18 ส.ค. 2021 เวลา 08:37 • อาหาร
ส่องโลกของ "เครป (Crêpes)"
เครป (Crêpes) เป็นอีกหนึ่งเมนูของหวานยอดนิยม ที่แทบจะทุกครั้งที่คาเฟ่เผลอเป็นต้องสั่งมาคู่กับขนมปังปิ้ง ไอศกรีม หรือน้ำแข็งใสตลอดเลย
ว่าแต่ว่า เจ้าเมนูขนมหวานของทานเล่นที่ว่านี้ เป็นอย่างไร ?
วันนี้พวกเรา InfoStory จะพาเพื่อน ๆ ไปส่องพร้อมกับภาพอินโฟกราฟิกสุดสบายตากันเลย !
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากอ่านเรื่องราวสั้น ๆ ต่อ เชิญทางนี้ได้เลยจ้า
เครป (Crêpes) เป็นขนมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแพนเค้ก เพียงแต่เป็นแผ่นบางและมีขอบที่กรอบกว่า
แต่อันที่จริงแล้ว ก็คงจะต้องบอกว่า เครปเนี่ย มันก็คือหนึ่งในแพนเค้กละนะ
อ้างอิงจากสื่อรายการอาหารต่าง ๆ ของชาวฝรั่งเศสและอเมริกัน เขาก็จะบอกทำนองว่า “Technically, a crepe is a pancake that's been thinned out” หรือ ถ้าว่ากันตามหลักการแล้วละก็ เครปก็คือแพนเค้กแบบบางนั่นเอง
เพียงแต่จุดที่แตกต่างกันชัดเจนคือ แพนเค้กที่เราเห็นเป็นก้อนฟู ๆ ส่วนใหญ่จะใช้เบกกิ้งโซดาและผงฟู เข้ามาช่วยนั่นเอง
(ซึ่งสารภาพว่าเรื่องง่าย ๆ ตรงนี้ กลับเป็นความรู้ใหม่ของเราไปเฉยเลย)
แป้งแผ่นบางกรอบแบบเครป (Crepes)
นี่คือแพนเค้ก (Pancake) แป้งขนาดที่หนาขึ้นมา แต่ไม่ได้ใส่ผงฟูหรือเบกกิ้งโซดา ก็จะแบนนิดนึง
แนวนี้ก็จะเป็น เพนเค้กญี่ปุ่น ที่มีลักษณะฟู นุ่ม อย่างเห็นได้ชัดจ้า
เพื่อน ๆ ทราบไหมว่า เครปที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี้ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใดเอ่ย ?
คำตอบคือ “ประเทศฝรั่งเศส” !
(ตอนแรกเรานึกว่าญี่ปุ่นละ)
เครป (Crêpes) มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ว่ากันว่าสูตรต้นตำรับของการทำเครป กำเนิดในช่วงศตวรรษที่ 13 จากแคว้น Bretagne หรือ Brittany ของประเทศฝรั่งเศส
แคว้น Brittany อยู่ตรงนี้จ้า
โดยเครปต้นตำรับจริง ๆ เนี่ย มันจะไม่ใช่เครปหวานแบบที่เราคุ้นเคยกันนะ
ความพิเศษของเครปดั้งเดิมของฝรั่งเศส ก็คือเอกลักษณ์ความเป็นเครปคาว
เพราะต้นกำเนิดของเขา เกิดมาจากแม่บ้านชาวฝรั่งเศสที่ชอบทำแพนเค้กคนหนึ่ง ได้ทดลองใช้แป้งบัควีต (Buckwheat Flour) มานวดกับน้ำ เกลือและเนย ผสมนมและไข่เข้าไป แล้วทำไปอบด้วยหินร้อนๆ จึงเกิดมาเป็นแผ่นแป้งแผ่นบาง ๆ คล้ายแพนเค้ก โดยเรียกขนมนี้ เดิมทีเรียกว่า “กาเล็ตต์ (Galettes)”
ซึ่งเราก็จะรู้จักกันในอีกชื่อคือ เครปคาว (Savory Crepes) นั่นเอง
เพิ่มเติม : บัควีท หรือ บักวีต (Buckwheat) คือ เมล็ดธัญพืชเทียม(มีความคล้ายแป้งสาลีและแป้งข้าวโพด) ที่อุดมไปด้วยสารอาหารแต่ปราศจากกลูเตน มีโปรตีนและใยอาหารสูง ซึ่งชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในแคว้น Brittany เพิ่งได้รู้จักจากการนำเข้าเมล็ดบัควีต ในช่วงศตวรรษที่ 12 นี่เอง
เครปคาว “กาเล็ตต์ (Galettes)”
โดยในช่วงแรกชาวฝรั่งเศสจะนิยมทานคู่กับอาหารคาว หรือ รับประทานเป็นอาหารเช้า
แต่ต่อมาเมื่อเครปเริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น ทั้งชาวฝรั่งเศส ชาวยุโรป หรือ ชาวอเมริกัน (ที่ว่ากันว่าส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพชาวยุโรป) ก็ได้ทดลองสูตรของหวานโดยใช้เครปมาเป็นส่วนผสมพื้นฐานกันมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่คุณ Ruth Wakefield ที่เป็นผู้คิดค้นสูตรคุ้กกี้ช้อกโกแลตชิปส์ ก็ได้ทดลองทำสูตรเครปหวานสอดใส้ช้อกโกแลต
หรือ เชฟชื่อดังชาวฝรั่งเศสหลายคน ที่พยายามประดิษฐ์เมนูของหวานโดยใช้เครป เช่น Mille crêpes หรือ เครปพันชั้น/เครปเค้ก ที่ใช้เครปหวานวางซ้อนกันพร้อมสอดใส้ครีมต่าง ๆ จนเกิดเป็นชั้นขึ้นไป
ต้องบอกว่า เครปเนี่ย เป็นอาหารที่นิยมทานกันเป็นประจำสำหรับชาวฝรั่งเศส ไม่เว้นในยามศึกสงคราม
อย่างเช่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ฝรั่งเศสเกิดวิกฤติอาหารขาดแคลน
คนฝรั่งเศสจึงทำเครปขึ้นมาเป็นอาหารที่เรียบง่ายและทานคู่กับอะไรก็ได้
นั่นจึงทำให้พวกเขาสามารถทานเครปได้ทุกมื้อทุกวัน ทานพร้อมกับ ชีส แฮม หรือ กินเพื่อเอาอิ่ม
ดังนั้น เครปจึงได้กลายเป็นทั้งอาหารคาวหวานไปได้ทั้ง 2 แบบ เฉกเช่นในปัจจุบัน
นิยมทานเป็นอาหารเช้าด้วยนะ (เครปคาว)
แต่ที่น่าสนใจก็คือ คำว่า เครป (Crêpes) เป็นคำที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาษาละตินอย่าง “Crispus” ที่แปลว่า กรุบกรอบ นั่นเอง
อีกความหมายหนึ่งของคำว่า Crepes ก็จะหมายถึง ผ้าแพรผืนบาง ๆ ก็จะเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกับเครปที่เกิดมาจากการรีดแป้งจนเป็นแผ่นบาง ๆ และวางบนกระทะเหล็กเรียบร้อน ๆ
บางจริงๆ
เอ....แล้วเครปญี่ปุ่น ที่พวกเราชอบทานกันละ ?
เครปญี่ปุ่น (Japanese Crêpe クレープ)
ที่มีจุดเด่นคือ เป็นเครปทอดรูปทรงสามเหลี่ยมสอดใส้ผลไม้ แยม หรือ ซอสช้อกโกแลต วานิลลา เพิ่มด้วยท้อปปิ้งต่าง ๆ นั้น ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเครปของฝรั่งเศส
โดยเครปของญี่ปุ่น ได้เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1970 ซึ่งก็มาจากการที่พวกเขานำสูตรเครปฝรั่งเศสมาวางขายในช่ายฮาราจุกุ ปรับแต่งสูตรด้วยการราดด้วยน้ำเชื่อมและเหล้ารัม (ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากแบบฉบับของ Crêpes Suzette)
ซึ่งเครปในความหมายของคนญี่ปุ่น ก็จะเหมือนกับผ้าแพรนี่ละ ตรงตัวเลย
พวกเขาจึงนิยมเครปมาห่อสอดใส้ แล้วทานกันนั่นเอง (ไม่นิยมทานเปล่าๆ หรือ ราดแค่ไซรัป)
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1977 ที่เครปเริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น ชาวญี่ปุ่นจึงได้นำเอกลักษณ์ทั้ง 2 แบบในการทานเครปของชาวฝรั่งเศส คือ ทั้งคาวและหวานมารวมกัน ด้วยการสอดใส้ของอาหารขาวหรือผลไม้พร้อมครีมหรือซอสหวานต่าง ๆ พร้อมกับห่อเครปให้เป็นรูปทรงกรวยสามเหลี่ยม
(แต่เราจะคุ้นเคยกับใส้ผลไม้หรือของหวานต่าง ๆ มากกว่าของคาวนะ)
อย่างครีมที่ญี่ปุ่นนิยมทากันในเครปเนี่ย ก็จะไม่ใช่วิปปิ้งครีมทั่วไปนะ
แต่เป็นครีมที่ทำมาจากนม ที่ให้ความนุ่มละมุน เนื้อเบาแต่หวานอร่อย
ซึ่งชาวญี่ปุ่นเอง ก็ได้สร้างจุดเด่นของการทานเครป ว่าสามารถทานได้ทั้งแบบเย็นหรือแบบร้อน ก็ได้
(แต่เขาจะนิยมทานแบบร้อนกรอบ ๆ สอดใส้เสียมากกว่า)
อีกหนึ่งจุดเด่นของการทานเครปญี่ปุ่น ก็จะมีความเข้ากับวัฒนธรรมความเร่งรีบของชาวญี่ปุ่น คือ “สามารถถือเดินทานได้” ไม่จำเป็นต้องนั่งทานในร้านแบบชาวตะวันตก
ถ้าหยั่งงั้นวันนี้พวกเรา InfoStory ขอตัวไปสั่งเครปมากินในเมนูอาหารว่างยามบ่ายดีกว่า 🙂
โฆษณา