9 ก.ย. 2021 เวลา 03:43 • หนังสือ
#74 เล่ม 3 บทที่ 17 หน้า 377 ~ 385
...
N : พระองค์บอกไว้ก่อนหน้านี้ว่า พระองค์ดลใจนักเขียนเป็นร้อยเป็นพันคน ดลใจผู้นำสาสน์มากมาย มีหนังสือเล่มอื่นๆที่เราควรให้ความสนใจอีกมั้ยครับ❓
...
...
...
G : มันมากเกินกว่าจะเอามาแจกแจงตรงนี้ได้หมด ทำไมไม่ลองสืบค้นดูเอง จากนั้นก็ไล่เรียงหนังสือเล่มที่เธอรู้สึกสนใจเป็นพิเศษออกมา แล้วก็แบ่งปันมันกับคนอื่นๆ
ฉันพูดผ่านนักประพันธ์ กวี นักเขียนบทละคร จำนวนมากมายมาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกาลเวลาแล้ว ฉันสอดแทรกสัจธรรมของฉันลงไปในเนื้อร้องของบทเพลง บนผืนภาพวาด ในรูปทรงแกะสลัก ในทุกจังหวะการเต้นของหัวใจมนุษย์มาเนิ่นนานแล้ว และฉันก็จะทำแบบนี้ต่อไปตราบนานเท่านาน
🔸แต่ละคนจะเกิดปัญญาตามวิถีทางที่ตนจะเข้าใจมันได้มากที่สุด บนหนทางที่ตนคุ้นเคยที่สุด🔸
ผู้นำสาสน์ของพระเจ้าแต่ละคนต่างซึมซับความจริงจากห้วงยามที่เรียบง่ายที่สุด และแบ่งปันหรือถ่ายทอดออกไปด้วยความเรียบง่ายดุจเดียวกัน
🛑 เธอก็คือผู้นำสาสน์ที่ว่านั่น — จงออกไปบอกผู้คนให้ใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความจริงสูงสุดของตน แบ่งปันภูมิปัญญาแก่กันและกัน มีประสบการณ์ถึงความรักด้วยกัน บอกพวกเขาว่าพวกเขาสามารถมีชีวิตที่สงบสุขและอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองได้
📌 เมื่อนั้นอารยธรรมของเธอจึงจะยกระดับขึ้นสู่อารยธรรมขั้นสูง เหมือนกับอารยธรรมอื่นๆที่เราได้พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ได้
N : เป็นว่าความต่างหลักของสังคมมนุษย์กับอารยธรรมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงอื่นๆในจักรวาลคือ "แนวคิดเรื่องการแบ่งแยก" ที่มนุษย์มี
G : ถูกต้อง หลักการที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมขั้นสูงก็คือ :
⏺️ "ความเป็นเอกภาพ"
⏺️ รวมถึงการตระหนักรู้ถึง "ความเป็นหนึ่งเดียวกัน"
⏺️ และ "ความศักดิ์สิทธิ์ของทุกชีวิต"
สิ่งที่เราจะพบเห็นได้ในสังคมที่พัฒนาแล้วทั้งหมดก็คือ : ▶️ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆไม่มีใครประสงค์จะยุติชีวิตอื่นในสายพันธุ์เดียวกัน ถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของชีวิตนั้น
N : ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด❓
G : ถูกต้อง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
N : แม้ว่าเรากำลังถูกโจมตีหรือถูกทำร้าย❓
G : สถานการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นในสังคมหรือในสายพันธุ์นั้น
N : แล้วถ้าการโจมตีนั้นไม่ได้มาจากสายพันธุ์เดียวกันแต่มาจากภายนอกล่ะครับ❓
G : หากสายพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงถูกโจมตีจากสายพันธุ์อื่น รับประกันได้ว่าผู้โจมตีต้องมีวิวัฒนาการที่ต่ำกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้โจมตีจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่พัฒนาอย่างแน่นอน
✨เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาแล้วที่ไหนจะเข้าโจมตีและทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่น✨
N : เข้าใจแล้วครับ
G : เหตุผลเดียวที่สายพันธุ์ที่ถูกโจมตีจะโจมตีกลับและปลิดชีวิตอีกฝ่ายก็คือ : 💢สิ่งมีชีวิตที่ถูกโจมตีนั้นหลงลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง💢
ถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นคิดว่าตนคือร่างกายที่มีเลือดเนื้อ (คือสิ่งมีชีวิตทางกายภาพ) เขาก็อาจปลิดชีวิตผู้บุกโจมตี เพราะกลัวว่า “ชีวิตตนจะจบสิ้น”
🛑 ในทางตรงกันข้าม ถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าตน ‘ไม่ใช่’ ร่างกาย (ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทางกายภาพ) เขาก็จะไม่มีวันยุติการดำรงอยู่ทางร่างกายของอีกฝ่าย เพราะไม่มีเหตุผล (อะไรเลย) ที่จะทำอย่างนั้น เขาจะเพียงปลดปล่อยกายสังขารของตน (ยอมถูกฆ่า) แล้วเคลื่อนสู่ประสบการณ์ของตัวตนอันไร้รูปกายต่อไป
N : เหมือนกับโอบีวัน เคโนบี❗★
[★Obi-Wan Kenobi (อัศวินเจได) หนึ่งในตัวละครหลักในภาพยนตร์ชุด สตาร์วอร์ เป็นอาจารย์เจไดที่มีชื่อเสียงและเป็นตำนาน ได้รับการฝึกฝนจากอาจารย์โยดาและไควกอน จินน์ และเป็นผู้ฝึกสอนวิถีแห่งพลังให้แก่ทั้ง อนาคิน และลุค สกายวอล์คเกอร์
 
โอบีวันเสียชีวิตในการดวลกับดาร์ธ เวเดอร์ เขาถูกฟันเข้าจังๆแต่ร่างของเขาได้หายไปเหลือแต่ผ้าคลุมกับกระบี่แสงของเขา จากนั้นเขาได้กลายเป็นร่างจิตวิญญาณที่คอยแนะนำลุคอยู่ตลอดเวลา — ผู้แปล]
G : ถูกต้องที่สุด เหล่านักเขียน “นิยายวิทยาศาสตร์” (ที่เธอเรียกอย่างนั้น) มักพาเธอสู่ความจริงที่กว้างไกลขึ้น
N : ผมต้องขอหยุดตรงนี้ก่อนครับ เพราะนี่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับสิ่งที่พระองค์บอกไว้ในเล่ม 1
1
G : ขัดแย้งตรงไหน❓
N : เล่ม 1 บอกว่าเวลาที่มีใครเข้ามาทำร้ายเรา มันไม่ดีที่จะปล่อยให้เกิดการทำร้ายต่อไปเรื่อยๆ เล่ม 1 บอกว่าเวลาแสดงออกด้วยความรักขอให้รวม ‘ตัวเอง’ เข้าไปในคนที่เรารักด้วย
แล้วยังดูเหมือนจะบอกอีกว่าจงทำทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้เพื่อหยุดยั้งการโดนทำร้าย มันยังบอกถึงขั้นว่า ‘สงคราม’ เป็นเรื่องที่โอเคในฐานะที่เป็นการตอบสนองต่อการถูกจู่โจมทำร้าย แล้วที่ผมยกมาตรงๆเลยก็คือ “...เราไม่อาจปล่อยให้ผู้กดขี่ได้เติบกล้า แต่ต้องหยุดการกดขี่นั้นลง”
มันยังบอกอีกว่า “การเลือกเป็นเหมือนพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าเธอต้องเลือกเป็นผู้อาสาแบกทุกข์ และแน่นอนไม่ได้หมายความว่าให้เธอเลือกเป็นเหยื่อด้วย”
แต่ตอนนี้พระองค์กำลังบอกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงจะไม่มีวันจบชีวิตทางกายภาพของอีกฝ่าย
สองข้อความนี้จะไปด้วยกันได้ยังไงครับ❓ มันไม่ขัดแย้งกันเองเหรอ❓
G : กลับไปอ่านเล่ม 1 อีกรอบ...อย่างตั้งใจ★
[★อ่านทบทวนได้ตามลิงค์ครับ — แอดมิน
📌 การตอบของฉันทั้งหมดจะต้องถูกพิจารณาภายใต้บริบทที่เธอสร้างขึ้น – ภายใต้บริบทของคำถามของเธอ
ลองอ่านข้อความตรงช่วงนั้นของเล่ม 1 ในข้อความตรงนั้นเราเข้าใจตรงกันว่า : 🔹เธอยังไม่ได้มีระดับของความเข้าใจอยู่ในระดับพ้นสมมติ🔹
ขณะนั้นเธอบอกว่า : "บางทีคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นก็ทำร้ายเธอ" — จากตรงนั้นเธอก็ถามว่า : "เราจะตอบสนองต่อประสบการณ์ของการถูกทำร้ายและถูกทำให้เสียหายให้ดีที่สุดได้อย่างไร"
การตอบของฉันทั้งหมด "ต้องดูจากบริบทตรงนั้น"
อย่างแรกฉันบอกว่า : 🔸“วันนั้นจะมาถึง วันที่ถ้อยคำและการกระทำของคนอื่นจะ ‘ไม่’ ทำร้ายเธออีกต่อไป — เธอจะเป็นเหมือนกับ โอบีวัน เคโนบี ที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือเสียหาย แม้แต่ตอนที่มีคน “กำลังฆ่า” เธอ”🔸
🌟 นี่คือระดับที่เหล่าสมาชิกของสังคมที่ฉันกำลังอธิบายอยู่ได้บรรลุถึง
🌟 สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นตระหนักชัดว่าตัวเอง คือใคร และ ไม่ใช่ใคร
🌟 มันยากมากๆที่จะทำให้หนึ่งในพวกเขาเหล่านั้นรู้สึก “เสียหาย” หรือ “โดนทำร้าย” แม้ร่างกายกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ตาม พวกเขาจะแค่ ‘ออกจากร่างไป’ แล้วทิ้งร่างเอาไว้ให้เธอ หากเธอรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำร้ายมันมากขนาดนั้น
ประเด็นต่อมาที่ฉันตอบเธอในเล่ม 1 ก็คือ : 🔸ที่เธอมีปฏิกิริยาต่อคำพูดและการกระทำของคนอื่นออกไปแบบนั้นก็เพราะเธอหลงลืมตัวตนที่แท้จริงของตน — แต่ฉันก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร มันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ เป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการ เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต🔸
แล้วฉันก็พูดข้อความที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งว่า : 💥ตลอดกระบวนการของการเติบโตนี้ “เธอต้องเริ่มจากระดับที่เธอเป็น ระดับของความเข้าใจที่เธอมี ระดับของความพร้อม และระดับของการจดจำได้”💥
📌 ‘ทั้งหมดที่ฉันพูดตรงนั้นอยู่ภายใต้บริบทในตอนนั้น’
ฉันพูดในเล่ม 1 ด้วยซ้ำว่า : 🔹“เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของการพูดคุยนี้ ฉันจะถือว่าเธอยังคง...พยายามระลึกถึงตัวตนที่แท้จริง (พยายามทำให้ตัวตนนั้นปรากฏเป็นจริง) อยู่”🔹
📌 ภายใต้บริบทของสังคมที่ผู้คนยังระลึกถึงตัวตนที่แท้จริงของตนไม่ได้ การตอบคำถามของฉันในเล่ม 1 จึงต้องคำนึงถึงบริบทนั้น
💥 แต่เธอไม่ได้ถามคำถามพวกนั้นกับฉันในตอนนี้ แต่ขอให้ฉันอธิบายถึง ‘สังคมที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงในจักรวาล’
และไม่ใช่เฉพาะกับหัวข้อนี้เท่านั้น แต่ยังกับทุกเรื่องที่เราจะคุยกันตรงนี้ด้วย มันจะเป็นประโยชน์ต่อเธอหากเธอไม่มองว่าการอธิบายถึงวัฒนธรรมอื่นๆนี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมของพวกเธอเอง
1
🛑 ไม่มีการตัดสินใดๆตรงนี้ แล้วก็ไม่มีการกล่าวประณามใดๆด้วย หากเธอจะกระทำหรือมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงกว่าเธอ
🌟 ฉะนั้นสิ่งที่ฉันจะบอกตรงนี้ก็คือ : สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงของจักรวาลจะไม่มีวัน “ฆ่า” สิ่งมีชีวิตอื่นด้วยความโกรธ
⏺️ อย่างแรกคือ พวกเขาจะ ‘ไม่รู้สึกโกรธ’
⏺️ สองคือ พวกเขาจะไม่ยุติประสบการณ์ในรูปกายของสิ่งมีชีวิตอื่นโดยที่สิ่งมีชีวิตนั้นไม่ยินยอม
⏺️ และ สาม (คำตอบเฉพาะต่อคำถามเฉพาะของเธอ) พวกเขาจะไม่มีวันรู้สึก “ถูกโจมตี” แม้แต่จากภายนอกสังคมหรือนอกสายพันธุ์ของตน เพราะการจะรู้สึก “ถูกโจมตี” ได้นั้นเธอต้องรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังพรากบางสิ่งไปจากเธอ ไม่ว่าจะเป็นชีวิต คนรัก อิสรภาพ ทรัพย์สมบัติ หรือข้าวของ...อะไรสักอย่างที่เธอครอบครอง
🌟 แต่สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงจะไม่มีวันรู้สึกอะไรแบบนั้น เพราะสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงจะให้เธอไม่ว่าอะไรก็ตามที่เธออยากได้มากเสียจนพร้อมที่จะใช้กำลังเพื่อให้ได้มา แม้นั่นจะหมายถึงการต้องสละร่างให้ไป
🌟 เพราะสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงรู้ว่าตนสามารถ ‘สร้างทุกสิ่งขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง’ พวกเขาจะส่งมอบทุกอย่างให้โดยธรรมชาติแก่สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการต่ำกว่าที่ยังคงไม่รู้เรื่องนี้
1
🌟 ดังนั้น สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงจะไม่รู้สึกทุกข์ทรมานหรือรู้สึกตกเป็นเหยื่อจาก “การกดขี่” ของใคร
🌟 ทว่ามันยังมีอะไรที่มากไปกว่านั้น เพราะสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงไม่เพียงแต่รู้ชัดว่าตนสามารถสร้างทุกสิ่งขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้งเท่านั้น
🌟 หากยังรู้ด้วยว่าตน ‘ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้น’ เพราะรู้ว่าความสุขหรือการมีชีวิตรอด “ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นใด”
🌟 พวกเขาเข้าใจว่าตนไม่มีข้อเรียกร้องอะไรภายนอกตัวเอง และรู้ว่า “ตัวเอง” ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ 🔹ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโลกทางกายภาพเลย🔹
💢 สิ่งมีชีวิตและเผ่าพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการที่ต่ำกว่ามักจะไม่รู้เรื่องนี้
🌟 ท้ายที่สุด สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงจะเข้าใจว่า “ตนและผู้ทำร้ายตนคือหนึ่งเดียวกัน” โดยเห็นว่าผู้ทำร้ายเป็นด้านที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาของตัวเขาเอง และหน้าที่ของเขาในสถานการณ์นั้นก็คือการเยียวยาบาดแผลทั้งมวล เพื่อว่าทั้งหมด (ทุกส่วน) ที่เป็นหนึ่งเดียวกันนั้นจะได้รู้จักตัวเองตามที่เป็นจริงอีกครั้ง
🌟 การให้ทุกสิ่งที่ตัวเองมีก็เหมือนกับการให้ยาลดไข้บรรเทาปวดแก่ตัวเอง
N : โว้ววว ช่างเป็นแนวคิดที่สุดๆไปเลย เป็นความเข้าใจที่เหลือเกินจริงๆ❗
แต่ผมต้องขอย้อนกลับไปที่พระองค์พูดก่อนหน้านี้สักนิด พระองค์บอกว่าสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง (highly evolved beings) —
G : — จากนี้ไปเราพูดเป็นตัวย่อดีกว่าว่า “สวส.” (HEBs) คำมันยาวเกินไปที่จะเขียนซ้ำๆ
N : ดีครับ คือพระองค์บอกว่า “สวส.” จะไม่ยุติประสบการณ์ทางรูปกายของสิ่งมีชีวิตอื่นโดยที่สิ่งมีชีวิตนั้นไม่ยินยอม
G : ถูกต้อง
N : แต่ทำไมใครสักคนถึงได้ยินยอมให้ใครอีกคนมาจบชีวิตทางกายภาพของตนด้วยล่ะครับ❓
G : มีเหตุผลสารพัด อย่างเช่น เพื่อมอบตัวเองให้เป็นอาหาร หรือเพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นบางอย่าง เช่น หยุดยั้งสงคราม
N : นี่ต้องเป็นเหตุผลที่ทำไม (แม้แต่ในวัฒนธรรมของพวกเราเอง) หลายคนจะไม่ฆ่าสัตว์ใดๆเพื่อนำมาเป็นอาหารหรือทำเป็นแผ่นหนังสัตว์โดยไม่ได้ขออนุญาตต่อจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนั้นก่อน
G : 📌 ใช่ นี่คือวิถีของชนพื้นเมืองอเมริกัน (อินเดียนแดง) ผู้ซึ่งไม่ยอมแม้แต่จะเด็ดดอกไม้ สมุนไพร หรือพืชพรรณโดยไม่สื่อสารทางจิตแบบนั้นก่อน★ วัฒนธรรมพื้นเมืองทั้งหมดของพวกเธอก็ทำแบบเดียวกัน มันน่าสนใจตรงที่พวกเธอเรียกชนเผ่าและวัฒนธรรมเหล่านั้นว่า “ล้าหลังและป่าเถื่อน”
[★ใครเคยดูหนังเรื่อง อวตาร น่าจะพอนึกภาพออก — แอดมิน]
N : ให้ตายเหอะ พระองค์คงไม่ได้กำลังบอกพวกเราว่าห้ามเด็ดหัวผักกาดจนกว่าจะขออนุญาตมันก่อนหรอกนะใช่มั้ย❓
G : เธอจะเลือกทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ตรงนี้เธอถามฉันว่า : “สวส.” จะทำอย่างไร
N : ถ้าอย่างนั้นชนพื้นเมืองอเมริกันก็เป็น “สวส.” งั้นหรือครับ❓
G : ทุกเผ่าพันธุ์และทุกสายพันธุ์มีอย่างหนึ่งที่ไม่ต่างกันก็คือ : บางส่วนก็ใช่ บางส่วนก็ไม่ใช่ 🔹มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน🔹
🛑 ทว่าในฐานะวัฒนธรรม กลุ่มชนเหล่านั้นก็ถือว่าอยู่ในขั้นสูง ความเชื่อทางวัฒนธรรมที่อธิบายประสบการณ์หลายอย่างของชนพื้นเมืองนั้นมีระดับของความเข้าใจที่สูงมาก แต่พวกเธอกลับบังคับให้พวกเขาเอาความเชื่อของพวกเขาเหล่านั้นมาผสมปนกับมายาคติทางวัฒนธรรมของพวกเธอ
N : เดี๋ยวก่อน❗ พระองค์กำลังพูดอะไร❓ ไอ้พวกอินเดียนแดงมันป่าเถื่อนไร้อารยะ❗ เราถึงต้องฆ่าพวกมันเป็นพันๆแล้วจับกักบริเวณให้อยู่ได้เฉพาะที่ที่เราเรียกว่าเขตสงวนพันธุ์❗
เราถึงต้องเอาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันมาสร้างเป็นสนามกอล์ฟ เราจำเป็นต้องทำ ไม่อย่างนั้นพวกมันจะแสดงความเคารพพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และจดจำเรื่องสืบทอดทางวัฒนธรรมของพวกมันได้ แล้วจากนั้นก็จะทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ของตนต่อไป เรายอมไม่ได้หรอก
G : เห็นภาพเลย
N : ยัง ยังหรอก เพราะถ้าเราไม่ปราบพวกมันให้เรียบและลบล้างวัฒนธรรมของพวกมันให้สิ้นซาก มันอาจจะส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมของพวกเราได้❗ พวกเราคงได้ประสาทเสียกันพอดี❗
หากปล่อยไว้พวกเราคงต้องเคารพผืนดินและอากาศ ไม่ยอมปล่อยมลพิษลงสู่แม่น้ำ แล้วอุตสาหกรรมของพวกเราจะเป็นยังไง❗
ประชากรทั้งหมดคงเดินกันล่อนจ้อน ไร้ยางอาย อาบน้ำในแม่น้ำลำธาร ใช้ชีวิตอยู่กับผืนดินและธรรมชาติ แทนที่จะไปอัดกันเป็นปลากระป๋องอยู่ในย่านทำเลหรู คอนโดมิเนียม และตึกแถว จากนั้นก็ไปทำงานในป่าคอนกรีตที่มีแต่ความรุนแรงและสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย
ทำไมเราถึงต้องไปนั่งฟังคำสอนจากภูมิปัญญาโบราณรอบกองไฟแทนที่จะได้นั่งดูโทรทัศน์ด้วย❗ หากเป็นอย่างนั้นพวกเราจะไม่มีความก้าวหน้าอะไรเลย
G : 🌟 โชคดีไป ที่พวกเธอรู้ว่าอะไรดีกับพวกเธอ...
(จบ — บทที่ 17)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา