า ๆ กันกับฉันนี่แหละ แกเล่าว่าสนามวอลเล่ย์นี้เป็นสนามการค้าเล่นกินตังค์กัน ยังไม่ทันถามว่ากติกามันเป็นยังไงกันแน่ ก็ดูเหมือนนักกีฬาเริ่มจะมีปากเสียงกันแล้ว ฉันกับเบนมองหน้ากันแล้วรีบปลีกตัวออกมา
เบนบอกว่ารู้จักร้านริมแม่น้ำอยู่ร้านนึงหลังตลาด คนไม่พลุกพล่านและบรรยากาศดี ไปกินข้าวเย็นที่นั่นกันมั้ย ฉันตอบตกลงอย่างว่าง่ายและก็ตัดสินใจไม่ผิด เพราะเบนเป็นเพื่อนคุยที่ดีมาก
ข้อนึงคือเบนเป็นคนฝรั่งเศสที่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าคนประเทศนี้พูดภาษาอังกฤษแบบฟังง่ายไม่ซับซ้อน อีกข้อนึงก็คือเบนชอบไปเที่ยวในซอกหลืบที่ไม่ค่อยมี “ฝรั่ง” เบนเน้นคำว่า “ฝรั่ง” เป็นภาษาไทยเพื่ออวดความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาไทยของเขา
1
ต่อจากนั้นเราก็ผลัดกันอวดเรื่องความโชคดีระหว่างเดินทาง เบนเล่าถึงเมื่อคราวที่เช่ามอเตอร์ไซด์กับเพื่อนลุยไปตามหมู่บ้านชาวเขาต่าง ๆ ที่ไทย หลายครั้งที่ชาวบ้านให้ที่พักพวกเขาฟรี ๆ ตอนที่หาที่พักไม่ได้ แล้วเขาก็ถามฉันว่ามีโชคดีอะไรจะมาแชร์บ้างรึเปล่า พอฉันเล่าเรื่องพาสปอร์ตให้ฟัง เบนก็ยกตำแหน่งผู้ชนะให้ฉันอย่างขาวสะอาด เขาบอกว่านึกไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าระหว่างเดินทางแล้วพาสปอร์ตหายจะวุ่นวายขนาดไหน
1
คืนนั้นฉันกับเบนนั่งคุยแกล้มเบียร์ลาวกันถึงห้าทุ่ม ก็ร่ำลาพร้อมเวลานัดหมายใหม่เก้าโมงเช้าของวันพรุ่งนี้เพื่อไปขี่มอร์เตอร์ไซด์เล่นกัน ใกล้จะถึงที่พัก มองเข้าไปยังร้านอาหารหน้าปากซอย มองเห็นพี่เดวิดจับกลุ่มคุยกับผู้คนเช่นเคย
ฉันได้แค่โบกมือทักทายเพราะดึกเกินกว่าจะเข้าไปร่วมวง คืนนั้นหลับไปด้วยความกังวลของค่าที่พัก $4 เพราะไม่มีคนช่วยหารแล้ว
ขี้เกียจรออ่านเป็นตอน ๆ มี E-book นะคะ 👇
โฆษณา