10 ก.ย. 2021 เวลา 23:29 • นิยาย เรื่องสั้น
6.12. ล่วงรู้ไม่เปิดโปง
เสียวเอียนจื่อ กุนซือปักษาสวรรค์ - จูล่ง ขุนพลท่องเมฆา - อุยหลิงฉี ฮองเฮาซ่อนความนัย
ขงเบ้งเพิ่งวาดฝันวางแผนการกับพรรคพวกชั้นผู้นำได้เพียงชั่วข้ามคืน เหตุการณ์พลิกผันก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทหารเข้ามารายงานว่า กองทัพพายุคลั่งของอุยเอี๋ยนที่สมควรเดินทางไปเมืองฮันต๋ง ถึงกับลอบพยุงตัวร่อนเข้าเมืองมาตั้งแต่ย่ำรุ่ง ตรงเข้า “รักษาการณ์” ในจวนเจ้าเมืองของเล่าปี่อย่างแน่นหนา ทำเอาขงเบ้งตกใจ รีบสั่งการให้ระดมกองกำลัง และพวกพ้องคนสนิทที่เหลืออยู่ ได้แก่ เงียมหงัน เอียวหงี เลียวฮัว ม้าเจ๊ก ตันเซ็ก ออกมาเผชิญหน้า เพื่อควบคุมสถานการณ์ภายในเมือง
พวกขงเบ้งทั้งหลายล้อมอยู่ด้านหน้าจวนที่พัก ยังไม่กล้าลงมือ ด้วยยังกริ่งเกรงว่า เล่าปี่ พวกผู้หญิงและเด็กๆภายในจะเป็นอันตราย จึงได้แต่ตะโกนเรียกให้อุยเอี๋ยนออกมาเจรจาแสดงท่าทีให้ชัดเจน
“ผู้ใดบังอาจมาก่อกวนอยู่หน้าบ้านของเรา” เสียงทุ้มลึกคุ้นหูดังขึ้น พร้อมหน้าต่างระเบียงด้านหน้าที่เปิดออกกว้าง
ผู้ที่เปิดหน้าต่างออกมาพูดคุย ถึงกับเป็น เล่าปี่ ฮันต๋งอ๋อง ที่ดูหน้าตาราบเรียบเป็นปกติ ไม่มีทีท่าของคนป่วยหนัก หรือ คนซึมเซาไร้วิญญาณ เหมือนที่ผ่านมาหลายเดือน นับจากได้รับทราบข่าวการตายของหวดเจ้ง กุนซือเดชนกยูง
ด้านหลังของเล่าปี่ เป็น อุยเอี๋ยน ขุนพลพายุคลั่ง และตันเตา องครักษ์พิราบขาว ยืนอารักขาอยู่อย่างเข้มแข็ง ต่างจับจ้องมองออกมาเบื้องหน้า ประตูใหญ่เปิดออก เห็นกลุ่มองครักษ์พิราบขาว และกองทัพพายุคลั่งเรียงราย แสดงให้เห็นการตระเตรียมอย่างดี
ขงเบ้งงงงันวูบ นึกไม่ถึงว่า อุยเอี๋ยนสามารถปลุกคืนวิญญาณให้กับเล่าปี่ได้อย่างไร แต่โอกาสในการชิงลงมือก่อนมีเพียงชั่วพริบตา อีกทั้ง ตนเองก็ไม่ได้เกรงกลัวจะขว้างมุสิกเกรงภาชนะด้วยซ้ำ ดังนั้น จึงตะโกนสั่งการทันที “อุยเอี๋ยนก่อขบถจับกุมตัวเจ้านครเอาไว้ พวกเราจงรีบลงมือก่อน”
เงียมหงัน เอียวหงี เลียวฮัว ไม่รอช้า รีบชักอาวุธคู่มือ ลอยตัวขึ้นสู่หลังคา วิ่งเข้าโจมตีเป้าหมาย แต่แล้ว กลับมีเงาร่างสองเงาโฉบลงมาจากหลังคาด้านบนขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ฝ่ายชายถือดาบใหญ่ ฝ่ายหญิงถือพลองสีหยก เหวี่ยงกราดเพียงวูบเดียว พวกเงียมหงัน ไร้ที่วางพักเท้า ต่างร่วงหล่นลงมาจากหลังคาทั้งสิ้น ขงเบ้งขยับเก้าอี้ล้อหมุน เล็งกลไกใส่ผู้มาใหม่ แต่กลับพบเห็นใบหน้าของคนที่ไม่อยากพบพาน “ท่านจูล่ง”
หากผู้มามิใช่คนสนิทระดับจูล่ง ขงเบ้งคงตีขลุมสั่งการให้รุกต่อได้ไม่ยาก แต่พอเป็นจูล่ง กลับทำให้คำพูดของผู้มาใหม่มีน้ำหนักมากขึ้นในทันที หญิงสาวที่มาด้วยกันจึงถือโอกาสแทรกคำขึ้น “ผิดแล้ว ท่านกุนซือใหญ่ ท่านอุยเอี๋ยนเข้าเมืองมาเพื่อคุ้มครองเจ้านคร มิใช่ต้องการยึดอำนาจแต่อย่างใด” เสียงหญิงสาวดังขึ้น หยุดยั้งการต่อสู้
ขงเบ้งมองดู เป็นหญิงสาวโครงร่างใหญ่ในชุดชาวบ้าน อายุราวห้าสิบปี แต่ยังดูสวยงาม คนที่มักจะมาแอบมองดูกลุ่มเด็กๆแถวนอกเมืองนั่นเอง เห็นที นางคนนี้ จะมีเบื้องหลังความเป็นมาที่น่าสนใจเสียแล้ว
เล่าปี่คล้ายล่วงรู้จิตใจของขงเบ้ง จึงกล่าวขึ้น “เสียวเอียนจื่อ (นางแอ่นน้อย) เป็นน้องสาวร่วมสายเลือดของน้องสาม เตียวหุย เราเองเคยรู้จักนางมาเนิ่นนานแล้วในฐานะญาติสนิทของน้องสาม และลูกศิษย์ของหมอฮัวโต๋ เนื่องจากครั้งนี้ จูล่งถูกพิษร้ายทำลายประสาท จนคลุ้มคลั่งเสียสติ น้องสามจึงนำตัวไปให้นางรักษาอาการ จนสุดท้าย ความคุ้นเคยหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้บัดนี้ นางได้กลายเป็นฮูหยินของจูล่งไปแล้ว”
เหตุการณ์สุดท้ายที่เตียวหุย จูล่ง หายตัวไปนั้น หลายคนพบเห็นอาวุธดาบลายมังกร และไม้พลองสีหยกที่ปรากฏอยู่ในมือคนทั้งสอง ดังนั้น ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันย่อมแน่ชัดแล้ว และในเมื่อเสียวเอียนจื่อสามารถรักษาโรคคลุ้มคลั่งของจูล่งได้ ก็ย่อมอาการซึมเซาของเล่าปี่ได้เช่นกัน ทุกอย่างจึงคล้ายสมเหตุสมผลยิ่งนัก
เสียงกองทัพทหารอีกจำนวนหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามาเสริม เป็นขุนนางนายทหารเก่าสายเสฉวน เช่น ลิเงียม งออี้ งอปั้น และเล่าป๋า เคลื่อนเข้ามาเพื่อดูสถานการณ์อีกกลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่า กลุ่มคนเหล่านี้ย่อมสนับสนุนเล่าปี่ดังเดิม
แม้ว่า ขงเบ้งจะลอบยึดกุมอำนาจไว้ในมือมานานหลายเดือน แต่ก็ยังไม่พร้อมจะแตกหักกับฝ่ายเล่าปี่ให้เกิดความวุ่นวายปั่นป่วน อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็มีมือดีอยู่หลายคน และมีกองกำลังจำนวนไม่น้อย อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงเกินคาดหมาย จึงไม่พร้อมจะสุ่มเสี่ยง รีบชักชวนให้ผู้คนด้านหลังคุกเข่าแสดงความยินดีต่อผู้เป็นเจ้านายที่หายป่วย
เล่าปี่ ยืนเด่นเป็นสง่า กวาดตามองขุนนางนายทหาร และกองทัพที่มารุมล้อมเป็นชั้นๆอยู่ด้านหน้า ค่อยมาหยุดมองที่ขงเบ้ง กุนซือมังกรซ่อน ซึ่งนั่งประสานมือบนเก้าอี้
“เราป่วยเป็นไข้สะเทือนจิตใจอยู่หลายเดือน ต้องขอบใจท่านกุนซือใหญ่ที่ช่วยดูแลความเรียบร้อยมาเป็นอย่างดี แต่เรื่องร้ายเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนตามชะตาชีวิตจริงๆ ช่างน่าสงสารซุนเขียนกับพวกยิ่งนัก” เล่าปี่กล่าวพลางกวาดสายตาใส่ขงเบ้ง คล้ายไม่ตั้งใจ ค่อยเน้นย้ำคำพูดประโยคถัดไป “นับจากนี้ ขอมอบงานด้านการทหารในเมืองเสฉวนให้ จูล่ง ลิเงียม และพี่น้องสกุลงอ ช่วยกันดูแลไปก่อน ส่วนอุยเอี๋ยนก็เหมาะสมแล้วที่จะไปประจำที่เมืองฮันต๋ง และขอแต่งตั้งให้ เสียวเอียนจื่อ เป็นกุนซือวิหคสวรรค์ แทนที่ตำแหน่งหวดเจ้งที่ว่างอยู่ ช่วยเหลือกันกับท่านขงเบ้งต่อไป”
ขงเบ้งลอบสะดุ้งใจ เห็นทีช่วงเวลาที่เล่าปี่ล่องลอย ไร้วิญญาณนั้น กลับเก็บเกี่ยวข้อมูลการช่วงชิงอำนาจเอาไว้ได้แล้ว จึงนำเอากลุ่มที่จงรักภักดีสูง และพวกเลือดใหม่ที่อยู่นอกเหนือจากพรรคพวกของตนขึ้นมาคานอำนาจกัน เห็นที ตนเองจำต้องยอมถอยก้าวใหญ่ เพื่อรอดูความเปลี่ยนแปลงต่อไป อย่างน้อย เล่าปี่ก็ยังไม่พร้อมจะฉีกหน้า แตกหักกับตนเองในเวลานี้เช่นเดียวกัน
ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ขณะที่อุยเอี๋ยน ขุนพลพายุคลั่ง กำลังเคลื่อนทัพผ่านหุบเขาลำธารสวรรค์่่่่่ เพื่อย้ายไปรักษาการณ์ที่เมืองฮันต๋งตามคำสั่งของขงเบ้ง เบื้องหน้ากลับหยุดยั้งลง ทหารเข้ามาแจ้งข่าวว่า มีนายพรานหนุ่มใหญ่ปักดาบใหญ่ลายมังกร พร้อมกับหญิงสาวถือไม้พลองสีหยกขวางทางอยู่
ดาบใหญ่ลายมังกร กับ ไม้พลองสีหยก ทำให้อุยเอี๋ยนสะดุดใจ รีบก้าวออกมาด้านหน้า จึงพบเห็นว่าเป็นจูล่ง ขุนพลท่องเมฆา ที่หายสาบสูญไปนั่นเอง แต่ผู้ที่่่พูดคุยวางแผนรายละเอียด กลับเป็นหญิงสาว ที่ทราบนามภายหลังว่า นางแอ่นน้อย นั่นเอง
แผนการบุกเสฉวนจึงก่อตัวขึ้น อุยเอี๋ยนให้คนใส่หน้ากากสำรอง ปลอมเป็นตนเอง นำกองทัพส่วนหนึ่ง เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองฮันต๋งต่อไป แต่ตนเองกับกองทัพพายุคลั่งคัดเฉพาะที่มีฝีมือสูงส่ง ลอบเดินทางมายังเมืองเสฉวน พร้อมกับคนทั้งสองในยามค่ำคืน
การจู่โจมกระทันหัน ถึงกับพลิกฟื้นสถานการณ์ เปลี่ยนขั้วอำนาจกลับคืนสู่เงื้อมมือของเล่าปี่ได้ต่อไป ในรูปแบบที่ขงเบ้ง จูกัดเหลียง คาดคิดไม่ถึง นี่คือ ฝีมือแจ้งเกิดอันร้ายกาจของ เสียวเอียนจื่อ กุนซือวิหคสวรรค์
แน่นอนว่า เสียวเอียนจื่อ กุนซือวิหคสวรรค์ ก็คือ นางแอ่นอันดับเก้าแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ที่เคยสวมบทบาทเป็นเตียวหุยมานานหลายสิบปี หลังจากที่พบเห็นเหตุการณ์สังหารเตียวหุยตัวจริงที่คนอื่นเข้าใจว่าเป็นตัวปลอมนั้นแล้ว นางประเมินสถานการณ์การเมืองภายในเสฉวน หวั่นเกรงขงเบ้งจะยึดอำนาจจากเล่าปี่ในยามที่กำลังเปราะบาง
นางจึงตัดสินใจยินยอมให้ฮ่วมอา ศิษย์เอกวิชาแพทย์สายในของนกฮูก ช่วยฝังเข็มปรับแต่งความคิดของนายพรานเตียวหยุนหรือจูล่งอีกครั้ง หลังจากนกฮูกตายแล้ว คงเหลือเพียงฮ่วมอาที่สืบทอดเคล็ดวิชาชำระล้างใจได้สักเจ็ดแปดส่วน
ส่วนลูกน้อยฝาแฝดอันได้แก่ ซิงไช่ ซิงเหอ เกรงว่า นำตัวเข้าเมืองไปตอนนี้จะกลายเป็นภาระ จึงนำไปฝากฝังไว้กับตันโห ตันอุ๋น พ่อลูกคหบดีที่ตนเองคุ้นเคยกันดี เพราะตันเตา พี่ชายของตันอุ๋นเป็นลูกศิษย์ลับของตนเอง มันจึงได้ชื่อฉายาเป็นองครักษ์พิราบขาว
แต่เดิม นกยูง-หวดเจ้งเห็นว่า ภารกิจปรับเปลี่ยน ยุ่งเหยิงกว่าที่คาดเดาไว้ จึงอาศัยข้อได้เปรียบที่ล่วงรู้อนาคต สร้างกำลังคนมาเสริมเติมเอาไว้ก่อน และก็เป็นจริงดังคาด ยามที่เล่าปี่ขาดคนคุ้มครอง ตันเตาก็สามารถเข้ามาทดแทน และเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาพื้นฐานให้กับพวกเด็กเล็กสี่คนได้ด้วย ล่าสุด ตันเตาก็เป็นคนหนึ่งที่เปิดช่องทางให้จูล่งแอบเข้าพบเล่าปี่ในยามค่ำคืน สามารถนัดแนะแผนการได้อย่างสะดวกสบาย
หมากพิราบขาวที่นกยูงกับนางแอ่นร่วมกันวางไว้มุมกระดาน ได้เกิดประโยชน์จริงๆอย่างสมภาคภูมิ และนางยังหวังว่า หมากเค้าแมวดำ-ตันอุ๋น ลูกศิษย์ลับของนกยูงก็เป็นเช่นเดียวกันในภายภาคหน้า
หมายเหตุ ที่จริง ความคิดการจัดวางคนสกุลตันกลับเป็นเรื่องราวของหัวขวาน-เตียวล่อจัดสรรร่วมกันกับนกยูงตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อเตรียมกำลังความช่วยเหลือในรุ่นต่อไป แต่หัวขวานไม่ยอมเปิดเผยตัวตน จึงมอบความดีความชอบให้นกยูงออกหน้ารับไปทั้งหมด
ผลงานของนางแอ่นยังไม่หมดสิ้น การที่เล่าปี่ป่วยไข้ จนสติเลอะเลือนมานานหลายเดือน ก็เป็นอีกแผนการหนึ่งในการเอาชีวิตรอดเช่นกัน
ครั้งก่อนที่นางแอ่นมอบทวนอสรพิษ ฝากเอียวหงีกลับมาให้พี่ใหญ่นั้น ภายในยังซุกซ่อนหนังสือลับ นัดแนะให้เล่าปี่ระวังเภทภัยใกล้ตัว หากวันใด กุนซือเดชนกยูง หรือ ขุนพลสวรรค์คนใดตายอย่างมีเงื่อนงำ กริ่งเกรงว่าจะมีใครปองร้ายยึดอำนาจ ให้เล่าปี่แสร้งทำเป็นสิ้นสติ เลอะเลือนเป็นสัญญาณ แล้วน้องสามจะหาทางกลับช่วยเหลือให้โดยเร็ว และในระหว่างนั้น ให้เล่าปี่เปิดหูเปิดตา เก็บเกี่ยวข้อมูลเบื้องลึกให้รู้ว่า ใครคือฝ่ายจงรักภักดี ใครคือฝ่ายที่มุ่งประสงค์ร้าย
เล่าปี่ ผ่านการฝึกปรือวิชาเซียนพนัน “ไร้สิ้นญาติมิตร”มาหลายสิบปีแล้ว จนสามารถเก็บกดอารมณ์ ไม่ปรากฏออกทางสีหน้า เพียงแค่หลอกลวงว่า ตนเองเป็นคนซึมเซาเลื่อนลอย จึงไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นกระไรนัก
ช่วงเวลานั้น กลับค้นพบว่า ขงเบ้ง-จูกัดเหลียง กุนซือมังกรซ่อน นี่แหละ คือ ตัวการใหญ่ที่รอคอยเวลาก่อการมาโดยตลอด ถึงกับเกลี้ยกล่อมซื้อตัวขุนนางนายทหารไปเป็นพวกเสียมากมาย ใครที่ไม่เข้าร่วม อย่างเช่น ซุนเขียน อีเจี้ย กันหยง สมุนเก่าแก่ของตนทั้งสาม ก็ต้องป่วยตายอย่างบังเอิญ ยิ่งทำให้เล่าปี่เชื่อมั่นว่า การแสร้งบ้า นับเป็นวิธีการที่เอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงเช่นนี้
พอสถานการณ์การเมืองคล้ายลุล่วงด้วยดี จูกัดเหลียงจึงชักนำคนใหม่เข้ามาเสริมเติม ซึ่งก็คือ ตันเซ็ก เตียวเจียว-ตันจิ๋น และเตียวเสี้ยน-กวนอินผิง ทำให้เล่าปี่มั่นใจยิ่งขึ้นว่า กุนซือคู่บารมีเริ่มมีปัญหาอย่างแน่นอน ถึงได้ชักนำศึกเข้าบ้านเช่นนี้
และคืนวันเดียวกัน เหตุการณ์ที่เฝ้ารอคอยก็มาถึง กองหนุนคนสำคัญได้กลับมาแล้ว จูล่ง เสียวเอียนจื่อ อุยเอี๋ยน และกองทัพพายุคลั่ง ที่มาพลิกสถานการณ์ให้กับตนเอง เสียวเอียนจื่อแนะนำตัวเองว่า เป็นน้องสาวของเตียวหุย ในอดีตเคยพบพานกับเล่าปี่มาบ้างครั้งสองครั้ง ซึ่งเล่าปี่ก็ยอมรับเช่นนั้นอย่างสนิทใจ
หากแต่เล่าปี่ไม่ใช่เพียงเคยพบพานนางแอ่นน้อยมาบ้าง แต่ที่จริง เล่าปี่รับรู้มาโดยตลอดว่า เตียวหุย น้องสาม เป็นหญิงสาวที่ปลอมแปลงมาตั้งแต่วันแรกแล้ว แต่เรื่องราวที่ไม่ควรรู้ เล่าปี่ก็ไม่ตอกย้ำ ความลับเรื่องนี้จึงเก็บอยู่ภายในใจของเล่าปี่เพียงคนเดียวมาโดยตลอด และไม่เคยเปิดโปงให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ พอเสียวเอียนจื่อมาไม้นี้ มันก็ล่วงรู้ได้ทันทีว่า ที่แท้ เสียวเอียนจื่อก็คือตัวตนที่แท้จริงของน้องสามนั่นเอง
ยังดีที่เล่าปี่เชื่อมั่นว่า น้องสามฉลาดหลักแหลมไม่แพ้ศัตรูฝ่ายตรงข้าม และมั่นคงภักดีต่อตนเองอย่างแน่นอน จึงยอมรับได้ทุกเรื่องราว แม้แต่จะดูเหมือนว่า ตนเองโดนหลอกก็ตาม บางที นางอาจจะต้องการหลบหนีความแค้นอาฆาตของจูล่ง กับ เตียวเสี้ยน อยู่ก็เป็นได้ ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่เล่าปี่ล่วงรู้ แต่ไม่เปิดเผยต่อผู้ใด
บ่ายวันนั้นเอง เล่าปี่เรียกประชุมขุนนางนายทหารระดับสูงทั้งหลาย เพื่อติดตาม และสะสางงานราชการที่คั่งค้างอยู่ มีเพียงตันจิ๋นกับตันเซ็ก สองพ่อลูกที่ไม่ได้เข้าร่วม เพราะขงเบ้งอ้างว่า ได้สั่งการให้ทั้งสองแยกย้ายเดินทางไปช่วยราชการที่ด่านแฮบังก๋วน และเมืองฮันต๋งแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ซึ่งนางแอ่นย่อมรู้ดีว่า จูกัดเหลียงไม่ต้องการให้เล่าปี่พบเห็นเตียวเหียน ผู้เป็นฝาแฝดเตียวเจียว จึงต้องจัดฉากให้ไปไกลสายตาเช่นนี้
แต่เรื่องนั้นยังไม่สำคัญกระไรในตอนนี้ เพราะ เสียวเอียนจื่อกับจูล่ง กำลังเดินทางเข้าสู่ที่พักของขงเบ้ง อ้างกับฮองเย่อิง ผู้เป็นภรรยา ว่า เข้ามาแนะนำตัวกับนาง และขอรับตัวกวนอินผิงไปพักอาศัยในจวนเจ้าเมืองตามที่ขงเบ้งจัดการไว้
เตียวเฟิง-กวนอินผิง ทำใจดีสู้เสือ โอบอุ้มทารกกวนสก เดินออกมาพบปะกันอย่างปกติ แอบสังเกตเตียวหยุน-จูล่ง กลับไม่มีท่าทีของคนเคยรู้จักกัน ทำให้สงสัยภายในใจว่า จากกันมาหลายปี จูล่งถึงกับจำตนเองไม่ได้ หรือว่าจะมีปัญหาความทรงจำไปเสียเแล้ว
เสียวเอียนจื่อคล้ายอ่านความคิดออก จึงกล่าวเฉลยให้รับรู้ความลับสำคัญเป็นการภายใน “ครั้งก่อน ท่านพี่จูล่งได้รับพิษประหลาดร้ายแรง ถูกกระตุ้นทางประสาทให้คลุ้มคลั่งได้ง่าย เราจึงได้แต่ลบล้างความทรงจำเก่าก่อนของเขาไปหมดสิ้น แล้วค่อยบอกเล่าเรื่องราวที่สำคัญให้รับรู้ไปทีละเรื่อง หากแต่เรื่องใดเป็นความลับเฉพาะคน หรือไม่ได้ถูกกล่าวถึง เขาก็จะไม่รับรู้เรืื่องราวนั้นๆเลย ท่านเจ้านครก็เป็นโรคทำนองเดียวกัน แต่ส่งผลออกมาในรูปแบบของความซึมเซาเลื่อนลอยที่รุนแรงน้อยกว่า เราจึงต้องลบล้างความทรงจำบางส่วนในอดีตออกไป”
เตียวเฟิงแอบดีใจระคนเสียใจ เพราะทางหนึ่ง จูล่งจะลืมเลือนตัวตนที่เคยเป็นประมุขพรรคฟ้าเหลือง กับอดีตที่ผูกพันกับขุมกำลังสัตตดาราไปแล้ว ย่อมจะไม่เป็นพิษเป็นภัยอันใดต่อฝ่ายตนเอง แต่อีกทางหนึ่ง จูล่งจะกลายเป็นขุนพลที่จงรักภักดีต่อเล่าปี่ ซึ่งหมายถึง ตัวตนใหม่ที่อาจจะสร้างความหนักใจให้กับฝ่ายตนเองในอนาคตได้เช่นกัน
แต่หากเล่าปี่ถูกลบล้างความทรงจำไปด้วย กลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับนาง เพราะเท่ากับว่า จะไม่มีใครสามารถจดจำนางที่เคยสวมบทบาทเป็นเตียวเสี้ยน ภรรยาเก่าของลิโป้ได้แล้ว ดังนั้น แผนการของนางอาจจะได้ผลดีกว่าที่คาดคิดไว้
ทางด้านฮองเย่อิง ถึงแม้จะเป็นฮูหยินของขงเบ้ง แต่มิได้รับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของขบวนการฟ้าดินมากมายนัก และมิได้ใส่ใจในเรื่องราวพรรค์นั้นด้วยแม้แต่น้อย จึงไม่แสดงทีท่าอันใด ยังคงแสดงออกซึ่งความห่วงใยคนทั้งสองในฐานะคนที่เคยรู้จักกันมานานด้วยความจริงใจ
นางแอ่นอุตส่าห์มาถึงถ้ำเสือในวันนี้ ก็เพื่อการณ์นี้ นางต้องการตรวจสอบว่า ฮองเย่อิง กับเตียวเฟิงจะมีท่าทีเช่นไรต่อตัวตนใหม่ของจูล่ง การกลับมาในรูปลักษณ์ใหม่ที่เป็นหญิงด้วยกัน ทำให้นางสามารถสังเกตเรื่องราวบางอย่างได้ง่ายดายขึ้นในอีกมุมมองหนึ่ง เพราะคนทั้งสองอาจจะเป็นหมากสำคัญต่อแผนการในอนาคต
นางแอ่นย่อมรับรู้ว่า เตียวเฟิงทำงานในรูปแบบของจารชนพันหน้าของพรรคฟ้าเหลือง เคยสวมบทบาทมากมาย ตั้งแต่ นางเตียวเสี้ยน เจ๋าซือ เปียนสี ตู้ซือ และกวนอินผิง และดูคล้ายพรรคฟ้าเหลืองจะถูกผู้อื่นควบคุมเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ไม่ได้เป็นอิสระทางความคิดเหมือนแต่ก่อน
บทสรุปคือ ฮองเย่อิงเป็นเพียงคล้อยตามสามีเหมือนผู้หญิงในยุคสมัยนี้ แต่เตียวเฟิงกลับมีความคิดเป็นของตัวเอง และพร้อมที่จะต่อรอง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่นางต้องการ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีว่า แผนการต่อไปของนางคงไม่ยากแล้ว
เสียวเอียนจื่อ จูล่ง นำตัวกวนอินผิง กวนสก เดินทางเข้าสู่จวนเจ้านครในยามเย็น โดยไม่ได้พบปะกันกับขงเบ้งอย่างจงใจตามที่นางแอ่นคำนวนเวลาเอาไว้ และยิ่งไปกว่านั้น กวนอินผิงถึงกับเอ่ยปากชักชวนฮองเย่อิงให้นำจูกัดเจี๋ยมเข้าไปที่จวนด้วยกัน เพราะฮองเย่อิง มีศักดิ์ฐานะเป็นอาจารย์หญิงของกลุ่มเด็กน้อยทั้งสี่ อุยฮูหยินจึงได้จัดเตรียมห้องพักผ่อนส่วนตัวไว้ที่เรือนรับรองเป็นการถาวรอยู่แล้ว
ในเมื่อเป็นเรื่องราวภายในตามประสาผู้หญิง เจ้าบ้านเล่าปี่ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว ปล่อยให้บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่จัดการกันเอง ฮองเย่อิง จูกัดเจี๋ยม เสียวเอียนจื่อจึงนำตัวทารกกวนสกไปพบกับ เล่าเสี้ยน เล่าเอ๋ง กวนหิน เตียวเปา ปล่อยให้กวนอินผิงพูดคุยอยู่ตามลำพังกับอุยฮูหยินในห้องหนังสือ ในขณะที่ขุนพลสายองครักษ์จูล่งก็ปลีกตัวไปทำธุระส่วนตัวตามสมควร
ตามรูปการณ์ปกติ การพบปะกันครั้งแรกของอุยฮูหยินกับกวนอินผิง ผู้เป็นหลานสาวบุญธรรม แต่มีอายุมากกว่าหกเจ็ดปี สมควรเป็นเรื่องราวทั่วๆไปของหญิงสาวมีอายุ หากแต่เตียวเฟิงได้แต่จ้องมองผ่านม่านขาวหนาทึบ เห็นเพียงเงาร่างของผู้ที่มีศักดิ์เป็นป้าบุญธรรมเท่านั้น ในเมื่อได้อยู่กันตามลำพังแล้ว เตียวเฟิงจึงย่อกายคารวะ แนะนำตนเองอย่างเป็นทางการอีกครั้ง “กวนอิินผิงแห่งเมืองชีจิ๋ว ขอคารวะท่านป้าบุญธรรม”
พอม่านขาวถูกเปิดออก บุคคลที่นั่งบนเก้าอี้ใหญ่กลับเป็นเล่าปี่ เจ้านคร โดยมีกุนซือเสียวเอียนจื่อ และขุนพลจูล่ง ยืนเคียงข้างซ้ายขวา แสดงว่า นี่คือกับดักรอรับเตียวเฟิงโดยเฉพาะเจาะจงเสียแล้ว
เสียวเอียนจื่อ กุนซือวิหคสวรรค์ ยังคงเป็นคนเจรจาเริ่มต้น “ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไรดีนะ กวนอินผิง เตียวเสี้ยน เปียนสี หรือเตียวเฟิง ทายาทโจรพรรคฟ้าเหลือง ถ้าหากมีความจริงใจ ก็จงสารภาพมาให้หมดสิ้นเถิด”
สีหน้าของเตียวเฟิงยังคงเป็นปกติ จ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างรู้เท่าทัน “ตัวข้าไม่ได้เก่งกาจในเรื่องวิทยายุทธ์ก็จริง แต่ด้านสติปัญญายังพอใช้การได้อยู่” เตียวเฟิงหยุดเล็กน้อย ค่อยๆเล่าเรื่องราวของตนเองในบทบาทของเตียวเสี้ยนที่เข้าไปเป็นนางเปียนสี จนถึงเหตุการณ์ก่อกบฎสองนางพญา และมาสิ้นสุดที่การมาพบกันกับกวนอูอีกครั้งในฐานะของนางตู้ซือ พร้อมขยายความต่อ “ข้าเตียวเฟิงในฐานะประมุขพรรคฟ้าเหลืองคนปัจจุบัน ต้องการร่วมมือกับพวกท่าน จัดการกับพวกสกุลจูกัด และเตียวเหียน เตียวเจียวคนทรยศที่อยู่เบื้องหลังความล้มเหลวของพรรคฟ้าเหลืองมาโดยตลอดด้วยหลักประกัน คือ ชีวิตของทารกน้อย กวนสก และผลงานชิ้นแรกของข้าคือ การส่งมอบตัวประกันแม่ลูก ฮองเย่อิงกับจูกัดเจี๋ยมในวันนี้”
เสียวเอียนจื่อแย้มยิ้ม รีบตบมือรับคำเสนอ “ดีแล้ว เพราะคนทั้งสามถูกส่งตัวไปดูแลในสถานที่ปลอดภัยแล้ว และพวกเราต้องการร่วมมือกับเจ้าจริงๆ” เตียวเฟิงนิ่งเฉย เหมือนรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะลงมือเช่นนี้ ป่านนี้ คนทั้งสามอาจถูกส่งตัวไปไกลหลายสิบลี้แล้ว ในขณะที่เล่าปี่ จูล่ง เร่ิมมึนงงกับคำพูดของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคน ตกลงว่า สองหญิงกำลังร่วมมือเจรจา หรือเชือดเฉือนด้วยวาจาใส่กันอยู่
ใครกันจะคาดคิดได้ สองขุมกำลังที่ขับเคี่ยวกันมานานหลายสิบปี พอถึงยุคเสื่อมโทรมของทั้งสองฝ่าย นางแอ่น อดีตสมาชิกแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ถึงกับหันมาเจรจาร่วมมือกันกับเตียวเฟิง ทายาทอันชอบธรรมแห่งพรรคฟ้าเหลือง ต่อหน้าสักขีพยานคือ เล่าปี่ ฮันต๋งอ๋องแห่งกองกำลังเสฉวน และจูล่ง-เตียวหยุน บุคคลลึกลับที่เคยเป็นหุ่นเชิดให้กับพรรคฟ้าเหลืองมาเนิ่นนาน
และที่สำคัญก็คือ เตียวก๊ก ประมุขผู้ก่อตั้งพรรคฟ้าเหลือง หรือ บิดาที่แท้จริงของเตียวเฟิงนั้น ถูกเตียวหุย ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของเสียวเอียนจื่อ สังหารตาย และส่งผลให้พรรคฟ้าเหลืองล่มสลายด้วยสาเหตุนี้เป็นประการสำคัญ
อุยฮูหยินหรืออดีตลิหลิงฉีแอบซ่อนอยู่ในห้องนอนส่วนตัว นึกดีใจที่ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับเตียวเสี้ยน อดีตมารดาบุญธรรมของตนเองในช่วงเวลาที่นางเป็นสาวใช้อยู่ในจวนของลิโป้ที่เมืองชีจิ๋ว จริงอยู่ว่าเหตุการณ์ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว นางอาจจดจำลูกเลี้ยงคนนี้ไม่ได้แล้ว ซึ่งนั่นก็แล้วกันไป แต่ถ้าจดจำขึ้นได้ นางจะยังรักเอ็นดูเหมือนเก่าก่อน หรือ เกิดชิงชัง เปิดโปงประวัติที่แท้จริงขึ้นมา ตัวนางเอง อุยเอี๋ยนคนรัก และเล่าเอ๋ง อาจจะมีเภทภัยฐานที่ปกปิดความเป็นมาในอดีต
โชคดีเหลือเกินที่เสียวเอียนจื่อยื่นมือมาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ในเวลาที่คับขันเช่นนี้ ทำให้ความลับยังคงเป็นความลับต่อไป นี่คือ ดวงนางฟ้าตกสวรรค์ที่แท้จริง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา