28 ส.ค. 2021 เวลา 01:08 • การศึกษา
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ตอนที่ 2 "โครงสร้างของจิตใจ"
ภาพจาก https://pin.it/6956NrL
ก่อนอื่นขอเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ 'กระบวนการคิดของจิตใจ' ประกอบไปด้วย
1. Primary Process Thinking คือ การทำงานของจิตใจในระยะแรกเกิด เต็มไปด้วย พลังงานของ ID มีลักษณะดังนี้
- ต้องได้รับการตอบสนองทันที "Immediate"
- สามารถเปลี่ยนรูปของ Cathexis (พลังงานของจิตใจ) จากวัตถุหนึ่งไปอีกวัตถุหนึ่ง ได้ง่าย เช่น เด็กที่หิวนมแต่ไม่ได้กิน ก็จะดูดนิ้วแทน
2. Secondary Process Thinking คือ การทำงานของ EGO ที่พัฒนาเต็มที่แล้ว มีลักษณะดังนี้
- สามารถรอคอย "Delay" ความต้องการของ ID ไว้ได้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมถึงจะยอมให้ได้รับการตอบสนอง
- Cathexis จะติดแน่น มั่นคงกว่า ไม่สามารถย้ายได้ง่ายๆ
โดยทั่วไป การเปลี่ยนจาก Primary เป็น Secondary จะค่อยเป็นค่อยไป
ความแตกต่างของกระบวนการคิด 2 ประการ
- Primary Process Thinking มีลักษณะประหลาด ปะปนสับสน ไม่อาจเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่มีกาลเวลา ทุกอย่างจะเกิดขึ้นพร้อมกัน พบบ่อยในคนโรคจิต แต่การมีอยู่ไม่ได้แปลว่าผิดปกติ (พิจารณาจากการขาด Secondary Process Thinking)
- Secondary Process Thinking มีลักษณะเข้าใจง่าย คำพูดตรงตามหลักภาษา และมีเหตุผลตามความเป็นจริง
ข้อสังเกต EGO ของเราขณะเป็นผู้ใหญ่ บางครั้ง ก็กลับไปใช้ Primary Process Thinking เช่น การดูตลก เมาสุรา หรือ ความฝัน ฯลฯ
The Structure of Mind (โครงสร้างของจิต) ประกอบไปด้วย 3 ตัวคือ
ภาพจาก https://pin.it/4oe1fxX
1. ID เป็นจิตใจส่วนที่มีความปรารถนา แรงกระตุ้น แรงขับสัญชาตญาณ(Sexual & Aggresive drive) ความทรงจำ หรือแม้แต่ความกลัวต่างๆ เป็นต้น
2. EGO เป็นจิตใจส่วนที่มีเหตุมีผล คอยควบคุม ความต้องการของ ID และ SUPEREGO ให้เหมาะสมทั้ง 2 ฝ่าย
3. SUPEREGO เป็นจิตใจส่วน ศีลธรรม มโนธรรม คอยตัดสินว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด
การผสมผสานของบุคลิกภาพ
1. ID ทำงานโดยยึดหลักของความพึงพอใจ (Pleasure Principle) คือการเลี่ยงความทุกข์ เข้าหาความสุข
และมีการทำงานของ Primary Process Thinking
2. EGO ทำงานโดยยึดหลักของความเป็นจริง (Reality Principle) คือการรู้จักใช้พลังความปรารถนา จนกว่าจะพบวัตถุที่ตอบสนองได้ เช่น เด็กรู้ว่าเอาอะไรใส่ปากแล้วจะอิ่ม และมีการทำงานของ Secondary Process Thinking
3. SUPEREGO ทำงานโดยยึดหลักคุณธรรม (Morality Principle) คือ ศีลธรรมภายในจิตใจ เป็นตัวแทนของอุดมคติ มากกว่าความเป็นจริง เช่น ความเชื่อ ค่านิยมต่างๆ ที่บุคคลนั้นได้เรียนรู้จากสังคม
Neutralization of Drive Energy
ฟรอยด์เชื่อว่า เดิมที เด็กเกิดมา พร้อมกับ ID แต่ประสบการณ์ชีวิต ทำให้เกิดการเรียนรู้ต่างๆ EGO จึงต้องแยกตัวมาจาก ID เพื่อจัดการชีวิต ความปราถนาต่างๆให้ดีขึ้น
ด้วยเหตุนี้ พลังงานต่างๆของ ของ EGO จึงมาจาก ID เรียกว่า Neutralized (การเปลี่ยน Primary Process ให้เป็น Secondary Process)
การเกิด Neutralization จะเป็นไปอย่างช้าๆ พร้อมหน้าที่ต่างๆ ของจิตใจ เช่น เวลาที่เด็กหัดพูด เด็กต้องใช้พลังงานของจิตใจมาก โดยในในการแสดงออกทางอารมณ์ การเลียนแบบให้เหมือนพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง
ในกรณีที่ไม่สามารถดึงพลังของ ID มาใช้ได้ จะพบว่ามีความผิดปกติในการพูด เช่น การติดอ่าง เป็นต้น
หน้าที่สำคัญของ EGO
1. รับรู้ความรู้สึก (Sensory Perception)
2. การควบคุมการเคลื่อนไหว (Motor Control)
3. ความคิดแบบ Secondary Process
.
ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ช่วยทำให้เกิด การเรียนรู้สภาพแวดล้อมภายนอก (Reality Testing)
Reality Testing คือความสามารถแยกแยะระหว่าง แรงกระตุ้นภายในและภายนอก(พูดให้เข้าใจง่าย คือ การรับรู้โลกความเป็นจริง)
+ หาก EGO ทำงานได้ดี เรียกว่า Sense of Reality
+ หาก EGO ไม่สามารถทำได้ เรียกว่า การเสียของ Reality Testing
หากไม่มี Sense of Reality เลยถือว่าผิดปกติเพราะ จะทำให้เกิด ประสาทหลอน ความคิดแบบหลงผิด หรือมองโลกผิดจากความเป็นจริงเช่น ไสยศาสตร์
แต่บางครั้ง Reality Testing ก็อาจจะทำงานไม่เต็มที่ เช่น ตอนเมา หรือตอนที่หลัยบฝัน เนื่องจาก การนอนหลับ จะทำให้ Reality Testing ของ EGO หยุดทำงานชั่วคราว นี่จึงเป็นสาเหตุ ที่เราแยกความฝันไม่ออก แม้มันจะประหลาดมากมายค่ไหรก็ตาม
อีกทั้งความฝัน ยังเปรียบเทียบได้กับ อาการประสาทหลอน ของคนไข้โรคจิต ความฝันไม่ใช่สิ่งผิดปกติ แต่เป็นประสาทหลอนที่ปกติ และเกิดในขณะที่นอนหลับ
SUPEREGO
การทำงานของ SUPEREGO มีอยู่ 2 ประการ (เกิดในระดับ Unconscious)
1. Talion Law คือผู้กระทำผิดจะได้รับการลงโทษ แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เช่น เมื่อไม่แย่งแฟนคนอื่นมา ก็มีความรู้สึกว่าตนเองจะถูกนอกใจ และกลัวจะถูกกระทำเช่นเดียวกัน กับที่ตนเคยทำไว้
2. การแยก "ความปรารถนา" กับ "การกระทำ" ไม่ออก เช่น ถ้าขโมยของจะรู้สึกผิด แต่สำหรับบางคน แค่คิดว่าจะขโมยของก็รู้สึกผิดแล้ว
ในปี 1921 ฟรอยด์ ได้กล่าวไว้ว่า SUPEREGO มีความใกล้ชิดกับ Group Psychology คือ SUPEREGO จะมีทัศนคติ ค่านิยม คล้ายคลึงกับ กลุ่มคนในสังคมนั้นๆด้วย เช่น การเมือง ศาสนา ลัทธิ เป็นต้น
โฆษณา