18 ต.ค. 2021 เวลา 09:00 • ไลฟ์สไตล์
ชวนมารู้จัก "ดอกไม้" ที่ทั้งสวยและทานได้ มีอะไรกันบ้างนะ ?
“เมื่อความสวยงาม สามารถทานได้”
เราขอเริ่มด้วยคำนิยาม ของ ดอกไม้ที่สามารถรับประทานได้ (Edible Flowers)
ถ้าอย่างนั้น วันนี้ ให้พวกเรา InfoStory พาเพื่อน ๆ ไปดูดอกไม้ที่ทั้งสวย และ รับประทานได้ ในภาพสวย ๆ ด้านล่างนี้กันเลย !
น่าเสียดายที่พื้นที่อันจำกัด ทำให้พวกเราสามารถเลือกดอกไม้ มานำเสนอให้เพื่อน ๆ ชม เพียงแค่ 6 ชนิด
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ยังมีดอกไม้อีกมากมายหลายชนิดเลย ที่นิยมนำมารับประทานกัน ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ ของทานเล่นที่นำมาทานเป็นสลัด หรือ นำมาชุปแป้งทอดหรือจะทานยามว่าง เป็นชาดอกไม้ยามบ่าย
เอาไว้ ในโพสต่อ ๆ ไป พวกเราจะพยายามหาดอกไม้ที่ทานได้ และ มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ นำมาเล่าสู่กันฟัง ให้กับเพื่อน ๆ เหมือนเดิม 🙂
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากอ่านเรื่องราวเบาสมอง เกี่ยวกับดอกไม้ทานได้ต่อ ก็เชิญอ่านด้านล่างต่อได้เลยจ้า
ดอกไม้ทานได้ หรือ ภาษาอังกฤษว่า Edible Flowers ไม่ใช่เทรนด์ใหม่แต่อย่างใด
หากว่า เจ้าเทรนด์การทานดอกไม้เนี่ย มันมีมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วนะ
โบราณขนาดไหนน่ะเหรอ ?
ก็จากบันทึกแรกในประวัติศาสตร์โลก
การนำดอกไม้มารับประทาน เกิดขึ้นเมื่อ 140 ปีก่อนคริสตกาล โดยชาวโรมันและชาวกรีกโบราณ
ซึ่งสมัยนั้น พวกเขาจะนิยมนำ ดอกกุหลาบสีแดง และ ดอกไวโอเล็ตสีม่วงเข้ม มาใช้ในการประกอบอาหาร
และ ยังนำมารับประทานสด ๆ เป็นสลัดเลยด้วย (แต่สมัยนั้น ยังไม่น่ามีน้ำสลัด)
เหตุหลัก ๆ ที่พวกเขานิยมนำมารับประทานเนี่ย ไม่ใช่เพราะว่าดอกไม้มันอร่อย หรอกนะ...
เพียงแต่ว่า พวกเขานำมาทานเป็นยาเสริมสร้างภูมิต้านทานน่ะนะ
หากให้พวกเราเปรียบ ก็คงคล้าย ๆ กับว่า เราทานวิตามินกันในยุคปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่น ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณแล้ว ดอกกุหลาบ จะช่วยต้านโรคมะเร็ง และ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ
เรื่องราวและประโยชน์ของดอกไม้เนี่ย ก็ได้ถูกพัฒนาความเชื่อ ต่อ ๆ มา จนถึงในยุคสมัยของอารยธรรมอัซเทค ที่มีการนำเรื่องราวของดอกไม้ ไปผูกกับพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ รวมถึงจิตวิญญานที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย
กลับมาที่ดอกไม้ทานได้กันต่อ
เพื่อน ๆ รู้จักดอกดาวเรืองฝรั่งกันไหมเอ่ย ?
โอเค คิดว่าหลายคนน่าจะรู้จัก
ดอกดาวเรืองฝรั่ง มี ชื่อสามัญว่า Calendula หรือ Marigold
ที่อยากนำมาเล่าก็เพราะว่า ดอกไม้ชนิดนี้ เป็นดอกไม้ที่นิยมในการประกอบอาหารของชาวฝรั่งมาก ๆ
เพราะนอกจากจะมีประโยชน์เป็นสมุนไพรแล้ว ดอกดาวเรืองฝรั่งก็ยังมีสีสันครีมเหลือง สวยงาม
ซึ่งหากเราย้อนกลับไปเมื่อสัก 500 กว่าปีก่อน ทั้งชาวฝรั่ง และ ชาวจีน ต่างมีความนิยมชมชอบในสีเหลือง และ สีทองเอาเสียมาก ๆ
ดอกดาวเรืองฝรั่งเนี่ย เป็นที่นิยมมาก
มากขนาดที่ ในยุคสมัยที่ใหม่ขึ้นมาหน่อย คือ ในปี ค.ศ. 1600 เนี่ย
ก็ได้มีบาทหลวงชาวฝรั่งเศส นำสร้างธุรกิจได้จาก การผลิตสารสกัดจากดอกดาวเรืองฝรั่ง เลยทีเดียวนะ
พอเราเริ่มพูดถึงยุคสมัยที่ใหม่ขึ้นมา
ก็ อด ที่จะพูดถึงยุควิคตอเรียนของอังกฤษไม่ได้ (ช่วงสมัย ค.ศ. 1840+)
โดยวัฒนธรรมการรับประทานดอกไม้เนี่ย ค่อนข้างเป็นที่นิยมมากสำหรับ หญิงสาวชนชั้นสูงในสมัยนั้น
โดยพวกเธอจะนิยมนำดอกไวโอเล็ตมาแต่งจาน หรือ แต่งหน้าเค้ก สำหรับมื้อชายามบ่าย (Afternoon Tea) และ รับประทานไปในเวลาเดียวกัน
เอ...ไปมา ๆ แล้ว ดอกไม้ที่ทานได้ ก็อาจจะมีความหมายที่มากกว่า การทานได้อีกเนอะ
อย่างเช่น ในอดีต ที่ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งชนชั้น
ความเชื่อทางศาสนา หรือ ธุรกิจที่เป็นพืชเศรษฐกิจ และการค้าขาย ก็ได้อีกเช่นกัน
จนกระทั่งมาถึงสมัยใหม่ กับประวัติศาสตร์ของชาวเอเชีย อย่างประเทศจีน ที่นิยมนำ ดอกเก๊กฮวย หรือ ดอกเบญจมาศสีขาว (Chrysanthemum) นำมาปรุงเป็นน้ำซุป หรือ นำมาผสมกับใบชา เป็นชาดอกไม้
หรือ ประเทศญี่ปุ่น ที่นำดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติอย่าง ซากุระ (Cherry Blossom) นำมาปรุงอาหาร ทำเป็นขนมดังโงะ ไดฟูกุ หรือ ทำเป็นชา ก็ได้หลากหลายเช่นกัน
ถ้าเป็นในสมัยนี้ ก็คงจะต้องมีการบันทึก เบียร์ซากุระ และ เบียร์ลาเวนเดอร์
กันไปในประวัติศาสตร์ แทนซะแล้วเนอะ (ถึงแม้ว่าหลาย ๆ อัน จะเป็นเพียงแค่กลิ่นสังเคราะห์ก็ตาม)
หวังว่าเพื่อน ๆ คงจะได้รับสาระ เรื่องราวเบาสมอง พาเพื่อน ๆ แวะไปเรื่อยเปื่อย แต่ว่าก็น่ารู้
จากพวกเรา InfoStory ไปไม่มากก็น้อย 🙂
โฆษณา