16 ส.ค. 2021 เวลา 15:01 • ปรัชญา
"นิพพาน ... ต่อหน้าต่อตา"
"... ภาวนาทุกวัน ๆ เรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ตรงนี้
แล้วชีวิตมันจะดีขึ้น อย่างน้อยมันก็ไม่เลวลง
ความดีทั้งหลายมันมีหลายระดับ
บุญทั้งหลายจะให้ความสุข
กุศลจะให้ความพ้นทุกข์
คนละระดับกัน
มีบุญ อย่างเราทำความดีทั้งหลาย
ทำทานอะไรต่ออะไร สร้างความดีก็มีผลดี มีความสุข
แต่ถ้าจิตเป็นกุศล กุศลแปลว่าฉลาด
จิตรู้เหตุรู้ผล ภาวนาเรื่อย จิตฉลาดขึ้นมา
จะรู้เลยว่าภพที่ว่าดีวิเศษ
อันเป็นผลของบุญก็หาสาระไม่ได้
แล้วใจมันจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ก็พ้นจากวัฏฏะ พ้นจากทุกข์
วัฏฏะไม่ต้องมองที่ไหนไกล
วัฏฏะหมุนอยู่กลางอกนี้ล่ะทั้งวันทั้งคืน
คอยรู้อย่างนี้ วัฏฏะหมุนอยู่นี่เอง
เดี๋ยวก็เป็นภพดี เดี๋ยวก็เป็นภพชั่ว
ภาวนาไปบางทีแน่นอึ๊ดเลย บางทีก็โปร่งสว่างไสว
มีความสุข มีความสดชื่น
บางทีก็มีความสุขอยู่เฉย ๆ แต่ไม่เดินปัญญา
บางทีมีความสงบ มีความสุขด้วย เจริญปัญญาด้วย
เห็นความจริงของกายของใจไปด้วย
วัฏฏะมันหมุนอยู่นี่
ศีล สมาธิ ปัญญาทั้งหลายก็เกิดในภพ
หมุนอยู่อย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา สะสมไป
ก็สะสมอยู่ในภพ
พอถึงจุดหนึ่งซึ่งมันอิ่ม มันเต็ม มันพอ แล้วมันเข้าใจ
เกิดความรู้ถูกเข้าใจถูก
ในรูปนาม ขันธ์ 5 ในกาย ในใจ
ว่าคือตัวทุกข์ล้วน ๆ
จิตมันก็สลัดตัวเองออกจากภพ
วัฏฏะถล่มทลายออกไป ไม่มีขึ้นมาอีกแล้ว
ถ้าภาวนาถึงจุดหนึ่งวัฏฏะที่หมุน ๆ อยู่แตกดับไปแล้ว
เหลือแต่ขันธ์ 5 ยังอยู่
ก็อยู่มีชีวิตอยู่ไปจนขันธ์ 5 แตกดับไป
ไม่ได้ปรารถนาว่าจะไปเข้าโลกพระนิพพานที่ไหน
ถ้านิพพานยังมีเข้ามีออก ไม่ใช่นิพพานจริง
1
หลวงพ่อก็เคยภาวนาพลาด หลวงพ่อตอนนั้นภาวนา
เราเห็นว่าครูบาอาจารย์บอกให้เป็นกลาง
มันมีกลางหลายอย่าง กลางอย่างโน้น กลางอย่างนี้
ก็ไปเจอกลางอันหนึ่ง
กลางระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้
ก็คือกลางระหว่างจิตกับอารมณ์
หลวงพ่อก็ภาวนาอย่างเรารู้ลมหายใจอยู่
พอจิตจะเคลื่อนไปที่แสงสว่าง หายใจแล้วมันเป็นแสง
พอจิตจะเคลื่อนไปหาแสงให้มันเคลื่อนไป
แล้วพอมันจะจับเข้าที่แสง เราไม่ให้จับ
เราทวนกระแสกลับเข้ามาหาตัวผู้รู้
พอมันจะมาจับตัวผู้รู้ เราไม่จับ
เราทวนกลับไปหาสิ่งที่ถูกรู้ หาอารมณ์คือแสงสว่างอีก
ทวนไปทวนมา จิตรวมพรึบลงไปตรงกลาง
ตรงนี้ไม่มีอะไรเลย มีแต่ธาตุรู้ล้วน ๆ เลย
เหลือแต่ธาตุรู้ล้วนๆ ก็ฝึกอยู่ตรงนี้
โอ้ตรงนี้ท่าจะดี ถ้าฝึกอยู่อย่างนี้จิตจะได้คุ้นกับนิพพาน
เดี๋ยวจะแวบไปนิพพาน
แล้วภาวนาไปเรื่อยๆ สังเกตนี้ไม่ใช่ นี่ยังไม่ใช่หรอก
เราสร้างขึ้นมา นิพพานอันนี้เราสร้างขึ้นมา
มันยังเป็นภพๆ หนึ่ง
พอสังเกตเห็นตรงนี้ ขึ้นไปกราบครูบาอาจารย์
กราบหลวงปู่เทสก์ ไปเล่าให้ท่านฟังแล้วบอก
“ผมสงสัยว่า มันจะเป็นสมาธิชนิดหนึ่ง”
หลวงปู่บอก “ใช่ มันเป็นสมาธิอย่างหนึ่ง
แต่เล่นไว้เถอะ ฝึกไว้ให้ชำนิชำนาญ”
คือท่านอยากให้ฝึกสมาธิไว้หลากหลาย
จะได้มีคนสืบทอด รู้สมาธิชนิดต่างๆ ไว้อะไรอย่างนี้
พอท่านบอกหลวงพ่อโอ้ดีใจ
ครูบาอาจารย์สนับสนุนให้ทำต่อ
แต่ก็บอกท่าน “ผมกลัวติด”
ท่านบอก “ไม่ต้องกลัว ถ้าติดอาตมาจะแก้ให้เอง”
ท่านว่าอย่างนี้
เล่นอยู่พักหนึ่ง วันหนึ่งขึ้นไปเชียงใหม่
กลางคืนจะไปหาอาจารย์ทองอินทร์ที่วัดสันติธรรม
ไปเยี่ยมท่านรู้จักท่านอยู่ ท่านภาวนาดี
ลูกศิษย์หลวงปู่สิม
ไปถึงมีพระมาดักอยู่ ไปตอนกลางคืน
กลางวันทำงานอยู่ กลางคืนว่างแล้วเข้าวัด
ไม่ได้เที่ยวผับเที่ยวบาร์กับใครเขาหรอก
มีพระมาดักอยู่หน้าวัด
บอกว่าให้ไปหาอาจารย์บุญจันทร์
อาจารย์บุญจันทร์มาจากถ้ำผาผึ้ง
หลวงพ่อบอกไม่ไปหรอกไม่รู้จัก
แล้วมันไม่ใช่กาลเทศะมันมืดแล้ว
เราไม่คุ้นกับท่าน อยู่ ๆ ไปหาท่านได้อย่างไร
ท่านมีธุระอะไรของท่านอยู่เราไม่รู้
หลวงพ่อก็ยืนยันไม่ไป
หลวงพ่อก็ไปคุยกับท่านอาจารย์ทองอินทร์อยู่สักชั่วโมง
ออกมาพระองค์นี้มาดักอยู่
หน้ากุฏิอาจารย์ทองอินทร์
อากาศก็หนาวจัดเลย มืดตึ๊ดตื๋อเลย หนาวเยือกเลย
ท่านรบเร้าจนกระทั่งหลวงพ่อ
เฮ้อ องค์นี้ตื๊อชิบเป๋งเลย
ก็ขึ้นไปหาอาจารย์บุญจันทร์ เจอหน้าท่านชี้เลย
ชี้หน้า “ไง จะภาวนาอย่างไร”
ก็เล่าให้ท่านฟัง
โดนท่านตวาดเอา “เฮ้ย นิพพานอะไร มีเข้ามีออก”
ประโยคนี้จำไว้เลย “นิพพานอะไร มีเข้ามีออก”
ถ้าภาวนาแล้วบอกเข้านิพพาน ... นิพพานเก๊
ส่งจิตไปพระนิพพาน ... นิพพานปลอม
พอภาวนาจริง ๆ แล้ว สภาวะที่สิ้นตัณหา
จิตวางรูปวางนามหมดแล้ว
นิพพานอยู่ต่อหน้านี่ไม่ต้องไปไหนหรอก
ไม่ต้องเที่ยวแสวงหา
นิพพานอยู่ตรงโน้น นิพพานอยู่ตรงนี้อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่
นั่นเรื่องของนิมิต ไม่ใช่นิพพาน
ถ้านิพพานยังมีขันธ์อยู่
ถ้าเราภาวนาเรารู้ขันธ์เป็นทุกข์ใช่ไหม
นิพพานแล้วมีขันธ์อยู่มันก็ยังทุกข์อีก
ไม่ใช่นิพพานหรอก
ฉะนั้นเราก็ต้องภาวนา
เดี๋ยวความรู้ถูกความเข้าใจถูก
มันก็จะแจ่มแจ้งขึ้นมาเป็นลำดับ ๆ ไป
สนุกนะภาวนา ยิ่งสนุกยิ่งภาวนา
ของไม่เคยรู้ได้รู้ ของไม่เคยเห็นได้เห็น
ของไม่เคยเข้าใจได้เข้าใจ
พอเข้าใจแล้ว ... ของไม่เคยวางก็จะวางได้
ของที่ไม่นึกว่าจะวางได้ ... ก็วางได้
แล้วจะรู้ว่าความพ้นทุกข์จริงๆ
หรือนิพพานจริง ๆ เป็นอย่างไร
ไม่ต้องรอตายแล้วไปนิพพาน
นิพพานอยู่ต่อหน้าต่อตานี่ล่ะ
สิ้นตัณหาตอนไหนก็เห็นตอนนั้น
วันนี้สมควรแก่เวลา ... "
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
7 สิงหาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์ฉบับเต็มจาก :
ขอบคุณรูปภาพจาก : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา