24 ส.ค. 2021 เวลา 04:14 • อาหาร
เรื่องราวของ "ส้ม" ผลไม้ดับกระหาย สามัญประจำบ้าน
ช่วงนี้อากาศร้อน อบอ้าวมาก ๆ โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน
พอตกเย็น เดี๋ยวก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน
แต่กว่าฝนจะตกให้ชุ่มฉ่ำในตอนเย็น ก็จะต้องพึ่งผลไม้หรือนำผลไม้ช่วยคลายร้อน ลดระดับความเครียดกันสักหน่อย
“ส้ม” ก็เป็นหนึ่งในผลไม้ดับกระหาย คลายร้อน ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นผลไม้สามัญประจำบ้าน
ที่มัทั้งความสะดวกสบายในการทานและความหลากหลายของสายพันธุ์ส้มที่ให้เราเลือกทานกันสนุก
ถ้าหยั่งงั้น วันนี้พวกเรา InfoStory ขอพาเพื่อน ๆ ไปรับชมภาพอินโฟกราฟิกเรื่องราวเกี่ยวกับ “ส้ม” ที่น่าสนใจกันเลย !
อ้อ ! นอกจากส้มแล้ว ผลไม้อีกอย่างที่เราชอบทานดับร้อนก็คือ แตงโม
ทานแล้วชื่นใจมาก ๆ เช่นกัน ไว้เดี๋ยวตอนต่อไปจะทำนำมาให้เพื่อน ๆ ชมกันนะ 🙂
“ส้ม” เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กหลายชนิด ว่ากันว่ามีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนอย่างทวีปเอเชียตอนใต้ หรือ ทางฝั่งยุโรปตอนใต้เช่น สเปน โปรตุเกส หรือ ฝรั่งทวีปอเมริกาใต้อย่างบราซิล (ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนการการผลิตส้มเยอะที่สุดในโลก ในปีที่ผ่านมา)
ส้ม เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ที่อยู่ในสกุล “Citrus” จัดอยู่ในวงศ์ Rutaceae
ซึ่งจะว่าไปแล้ว พืชที่ในสกุลและวงศ์เดียวกันกับส้มเนี่ย ก็มีด้วยกันนับร้อยชนิดเลยละ
ที่เป็นกว่าร้อยชนิด ก็เพราะว่าพืชที่อยู่ในกลุ่มของซิตรัส (Citrus) ก็คือ พืชผลไม้ที่ให้รสชาติเปรี้ยวและอาจตามด้วยหวาน อย่างเช่น มะนาว เลมอน เกรปฟรุตและพืชตระกูลส้ม
ประโยชน์ที่สำคัญของผลไม้ในกลุ่มซิตรัสเนี่ย ก็จะมีจุดเด่นในเรื่องของวิตามินซีที่สูง มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงในเรื่องของบำรุงผิวอีกด้วย
ใช่แล้ว ! นี่พวกเราก็กำลังพูดถึงส้มอยู่ด้วย !
อะ… แล้วชื่อ “Orange” ที่แปลได้ทั้งส้ม(สี) และ ส้ม(ผลไม้)
มันกำเนิดมาได้อย่างไร ? แล้วส้มไหน มาก่อนกัน ?
ถึงแม้ว่าต้นกำเนิดของชื่อทั้ง 2 อย่าง จะเกิดในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกัน คือ ช่วงศตวรรษที่ 16
แต่ในกรณีนี้ ต้องขอตอบว่า คำว่า “Orange” ที่แปลว่าส้ม(ผลไม้) นั้น คือต้นตำรับที่แท้จริงจ้า !
โดยในเวลาไม่นานนัก จึงได้มีคำเรียกเป็นเฉดสีส้มเฉกเช่นเดียวกันกับสีของผลส้ม นั่นเอง
เอ้อ ! ก่อนหน้าที่จะมีคำว่าสีส้ม (Orange) เนี่ย
ชาวฝรั่งเขาก็จะเรียกสีส้มว่าเป็นสี “Yellow-Red” หรือ “Red Yellow” ตรง ๆ ไปเลยจ้า
จนกระทั่งชาวยุโรปได้รู้จักผลไม้ที่มีชื่อว่าส้ม ที่มาจากประเทศจีน นั่นเอง
“ผลส้ม” ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศในทวีปเอเชีย อย่าง ตอนใต้ของประเทศจีน ตอนเหนือของทางอินเดีย หรือ บริเวณประเทศพม่าในปัจจุบัน
แต่จากบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรของชาวยุโรปและกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกา
ก็ได้บอกว่า พวกเขารู้จักผลไม้ชนิดนี้จากการนำเข้ามาค้าขายของพ่อค้าชาวโปรตุเกสที่กลับมาจากประเทศจีน
ซึ่งพอไปดูเรื่องราวของส้มในประเทศจีนเนี่ย
ก็พบว่า “ผลส้มอันหวานชุ่ม” ได้ถูกกล่าวถึงอยู่ในบทกลอนหลาย ๆ อันที่เกิดขึ้นในช่วง 300 ปี ก่อนคริสตกาล (แต่ไม่ได้บอกว่าถูกบันทึกในภาษาจีนที่เขียนแบบใดนะ)
ทางตอนมใต้ของประเทศจีน
โดยผลส้มชนิดแรก ๆ ที่เริ่มเป็นที่รู้จักในสายตาชาวโลกก็คือ “ส้มสายพันธุ์แมนดาริน” ที่ว่ากันว่าพัฒนามาจากสายพันธุ์ของส้มโอที่อยู่ตระกูลซิตรัส มาอีกที
(แต่บางส่วนก็เชื่อว่า เจ้าส้มพันธุ์นี้ มันก็คือส้มโอขนาดย่อส่วนตะหากละ !)
ส้มแมนดาริน เขามีจุดเด่นในเรื่องของรสชาติที่หวานนำเปรี้ยวอ่อน ๆ ทานง่าย สีสวย (เป็นสีมงคลของจีนด้วย)
แน่นอนว่าถ้าเป็นผลส้มสีเขียวทางฝั่งยุโรปหรืออเมริกาที่มีรสชาติออกขมหน่อย ๆ เนี่ย ก็คงจะไม่เป็นที่นิยมมากสักเท่าไรเนอะ
ส้มแมนดารินจ้า
อะ โอเค...กลับมาที่เรื่องที่มาขอคำว่า Orange อีกสักนิด (ยังไม่จบ ๆ )
เพื่อน ๆ ทราบไหมว่า รากฐานของคำว่า “ Orange ” ที่แปลว่าส้มในภาษาอังกฤษ
มันมาจากคำภาษาสันสกฤต “nāraṅga” ที่แปลว่า “ซ่อนกลิ่น”
ซึ่งก็มาจากผลไม้ที่จักรพรรดิเปอร์เซีย (Persian emperors) จะชอบสะสมไว้ในสวนหย่อมส่วนตัว
ด้วยความที่ผลส้มและต้นส้มเนี่ย มันหายากมาก จักรพรรดิก็เลยจะหวงเป็นพิเศษ
และด้วยความพิเศษของส้มคือ เป็นผลไม้ที่ไม่มีกลิ่นภายนอก แต่ทันทีที่ปลอกเปลือกและหั่นออกมา ก็จะมีกลิ่นเฉพาะตัวในทันที
มันก็เลยเป็นที่มาของคำว่า “ซ่อนกลิ่น” ที่ในส้มจะมีกลิ่นที่หอมสมชื่น ชวนให้อยากกิน นั่นเองจ้า
รวมไปถึงดอกของต้นส้มจะมีสีขาวบริสุทธิ์ ที่มีกลิ่นที่หอมชวนดม อีกด้วยเช่นกัน
ในอีกตำนานหนึ่ง เขาได้บอกว่าผลส้มเนี่ย ที่มันเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างกับชาวตะวันตกได้ ก็เพราะว่าพ่อค้าชาวอาหรับที่เป็นชาวมัวร์ อาศัยอยู่ในคาบสมุทรไอบีเรียและแอฟริกาเหนือ ซึ่งมันตรงข้ามกับสเปน ตะหากละ !
โดยชาวอาหรับกลุ่มนี้ ได้นำผลส้มที่มาจากประเทศอินเดียและจีน เผยแพร่มายังอาณานิคมของชาวสเปนและโปรตุเกส
และนั่น จึงทำให้เจ้าอาณานิคมทั้งสอง ได้นำไปทำการค้าขายกันต่อกับชาวยุโรป
ซึ่งชื่อเรียกส้มในภาษาสเปนก็คือ “Naranja”
ส่วนชาวฝรั่งเศสโบราณที่เพิ่งรู้จักผลส้ม ก็เรียกชื่อว่า “orenge”
จนพัฒนามาใช้ในภาษาอังกฤษว่า “Orange” นี่เองจ้า
ขอเสริมนิดนึง
เพื่อน ๆ หลายคนคงมีคำถามว่า เอ้อ ! แล้วสีแทงเจอร์รีนละ ? มันก็ส้มเหมือนกันนี่นะ...
(เราเป็นหนึ่งในนั้นละ)
ในตอนแรกเนี่ย สีแบบส้มเขียวหวาน หรือ แทงเจอร์รีน (Tangerine) ยังไม่ได้ถูกนับว่าเป็นสีส้มพร้อม ๆ กับ Orange
จนกระทั่งในช่วงปี ค.ซ. 1899 ก็ได้มีการบัญญัติคำศัพท์ที่เรียกเฉดสีใหม่ที่ชื่อว่า “แทงเจอร์รีน (Tangerine)” ที่ใช้อธิบายถึงสีส้มที่มีความเข้มขึ้นมา (ไม่สว่างโปร่งแบบ Orange)
ทั้งนี้เรื่องราวของการจัดแบ่งสปีชีส์ของผลส้มกับความชัดเจนของผลไม้อื่น ๆ ในกลุ่มซิตรัสเนี่ย ก็มีนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญ อย่างเช่น
- คุณ ที. สวิงเกิล นักวิทยาศาสตร์ของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา ได้ทำวิจัยมาว่าส้มเนี่ย มันก็เรียกว่าซิตรัส และแบ่งออกเป็นลักษณะที่คล้ายกันมาเพียงแค่ 16 สายพันธุ์
- แต่ว่าอีกฉบับหนึ่งของคุณ โยสะบุโร ทานากะ นักวิทยาศาสตร์จากประเทศญี่ปุ่น ก็ได้แบ่งส้มและพืชอื่น ๆ ในตระกูลของซิตรัส ออกมาได้มากถึง 145 สปีชีส์เลยทีเดียวนะ !
อย่างไรก็ดี เรื่องราวทั้งหมดของการแบ่งสปีชีส์ของซิตรัสมันมาจบที่ คุณเดวิด แมบเบอร์ลีย์ (David Mabberley) นักวิทยาศาสตร์ที่จำแนกซิตรัสออกเพียงแค่ 3 สปีชีส์คือ ซิตรอน (Citrus medica) ส้มโอ (Citrus maxima) และ ส้มแมนดาริน (Citrus reticulata)
(ส่วนพวกมะนาวก็เป็นพันธุ์ผสมระหว่าง ซิตรอนและส้มแมนดาริน)
จบที่คุณเดวิด แมบเบอร์ลีย์ (David Mabberley) นักวิทยาศาสตร์และนักพฤษศาสตร์
ซึ่งเจ้าเวอร์ชั่นนี้ละ ที่ได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาตร์ทั่วโลก นั่นเองจ้า
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
เพื่อน ๆ ทราบไหมว่าในปีที่ผ่านมา (2020) ประเทศใดที่ผลิตส้มมากที่สุดในโลก ?
(ตอนต้นแอบมีบอกไปแล้วด้วย แห่ะ ๆ)
อันดับที่ 1 ประเทศบราซิล ผลิตไป 15.62 ล้านตัน
อันดับที่ 2 ประเทศจีน ผลิตไป 7.3 ล้านตัน
อันดับที่ 3 ประเทศในสหภาพยุโรป ผลิตไป 6.2 ล้านตัน
ก็พอหอมปากหอคอกันไป
งั้นวันนี้พวกเรา InfoStory ขอเตรียมตัวไปปอกส้มทานดับร้อนในช่วงบ่ายก่อนดีกว่า 🙂
โฆษณา