22 ก.ย. 2021 เวลา 01:11 • นิยาย เรื่องสั้น
6.21. หักด่านปราการเหล็ก
จิวท่าย ขุนพลภูษาเหล็ก - ซุนลอง ผู้นำสหพันธ์พยัคฆ์หยก - จูกัดกิ๋น กุนซือจอมวางยา
อันที่จริง วุยก๋ง โจผี เป็นตัวแทนทายาทฝ่ายสกุลโจ สมควรอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย แต่กลับมาปรากฏตัวที่วังหลวง พร้อมกันกับโจสิด ซึ่งเป็นคู่แค้นคู่อาฆาตต่อกัน จนมาลงมือปลงพระชนม์กษัตริย์เหี้ยนเต้ได้อย่างไรกัน นั่นคงเป็นเพราะเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้น
นับย้อนไปที่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา กองทัพกังแฮนับหมื่นนาย นำโดยเล่าฮอง ตันฮก ใช้เส้นทางน้ำ ลอบเผาทำลายกองทัพของอิกิ๋มที่เชิงสะพานเตียงปันโห และกำลังรุกคืบเข้าสู่เมืองอ้วนเซีย พวกตัวแทนทั้งสามฝ่ายทราบข่าว แต่ไม่อาจชี้ชัดว่า พวกเล่าฮองเป็นฝ่ายใดกันแน่ ต่างฝ่ายจึงสั่งการให้กองทัพระวังภัยสามหมื่นนาย เดินทางอ้อมเมืองไปรับศึกที่ไม่คาดคิด พร้อมป้องกันไม่ให้กองทัพฝ่ายใดเข้าเมืองมาก่อนด้วย
กองทัพเสฉวนอยู่ทางตะวันตก นำโดยเงียมหงัน ม้าเลี้ยง กองทัพกังตั๋งอยู่ทางใต้ นำโดยชีเซ่ง เตงฮอง และกองทัพอ้วนเซียทางทิศเหนือ นำโดยสามเทพบุตร แฮหัวป๋า โจจิ๋น โจฮิว สมทบกับอิกิ๋มที่เพิ่งแตกทัพมา จึงอ้อมเมืองอ้วนเซียมุ่งหน้าสู่ทุ่งเตียงปัน สมรภูมิรบอันเลื่องชื่อ เพื่อรับศึกตะวันออกแบบหวาดระแวงต่อกองทัพฝ่ายอื่นไปพร้อมกัน
แต่กองทัพของเล่าฮอง ตันฮก กลับไม่อยู่นิ่งเฉย แทนที่จะตั้งรับที่เชิงสะพานเตียงปันโห กลับเดินทางเข้าสู่ทุ่งเตียงปันอันกว้างใหญ่อย่างมีชั้นเชิง ใช้สภาพภูมิประเทศบดบังสายตา ถึงกับจุดไฟเผาทำลายกองทัพกังตั๋งที่มาถึงก่่อนจนวอดวายเป็นทัพแรก แล้วค่อยมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไป กลายเป็นเจตนารุกคืบเข้าเมืองหลวงฮูโต๋ที่กำลังมีการจัดงานเลี้ยงพระราชทานไปเสียแล้ว ในขณะที่กองทัพอ้วนเซียที่ไล่ตามมาเป็นกลุ่มที่สอง ไม่อาจไล่ตามเพราะถูกกองไฟที่กำลังลามเลียทุ่งเตียงปันกั้นขวางอยู่ตรงหน้า
สถานการณ์ซ้ำร้ายกว่านั้น กองทัพเสฉวนที่ตามมาทีหลังสุด คล้ายเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อท่าทีการหยุดยั้งทัพของฝ่ายรัฐบาลและได้รับข้อมูลลวงจากทหารกังแฮที่ปลอมตัวเป็นพวกกังตั๋งแตกทัพ ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับต่อสู้กันเองจนเสียหายยับเยิน จบสิ้นกองทัพรักษาการณ์สามฝ่ายหกหมื่นนายไปด้วยฝีมืออันแยบยลของกุนซือตันฮก
เมื่อเกิดความเคลื่อนไหวเช่นนี้ ผู้ที่เดือดร้อนใจ กลับกลายเป็นพวกตัวแทนที่อยู่ในเมืองอ้วนเซีย เพราะรู้ว่า เป้าหมายของตันฮก กุนซือกิเลนพิสดาร ก็คือกลุ่มบุคคลสำคัญที่อยู่ในเมืองหลวง โดยกองทัพกังแฮอาจจะเป็นเพียงตัวหลอก และอาจมีกลุ่มมือสังหารตัวจริงล่วงหน้าไปก่อนแล้วด้วยซ้ำ เวลาในการกอบกู้สถานการณ์อาจจะเหลือน้อยลงเต็มที
งานนี้ ต่างฝ่ายต่างหวาดระแวงต่อกัน และต้องเผชิญกับเหล่าผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าออกจากเมือง สร้างความปวดหัวให้กับผู้คนยิ่งนัก โดยเฉพาะพวกโจผีที่กำลังเป็นฝ่ายถูกบุกรุกถึงใจกลางแผ่นดิน รุ่มร้อนใจเป็นที่สุด
ยามสาย บุคคลต่างๆอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งในห้องกินเลี้ยง เพื่อแก้ไขข้อตกลงใหม่ สุมาอี้เปิดฉากเจรจาสามฝ่ายกับจูกัดกิ๋นและจูกัดเหลียง เพื่อขอเปิดทางให้พวกตนกลับไปช่วยเมืองหลวงก่อน แต่จูกัดสองพี่น้องกลับรวมหัวกันปฏิเสธเสียงแข็ง อ้างว่า จะกลายเป็นการผิดสัญญาตัวประกัน จนทำให้เจ้านายตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากยิ่งขึ้น การเจรจาซึ่งหน้าในระดับกุนซือจึงต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า
ทางด้านการเจรจาทางอ้อม ก็ถูกใช้ออกด้วยเช่นกัน ในฐานะที่พวกสหพันธ์การค้าร่วมกันเป็นเจ้าภาพลงขันให้พวกผู้พิทักษ์มาควบคุมกฏระเบียบ ขุนคลังจงฮิว จึงต่อรองกับจูกัดจิ๋น ซุนลอง ในระดับหัวหน้าสหพันธ์เพื่อขอเปิดทางเป็นกรณีพิเศษเช่นกัน แต่ก็ไม่เป็นผล ฝ่ายตรงข้ามคล้ายหวาดระแวง และลงมติไม่ให้เปลี่ยนแปลงกติกาเช่นเดิม
งานเลี้ยงในเมืองอ้วนเซียที่ฝ่ายสกุลโจสมควรได้เปรียบ จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกสองขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้ามลงเสียงคัดค้านไปเสียทุกเรื่องราว โดยสุมาอี้ตั้งข้อสังเกตว่า สกุลจูกัดอาจจะอยู่เบื้องหลังการปฏิเสธในครั้งนี้ และเรื่องเลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้ คือ พวกเล่าปี่ ซุนกวน ร่วมมือกันวางแผนตัดตอนกองกำลังของฝ่ายรัฐบาล แล้วลงมือต่อวุยอ๋อง โจโฉ ควบคุมตัวกษัตริย์เหี้ยนเต้แทน
แต่แล้ว สุมาอี้พลันนึกเรื่องแสนสาหัสยิ่งกว่าขึ้นมาได้ หากสกุลจูกัดเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเสียเอง ฉวยโอกาสใช้เล่าปี่ ซุนกวนบังหน้ากระทำการอุกอาจ แล้วค่อยชุบมือเปิบ ยึดอำนาจทางการเมืองเอาไว้เสียเอง หรือว่า จูกัดเอี๋ยน องครักษ์ประจำตัวคนใหม่ที่รับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในเมืองหลวง ก็เป็นพวกพ้องเดียวกัน
ด้วยความที่สุมาอี้อยู่ในโครงสร้างของนิกายแสงจรัสอยู่ด้วย ทำให้เกิดปฏิภาณวูบขึ้น มองทะลุแผนการของสกุลจูกัดที่คิดอาศํยพวกซุน พวกเล่า ชิงอำนาจจากเมืองหลวงขึ้นมาได้คร่าวๆ แม้ว่าจะไม่อาจระบุถึงตัวหัวหน้าใหญ่ แต่ความที่พวกจูกัดสุมหัวกันเช่นนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าได้รับความร่วมมือจากกุนซือใหญ่กาเซี่ยง ผู้เป็นคนต้นคิดงานเลี้ยงคู่ขนานในครั้งนี้
ยิ่งคิดยิ่งหวั่นไหว สุมาอี้เชื่อมั่นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันคิดนั้น เป็นไปได้ทั้งสิ้น เพราะน้องสี่ของมันเป็นอัจฉริยะด้านการวางแผนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ครั้งนี้ มันเองที่เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ และผู้นำกลุ่มทายาทมังกร กลับถูกกีดกันให้อยู่นอกเหนือแผนการทั้งหมด แสดงว่า มิตรภาพของพวกมันอาจจะต้องสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้เสียแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่คงคิดออกแล้วสินะว่า เกิดเรื่องราวอันใดขึ้น ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านต้องยุ่งยากลำบากใจ แต่อดกลั้นอีกเพียงครึ่งค่อนวัน เรื่องราวทุกอย่างจะคลี่คลายให้เห็นเอง พวกเราสกุลจูกัดยามไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากเคลื่อนไหว ต้องทำให้สำเร็จในทันที” จูกัดเหลียงเลื่อนเก้าอี้ล้อหมุนมาใกล้ ส่งเสียงเบาๆให้ได้ยินกันเพียงสองคน
สุมาอี้รู้ว่า นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะแก้ไขสถานการณ์ ตัวการใหญ่เข้ามาใกล้ตัวเช่นนี้ เพียงแต่มันลงมือคร่ากุมไว้ ย่อมสามารถเปิดทางออกจากเมืองไปได้แล้ว ความคิดของมันล่องลอยไปมาอย่างรวดเร็ว จนนึกไปถึงนางงามจารชน เตียวเฟิง ที่แอบติดตามมาจากด่านแฮบังก๋วน เป็นน้องสี่ที่แจ้งข่าวมาทางนกพิราบให้รู้ตัว แต่ก็เป็นช่วงเวลาหลังจากที่นางปะปนเข้ามาถึงเมืองหลวงสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ข่าวย่อยยังใส่ใจ แต่ข่าวใหญ่กลับเก็บงำ แสดงว่า ที่จริง จูกัดเหลียง ไม่ได้เห็นมันอยู่ในสายตาแต่แรกแล้ว ดังนั้น สุมาอี้จึงตัดสินใจที่จะแสดงฝีมือให้ปรากฏแก่สายตาผู้คนเป็นครั้งแรก เป็นการแตกหักกับศิษย์น้องคนที่สี่ที่มันเป็นผู้ฝึกสอนมาเอง
ทายาทมังกรทั้งห้า ตั้งแต่ตัวมันเอง ตันฮก บังทอง จูกัดเหลียง และลกซุน ล้วนเป็นอัจฉริยะทั้งบุ๋นและบู๊ เรียนรู้ทุกเรื่องราวได้ในเวลาอันสั้น สุมาเต๊กโชผู้เป็นบิดาได้แต่เตือนให้มันหลงเหลือไม้ตายไว้จัดการกับผู้คนบ้าง ตลอดมามันจึงแสร้งสั่งสอนวิทยายุทธ์ให้หมดสิ้น แต่ทิ้งจุดบกพร่องไว้กับศิษย์น้องแต่ละคนอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น จูกัดเหลียง จึงมิใช่ปราศจากจุดอ่อนให้โจมตี ช่องว่างนั้นคือความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป
มันยกมือกดไหล่ทั้งสองของจูกัดเหลียง หวังช่วงชิงความได้เปรียบ แต่ที่มันไม่ล่วงรู้เลยคือ จูกัดกุ๋ยได้เพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับตัวขงเบ้งแล้ว พอมันออกแรงลงมือ ขงเบ้งจึงเข้าใจท่าทีของฝ่ายตรงข้าม และเปิดฉากจู่โจมกลับทันที เห็นขงเบ้งยิงพลังดรรชนีสวนเข้าใส่ฝ่ามือของสุมาอี้ ทำให้สุมาอี้ถอยหลังไปสองสามก้าว ตื่นตะลึงต่อกระบวนท่าที่ไม่คาดคิด
“ข้าเพียงแค่ทดลองใจท่านดู คาดไม่ถึงว่า ท่านคิดจะลงมือต่อข้าจริงๆ” ขงเบ้งกล่าวหนักแน่น พร้อมตอบโต้กลับคืนบ้าง
ขงเบ้งเริ่มใช้กลไกพิสดารของเก้าอี้ล้อหมุนเป็นการตอบโต้ ยิงทั้งอาวุธลับจากพนักแขน และล้อเลื่อน เข้าใส่พวกโจผีทั้งสามแบบไม่ออมมือ ยังดีที่กุนซือสุมาอี้หัวไว พลิกโต๊ะอาหารขึ้นมารับอาวุธลับได้ทันเวลา เตียวเลี้ยวอัดอั้นใจมาตั้งแต่การประลองเมื่อคืน จึงพุ่งทะยานเข้าใส่ และเป็นม้าเฉียวที่มารับหน้าแทน จากนั้น สุมาอี้จึงรุกประชิดขงเบ้ง เพื่อเปิดทางให้โจผีหลบหนีออกจากเรือนหฤหรรษ์เป็นการสงวนชีวิตทายาทไว้ก่อน
เล่าเสี้ยนเป็นเพียงเด็กหนุ่มอ่อนวัย สำนึกตนว่ายังไม่คู่ควรยื่นมือยุ่งเกี่ยว พวกกังตั๋งทั้งสาม ยังคงอยู่ภายใต้การนำของซุนเต๋งก็วางเฉยดูท่าทีความเปลี่ยนแปลง พวกสหพันธ์การค้าอันได้แก่ จงฮิว ซุนลอง กับจูกัดจิ๋น โดนสถานะเจ้าภาพค้ำคออยู่ ไม่อาจฉีกหน้าลงมือ จึงได้แต่ปล่อยให้เหล่าผู้พิทักษ์ทำหน้าที่ตามกติกาที่กำหนดกันไว้
เห็นโจผีวิ่งทะยานออกไปถึงหน้าตึก เผชิญหน้ากับเหล่านักสู้ที่ถูกสหพันธ์การค้าว่าจ้างมาให้ปิดกั้นผู้คนไม่ให้เข้าออก จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากผู้นำสหพันธ์ทั้งสามก่อน ผู้พิทักษ์ในชุดคลุมหน้าพร้อมรับมืออยู่ก่อนแล้ว จึงขยับอาวุธออกมาข่มขู่ แต่คาดไม่ถึงว่า คนแรกที่แหกกฏจะเป็นวุยก๋งผู้สูงศักดิ์ จึงงงงันวูบใหญ่ ไม่กล้ารีบร้อนลงมือก่อน
ยังคงเป็นหัวหน้ากลุ่มผู้พิทักษ์ ซึ่งร่ำลือกันว่า เป็นยอดฝีมือเลื่องชื่อแห่งยุค ในชุดคลุมหน้าอำพรางกายเช่นกัน รีบส่งเสียงตักเตือนมาแต่ไกล “วุยก๋งโปรดยั้งเท้าก่อน คำสั่งห้ามเข้าออกยังไม่สิ้นสุด ขอให้ท่านจงกลับไปที่..”
ยามนี้ โจผีไม่อาจรอช้าแล้ว ทางหนึ่ง กลัวถูกจับกุมไว้เป็นตัวประกัน ทางหนึ่ง ห่วงกังวลสถานการณ์เมืองหลวง จึงตรงเข้าใส่กลุ่มผู้พิทักษ์ พลางชักกระบี่ฟ้าสังหารคู่ใจเปิดทางให้กับตนเอง แต่ท่ามกลางนักสู้ที่ลังเล ก็ยังคงมีบางคนที่เชื่อมั่นในคำสั่ง ลงมือต่อต้าน ทำให้โจผียิ่งโกรธแค้นมากขึ้น เพิ่มความอำมหิตต่อการลงมือยิ่งขึ้น จนการต่อสู้เริ่มดุเดือดและจริงจัง เสียงอาวุธปะทะกันถี่ยิบ โลหิตเริ่มไหลนองกระจัดกระจาย
โจผีบุกเดี่ยวตามลำพังจึงเหวี่ยงอาวุธกราดได้อย่างไม่ยั้งมือ จนเริ่มมีคนบาดเจ็บล้มตาย สร้างความสับสนอลหม่านต่อกองกำลังพิทักษ์ที่ถูกจ้างวานมา และแล้ว เสียงร้องดังขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่ง จนกองกำลังแตกเป็นวงกว้างขึ้น ถึงกับเป็นซุนเต๋ง จิวท่าย ซุนลอง สามเสือร้ายแห่งกังตั๋ง กำลังต่อสู้กับกลุ่มผู้พิทักษ์ เพื่อเปิดทางออกให้กับตนเองเช่นกัน
ซุนเต๋ง คุณชายรูปงามที่เมื่อคืนยังดูบอบบางเรียบร้อยคล้ายนักศึกษา กลับคล้ายนักสู้ช่ำชองประสบการณ์ มีจังหวะฝ่าวงต่อสู้เข้ามาใกล้โจผี รีบตะโกนบอก “ข้าประเมินแล้วว่า สถานการณ์พลิกผันไปเช่นนี้ อาจจะเป็นมือที่สามที่ต้องการหยิบฉวยโอกาสกำจัดพวกเราสามสกุล เพื่อชิงอำนาจทางการเมือง เราจึงมาช่วยเหลือท่านฝ่าด่านผู้พิทักษ์ออกไปพร้อมกัน ก่อนที่จะถูกสังหารอย่างงมงายกันหมดสิ้น”
ในถ้อยคำไม่มีคำว่า สกุลจูกัด แต่จากการที่มาลงมือหักด่านโดยไม่มีกุนซือจูกัดกิ๋น ก็อาจจะเป็นคำบอกเล่าที่ดีแล้ว โจผีจึงกัดฟันออกแรงเพิ่มเติม ขาดคำ ซุนเต๋ง ถึงกับใช้ระเบิดหมอกควันที่ซุกซ่อนในรองเท้าออกเปิดทาง ส่วนขุนพลจิวท่าย ซุนลองเร่งพลังกันพวกนักสู้ไปอีกด้านหนึ่ง ปล่อยให้โจผี ซุนเต๋งพุ่งผ่านประตูตึกได้แล้ว สองขุนพลไม่ต้องกริ่งเกรงความผิดพลาด จึงใช้ระเบิดเพลิงที่ซุกซ่อนมาเช่นกันซ้ำเป็นวงกว้างอีกรอบ ทำให้เกิดไฟไหม้ไปโดยรอบ ปิดทางเข้าออกเรือนหฤหรรษ์ไปชั่วคราว
พอผ่านพ้นจุดสกัดสำคัญได้แล้ว โจผี ซุนเต๋ง จิวท่าย ซุนลอง ได้แต่เร่งฝีเท้าสุดกำลัง พร้อมส่งสัญญาณพลุพยัคฆ์หยก โดยมีกลุ่มผู้พิทักษ์หลายสิบคนวิ่งไล่ตามมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนมาถึงประตูเมืองที่ยังมีพวกผู้พิทักษ์อีกกลุ่มหนึ่งดูแลอยู่ หัวหน้ากลุ่มผู้พิทักษ์ที่ติดตามมาจึงรีบตะโกนสั่งการ “คนเหล่านี้ฝ่าฝืนระเบียบ รีบสกัดจับไว้ แต่อย่าให้ถึงตาย”
พอได้ยินดังนั้น กลับเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายหลบหนี เพราะฝ่ายตรงข้ามแสดงท่าทีหวั่นเกรง ไม่กล้าลงมือรุนแรงต่อพวกตน โจผีและซุนเต๋งทั้งสามจึงไม่ออมมือ เร่งเปิดทางให้ตนเองเข้าใกล้ประตูเมือง เสียงโห่ร้องดังมาจากอีกด้านหนึ่ง เป็นกลุ่มคนในชุดชาวบ้าน พ่อค้า ชาวนา ชาวประมง ขอทาน คละปะปนกันมาหลากหลายสีสัน เสียงซุนลองตะโกนบอก “เป็นพวกเราเครือข่ายใต้ดินมาช่วยเหลือแล้ว”
กลุ่มคนเครือข่ายใต้ดินแฝงตัวอยู่ในเมืองสำคัญทุกหนแห่ง แม้แต่เมืองอ้วนเซียที่เคยถล่มไปแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่อาจละเลย ลกซุนที่เคยดูแลเครือข่ายดังกล่าวอยู่ช่วงเวลาหนึ่งจึงจัดส่งหน่วยกล้าตายชุดใหม่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อนแล้ว วันนี้ กองกำลังลับจึงได้มาช่วยเหลือเจ้านายน้อยในเมืองเดิมอีกครั้ง แต่เมื่อไม่มีเงาร่างของชนชั้นผู้นำเหมือนคราวก่อน ความห้าวหาญเก่งกาจจึงลดน้อยถอยลงกว่าเดิมมากนัก
การลงมือของเครือข่ายใต้ดินเป็นความสามารถทางอาวุธทรงประสิทธิภาพมากกว่าฝีมือการต่อสู้ ดังนั้น จึงเห็นกลุ่มคนที่มาใหม่ใช้บั้งไฟมังกร หน้าไม้เพลิง และระเบิดเพลิงก่อกวนเข้าใส่กลุ่มนักสู้ผู้พิทักษ์ แต่ก็พลอยทำร้ายผู้คนและบ้านเรือนไปด้วยอีกครั้งหนึ่ง เกิดเป็นเพลิงลุกไหม้กระจายไปรอบบริเวณ ผู้คนที่ทำภารกิจปกติในยามสายต่างหนีตาย วิ่งพล่านไปทุกทิศทุกทาง จนภาพเก่ากลับมาหลอกหลอนชาวเมืองอ้วนเซียอีกแล้ว
พอเกิดความวุ่นวายไปถึงระดับนี้ ก็สุดที่พวกผู้พิทักษ์ซึ่งเป็นกลุ่มนักสู้ชาวยุทธ์จะรับมือต้านกระแสผู้คนไว้ได้ จึงถอนตัวออกจากจุดล่อแหลมขึ้นสู่ที่สูง มองหาความเคลื่อนไหวของตัวการสำคัญ ปล่อยให้ฝูงชนที่กำลังตื่นตกใจหลั่งไหลไปตามท้องถนนหาสถานที่ปลอดภัย และผลักดันกลไกจนเปิดประตูเมืองได้สำเร็จ
โจผี ซุนลอง ลอบปะปนไปกับฝูงชน หลุดออกมาจากเมืองได้แล้ว แต่กลับไม่เห็นซุนเต๋ง จิวท่ายออกมาด้วย ทั้งสองสบสายตากัน ไม่ต้องกล่าววาจาใดๆ ก็รับรู้ความคิดซึ่งกันและกัน พอต่างคนต่างฉกชิงม้าทหารที่หลุดกระเจิงมาได้ โจผีก็ควบม้าจากไปตามทางหลวง มุ่งสู่เมืองฮูโต๋ทันที ส่วนซุนลองได้แต่บังคับม้าฝ่าฝูงชนผ่านประตูเข้าสู่ตัวเมืองอีกครั้ง
ห่างไปไม่กี่วา ซุนลองพบเห็นจิวท่ายกำลังอาบเลือดต่อสู้กับหัวหน้า และพวกนักสู้ผู้พิทักษ์อยู่ใกล้ประตูเมือง โดยมีซุนเต๋งกุมแขนคล้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ด้านหลัง เนื่องจากงานนี้เป็นการปกปิดหน้าตาชื่อเสียง พวกนักสู้จึงลงมือแบบไม่หวั่นเกรงจะเสียศักดิ์ศรีชื่อเสียง พอระดับหัวหน้าใหญ่ลงมือร่วมด้วย พวกซุนเต๋ง จิวท่ายมีคนน้อยกว่า จึงเสียเปรียบอยู่แล้ว แม้แต่พลังเสื้อผ้าเหล็กก็ต้านทานไม่ไหว
พอดี จิวท่ายเหลือบเห็นซุนลองควบม้ากลับมาในระยะไม่ไกลแล้ว จึงยอมสูญเสียจังหวะป้องกันตัวเอง หันมาเหวี่ยงร่างซุนเต๋งให้ลอยเข้าหาซุนลอง พร้อมเร่งพลังเสื้อผ้าเหล็ก ใช้ร่างกายตนเองแบกรับอาวุธฝ่ามือที่ฟาดฟันเข้ามาเอาไว้เพียงผู้เดียว ยืนขวางประตูเมืองเอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง แล้วค่อยตัดใจฟันกลไกประตูเมืองทิ้ง ปล่อยให้บานประตูสกัดกั้นร่วงหล่นลงมาทับร่างผู้คนที่กำลังเบียดเสียดอยู่ตรงนั้นไปด้วย สร้างความโกรธแค้นต่อฝูงชนจนหันมากลุ้มรุมทำร้ายยอดองครักษ์ด้วยมือเปล่าและก้อนหิน จนร่างกายบอบช้ำยับเยิน สิ้นชีพอยู่ตรงนั้นเอง สุดวิสัยที่พวกเครือข่ายใต้ดินจะมาช่วยเหลือได้ทัน ได้แต่สลายตัวทิ้งอาวุธกลืนหายไปกับผู้คนที่กำลังหลบหนีแทน
ฝ่ายซุนเต๋ง ซุนลอง ที่นั่งทรงตัวอยู่บนม้าด้านนอก เห็นการเสียสละขององครักษ์จิวท่าย ได้แต่ทำการคารวะขอบคุณเป็นครั้งสุดท้าย แล้วควบม้าหลบหนีไปทางทิศตะวันออก จนมาสมทบกับชีเซ่ง เตงฮองที่ยังนำทัพรั้งรออยู่ ในขณะที่ขุนพลเตียวเลี้ยวเพิ่งหลุดพ้นออกจากเมืองมาได้ในภายหลัง หยุดขบคิดชั่วครู่แล้วค่อยมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกแทน
โจผีควบม้าผ่านทุ่งเตียงปันที่ยังมีไฟไหม้ประปรายเป็นหย่อมๆ สวนทางกับทหารแตกทัพทั้งสามฝ่ายที่กำลังล่าถอยกลับพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองเป็นระยะๆ ทำให้กริ่งเกรงจะเกิดภัยไม่คาดคิด โจผีจึงทำเสื้อผ้าหน้าตาให้มอมแมมเปรอะเปื้อน กลบเกลื่อนตัวตนที่แท้จริง จนพบพานกับกลุ่มสามเทพบุตรที่กำลังรวบรวมไพร่พลกลับคืน จึงค่อยแสดงตัวสับเปลี่ยนพาหนะเป็นม้าศึก สั่งการให้โจจิ๋น โจฮิว กับทหารสายองครักษ์หลายสิบคนติดตามไปด้วยกัน ปล่อยให้แฮหัวป๋าที่ได้รับบาดเจ็บ อยู่ทำภารกิจเก็บกวาดไปก่อน แต่ทั้งนี้ กลับยังไม่พบพานร่องรอยของอิกิ๋ม ผู้เป็นแม่ทัพคนสำคัญแต่อย่างใด
พอได้เปลี่ยนม้าศึก และมีคนคุ้มกันเพิ่มเติม พวกโจผีก็มุ่งหน้าไปตามทางหลวงได้เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่สุดท้าย ก็ยังต้องเผชิญกับกลุ่มทหารซุ่มโจมตีที่กุนซือตันฮกวางทิ้งไว้อีกตามรายทาง โจจิ๋น โจฮิวจึงจำต้องหยุดเท้ารับมือ พร้อมกองทหารที่ติดตามมาที่ถูกแบ่งปันออกไปเรื่อยๆ ทำให้สุดท้าย เหลือเพียงโจผี และทหารอีกเพียงสิบกว่าคนหลุดรอดไป
บางจังหวะ โจผีคล้ายรู้สึกว่าถูกคนจับจ้องมองมาจากดงไม้ลึก ความรู้สึกข้างในบอกกับโจผีว่า บุคคลลึกลับนั้นคลับคล้ายกับอิกิ๋ม หนึ่งในขุนพลพยัคฆ์ที่สูญหายไปกับการแตกทัพครั้งที่สอง แต่คนขลาดเช่นนั้นอาจไม่พร้อมที่จะติดตามวุยก๋งกลับไปกอบกู้สถานการณ์ที่เมืองหลวง จึงได้แต่หดหัวหลบซ่อนตัวอยู่เช่นนั้น เรื่องราวที่อิกิ๋มถูกกวนอูจับตัวกลับไปประจานที่เมืองเกงจิ๋วย้อนกลับมาในความทรงจำทันที นับจากถูกแลกตัวเชลยกลับมา อิกิ๋มก็หมดสิ้นความห้าวหาญในอดีตไปเสียแล้ว
โจผีไม่อาจเสียเวลากับเรื่องปลีกย่อยเช่นนี้ จึงได้แต่ควบม้าไปข้างหน้า จนตระหนักว่า อีกไม่กี่สิบลี้เบื้องหน้า สมควรจะเป็นกองทัพกังแฮภายใต้การนำของเล่าฮองและตันฮก ที่เตรียมกระบวนทัพเพื่อจะบุกสู่เมืองหลวงฮูโต๋ รูปแบบการเดินทัพอย่างรวดเร็วเช่นนี้ สมควรได้รับการฝึกฝนเลียนแบบกองทัพเกลียวคลื่น และคงต้องยกความดีความชอบนี้ให้แก่ขุนพลกวนอูที่เคยสั่งการให้สร้างกองทัพห้าวหาญเตรียมเอาไว้ที่กังแฮมานานแล้ว
สุดท้าย พวกโจผีจึงต้องยอมสละม้าลงเดินทางต่อด้วยเท้าเปล่า เพื่อปกปิดร่องรอย และเคลื่อนรุกเข้าใกล้กองทัพเบื้องหน้า จนได้ประจักษ์ชัด อุปสรรคที่ทำให้กองทัพกังแฮไม่อาจรุกคืบเข้าสู่ฮูโต๋ตั้งแต่ช่วงบ่ายที่เดินทางมาถึงนั้น ก็เพราะพายุฝนที่กำลังกระหน่ำลงอย่างรุนแรง จนเส้นทางหลวงสายหลักถูกตัดขาดออกจากกันด้วยกองดินถล่ม และน้ำป่าเชี่ยวกรากเป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นเรื่องปกติของฤดูฝน แต่เนื่องจากครั้งนี้เป็นพายุฝนหลงฤดูลูกใหญ่ จึงสร้างความโกลาหลต่อผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่ไม่น้อย และพลอยทำให้กองทัพกังแฮร่วมสองหมื่นนายต้องหยุดชะงักลงโดยไม่คาดคิดมาก่อน
โจผีนึกขอบคุณฟ้าดินที่ส่งพายุฝนมาช่วยเหลือในครั้งนี้ พลางสั่งการให้ทั้งหมดอ้อมไปเข้าเส้นทางน้อยที่ทอดผ่านป่าเขารกครึ้ม เพื่อลอบเข้าเมืองหลวงให้ได้ทันก่อนฟ้ามืด จนมาถึงปากประตูเมืองได้สำเร็จ แต่ก็เป็นยามวิกาลมืดมิดที่มีพายุฝนยังคงซัดสาดอย่างหนักหน่วงเช่นเดิม และสภาวะน้ำหลากน้ำท่วมเริ่มคืบคลานมาถึงเมืองด้วยแล้ว
โจผีกับพวกมองเห็นเปลวเพลิงลุกไหม้จากภายในเมืองหลวง พร้อมเสียงดังกึกก้องของแรงระเบิด รับรู้ได้ในทันทีว่า เกิดเหตุวุ่นวายขึ้นแล้ว พลัน ประตูเมืองก็ถูกเปิดออก เล่าปี่ เสียวเอียนจื่อ จูล่ง อุยเอี๋ยน พร้อมกับกลุ่มทหารร่วมร้อยนายต่างขึ้นม้าควบทะยานออกมาฝ่ากระแสน้ำหลาก หายลับไปตามเส้นทางหลวงอย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดเพลิงดังซ้ำขึ้นที่ประตูเมืองอีกครั้ง ทำให้กองทหารรัฐบาลที่ไล่ตามมาทีหลัง ถูกโครงสร้างของประตูกำแพงเมืองหล่นใส่ ปิดกั้นกีดขวางเส้นทางการติดตามไปเสียแล้ว
โจผีรีบวิ่งเข้าไปแสดงตัว ประกาศเรียกให้เปิดประตูเล็กโดยเร็ว เห็นนายทหารประจำกำแพงลังเลใจ หายหน้าไปพักใหญ่ และแล้ว ประตูเล็กค่อยเปิดออก เห็นเป็นโจสิด เตงงาย ซึ่งรับหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในเมืองหลวงออกมารับด้วยตัวเอง
ตำแหน่งประตูเมืองเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ทั้งสองจึงตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่ และเพิ่งถูกพวกเล่าปี่หักหน้าฝ่าด่านหลบหนีไปได้หยกๆ แต่สถานการณ์อันวุ่นวายสับสนเช่นนี้ กลับทำให้สองพี่น้องคู่แค้นยอมละทิ้งเรื่องส่วนตัว เพื่อคลี่คลายปัญหาเฉพาะหน้าให้กับสกุลโจเสียก่อน
 
โจผีรีบอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ทั้งเรื่องราวของมือที่สามที่วางแผนร้ายในเมืองอ้วนเซีย และกองทัพกังแฮที่ติดขัดด้วยพายุฝน และน้ำหลากอยู่เบื้องหน้าไม่กี่สิบลี้ ทำให้โจสิด เตงงาย รับรู้ความรุนแรงของสถานการณ์ จึงฝากภารกิจตั้งรับไว้ให้กับเตงงายก่อน แล้วสองพี่น้องสกุลโจจึงรีบตรงเข้าสู่พระราชวังโดยเร็ว
ย้อนกลับไปที่เมืองอ้วนเซีย แทนที่จะพบเห็นบทสรุปการต่อสู้ระหว่างพวกรัฐบาล กับพวกสกุลจูกัด กลับกลายเป็นว่าทั้งหมดรวมทั้ง จูกัดกิ๋น กุนซือกังตั๋งที่ถูกพวกซุนเต๋งละทิ้งไว้ กลับนั่งลงจิบสุราสนทนากันเป็นการลับในเรือนหฤหรรษ์ โดยที่เล่าเสี้ยน และคหบดีทั้งหลายถูกควบคุมตัวไว้เป็นกลุ่มๆ โดยนักสู้ผู้พิทักษ์คลุมหน้า
“เมื่อครู่ พวกเราเล่นละครจัดฉากให้ต่างคนต่างนึกว่าทั้งหมดล้วนถูกคุมขังไว้ชั่วคราว ค่ำคืนนี้ จึงสมควรเป็นโอกาสที่พวกเรากลุ่มขบวนการฟ้าดินสามารถพูดคุยกันได้อย่างเต็มที่” ขงเบ้ง-จูกัดเหลียงเปิดประเด็น กล่าวต้อนรับพวกสุมาอี้ที่เพิ่งตกลงใจเข้าร่วมกับขบวนการฟ้าดินเมื่อสักครู่นี้ แสดงให้เห็นว่า สายสัมพันธ์ศิษย์ร่วมสำนักยังมั่นคงดีอยู่
ขงเบ้งจึงอธิบายสถานการณ์ห้สมาชิกได้เข้าใจตรงกัน “แผนการหลักในวันนี้ คือการเปิดทางให้พวกสกุลซุนลอบสังหารเหี้ยนเต้กลางงานเลี้ยง ก่อให้เกิดความวุ่นวายในพระราชวัง แล้วท่านพ่อจะลงมือสังหารโจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ไปในคราวเดียว เพื่อช่วงชิงอำนาจทางการเมืองเอาไว้ในมือ แต่หากเกิดผิดพลาด แผนสำรองก็รอรับอยู่แล้ว นั่นคือ เมื่อเล่าปี่ ซุนกวน หลบหนี ย่อมสมควรใช้เส้นทางใต้ ก็จะเผชิญหน้ากับกองทัพกังแฮของเล่าฮอง ตันฮก แทน พวกมันจึงไม่น่าจะหลุดรอดหลุมพรางครั้งนี้ไปได้”
ขงเบ้งกล่าวต่อ “การที่โจผี ซุนเต๋งหลุดรอดออกไปนั้น เป็นความจงใจของเราเองที่ต้องการจะให้หลงเหลือทายาทคนสำคัญเอาไว้ และเมื่อผู้นำรุ่นถัดไปรวบรวมกองกำลังต่อต้าน แต่ถูกทำลายซ้ำลงไปอีกครั้ง ก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำชัยชนะให้กับพวกเรามากยิ่งขึ้น ในไม่ช้า สกุลจูกัดก็จะสามารถรวบรวมแผ่นดินทั้งสามเอาไว้ในกำมือ”
แผนการของสกุลจูกัดรวบรัดชัดเจนยิ่งนัก ปลงพระชนม์ฮ่องเต้ กำจัดผู้นำทางการเมืองกุนซือ และขุนพลสำคัญของแต่ละฝ่าย แต่น่าเสียดายที่ฟ้าดินไม่เป็นใจ ถึงกับเกิดปาฏิหาริย์หยกมังกรที่กลายมาเป็นตัวแปรสำคัญ ทำลายแผนการพิสดารไปจนได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา