Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
22 ต.ค. 2021 เวลา 07:27 • นิยาย เรื่องสั้น
7.1. วีรกรรมเหนือมหานที
เตาสู เตาจี๋ ขุนพลชาวอูหวน - เทียนอู ขุนพลชาวเซียนเปย
ย้อนกลับไปหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในงานเลี้ยงพระราชทาน พวกซุนกวน ลกซุน กำเหลง ได้รับการช่วยเหลือจากเล่งทอง กองทัพโลกันต์ และเครือข่ายตระกูลซุนในเมืองหลวง พากันล่องเรือโดยสารแล่นตามแม่น้ำฮวงโหหลบหนีอย่างเร่งด่วนในยามค่ำคืน
ก่อนแยกจากกัน ลกซุนสั่งการให้พวกเครือข่ายย้อนกลับไปทำลายเมืองหลวงฮูโต๋ให้ยับเยิน เฉกเช่นเมื่อครั้งเมืองอ้วนเซีย ถือเป็นการล้างแค้นให้กับคนสกุลซุนที่พลาดท่าสูญเสียผู้นำคนสำคัญ อย่างน้อย พวกมันก็ควรให้ฝ่ายโจโฉเผชิญกับความสูญเสียเช่นกัน
เนื่องจากการหลบหนีไม่อาจทำให้โจ่งแจ้งเกินไป ลกซุน เล่งทองจึงจัดเตรียมเรือโดยสารขนาดกลางซึ่งบรรจุคนได้เพียงสี่สิบห้าสิบคนมาสี่ห้าลำ แล่นปะปนไปกับเรือโดยสารในท้องน้ำ คล้ายกับขบวนพ่อค้าทั่วไป โดยให้เรือบริวารคุ้มกันเรือประธานเอาไว้เป็นสี่เส้า ส่วนทหารก็ให้ซ่อนตัวอยู่แต่ภายในตัวเรือด้านล่าง ไม่ให้เกิดพิรุธใดๆ
การไล่ล่าติดตามจากทหารฝ่ายรัฐบาลยังไม่ทันปรากฏ แต่พายุฝนลูกใหญ่กลับติดตามซ้ำเติมไม่หยุดยั้ง บางครั้ง ถึงกับเพิ่มความรุนแรงเป็นพายุฝนฟ้าคะนอง แรงลมพัดทำเอาเรือโคลงเคลงไปมา และยังเกิดฟ้าผ่าติดต่อกันหลายครั้ง เรือโดยสารทั่วไปพากันจอดดูเชิงอยู่ตามชายฝั่ง แต่พวกซุนกวนไม่กล้ารั้งรอ จึงยังฝืนฝ่ากระแสคลื่นลมต่อไป
จนสุดท้าย เกิดเหตุเรือบริวารที่รั้งท้ายในขบวนโดนแรงลมพายุกระชากใบเรือเปิดออกกระทันหัน เสาสูงและใบเรือถึงกับมีส่วนผสมของโลหะดึงดูดสายฟ้าให้ฟาดเข้าใส่กลางลำเรือ ล่มลงไปในลำน้ำไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เรือที่เหลือทั้งสี่ต้องยอมเสียเวลา หันกลับมาวนรับตัวผู้คนที่รอดชีวิตขึ้นมา แต่ก็ช่วยไว้ได้เพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้นเอง
ผู้นำซุนกวนยังมีท่าทีปวดหัวรุนแรงไม่เสื่อมคลาย กำเหลงที่ชำนาญทางเรือที่สุด ยังคงเจ็บปวดอยู่กับบาดแผลแขนซ้ายขาดเสมอข้อศอก จึงเหลือเพียงลกซุน เล่งทอง คอยสั่งการทั้งหมด เมื่อเกิดเหตุร้ายกับขบวนเรือเช่นนี้ ลกซุนได้แต่ทอดถอนหายใจยอมแพ้ต่อดินฟ้าอากาศ สั่งลูกเรือให้นำขบวนเข้าจอดที่ริมฝั่งแม่น้ำ รอให้พายุฝนลดกำลังลงก่อน
…
จวบจนยามบ่ายวันที่สาม พายุฝนเริ่มอ่อนแรงลงบ้าง ซุนกวน กำเหลง ยังอยู่ในความดูแลของฝ่ายแพทย์อย่างใกล้ชิดในห้องพัก ลกซุน เล่งทองจึงบอกให้ลูกเรือเริ่มเดินทางต่ออีกครั้ง แล้วค่อยกลับมานั่งจิบน้ำชาสนทนากันอยู่ที่ห้องสั่งการกลางเรือ
ลกซุนเหม่อมองพายุฝนโปรยปรายทางภายนอกผ่านช่องหน้าต่าง ในขณะที่เล่งทองอดใจให้สงบไม่ได้ ต้องปรับทุกข์ให้กับเพื่อนสนิทรับฟังบ้าง “จบสิ้นหมดแล้ว คำสั่งแตกหักของท่านครั้งนี้ แม้ว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ก็จริง แต่ก็เท่ากับเป็นการทำลายเครือข่ายตระกูลซุนที่แฝงตัวอยู่แถบนี้จนหมดสิ้น ต่อไปภายหน้า ศัตรูย่อมขุดคุ้ยกำจัดพวกสายลับจารชนของเราอย่างหนักหน่วงเป็นแน่”
ลกซุนพยักหน้ารับคำอย่างเฉยเมย มันรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า เครือข่ายตระกูลซุนไม่อาจมีอายุยืนยาว ตั้งแต่ผลงานเมืองอ้วนเซียที่สร้างชื่อให้กับคนกลุ่มนี้ ก็เป็นการเปิดเผยร่องรอยให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้แล้ว มันจึงเลือกที่จะใช้โอกาสครั้งสุดท้าย ถล่มเมืองหลวงศัตรู แทนที่จะปล่อยให้รากฐานใต้ดินที่ผ่านมาถูกค้นทำลายอย่างสูญเปล่าไปเท่านั้นเอง
ตอนนี้ สิ่งที่มันครุ่นคิด มิใช่สถานการณ์การเมืองสามฝ่าย มิใช่ความสัมพันธ์ของผู้คนของแต่ละกลุ่มที่แอบแฝงอยู่ แต่กลับเป็นพลังพิเศษที่คนทั้งแปดได้รับมาจากแสงประหลาดนั้น เพราะปรากฏการณ์ครั้งนี้อาจจะส่งผลกระทบให้แผ่นดินเปลี่ยนแปลงความสมดุลย์ครั้งยิ่งใหญ่ไปเลยทีเดียว
ที่วังหลวง มันเห็นเหี้ยนเต้กลายเป็นคนเรี่ยวแรงมหาศาล องครักษ์กุยห้วยหนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้า ขุนพลกำเหลงเพิ่มพลังยุทธ์หลายเท่า เจ้านครซุนกวนมีใบหูประหลาด ผู้นำเล่าปี่มีดวงตาใหม่งอกเงย และ ตัวมันเองคืนชีวิตจากความตาย จึงเหลือเพียงขุนพลเสียวเอี่ยนจื่อ กับ ขุนพลจูล่ง ที่ยังไม่ทราบชัดเจนว่าได้รับพลังพิเศษอันใดไปครอบครอง
รอยประหลาดรูปมังกรสีเขียวเข้มยังคงปรากฏอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจของมันอย่างเด่นชัด แต่ภาพนั้นมิใช่สมบูรณ์แบบเสียทีเดียว มันสังเกตพบว่า ส่วนหางมังกรขาดหายไปแล้ว หรือว่า จะสื่อถึงว่า รอยนั้นช่วยชีวิตมันมาแล้วหนึ่งครั้ง ภาพบางส่วนก็จะเลือนหายไปเอง แสดงว่า สิ่งที่มันได้รับคือ พลังชีวิตอมตะที่ฟื้นคืนจากความตายได้อีกหลายครั้งนั่นเอง แต่ใครเล่าจะกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้
…
ขุนพลโจรสลัดกำเหลงก้าวเท้าเข้ามาในห้องสั่งการ พร้อมกับลูบคลำอุปกรณ์ใหม่ที่ถูกติดตั้งเข้าไปแทนมือซ้ายที่ขาดหาย เป็นมีดดาบแหลมคมสามเล่มเรียงติดกันคล้ายกรงเล็บสัตว์ป่า เล่งทองรู้สึกตัวขึ้นก่อน จึงลุกขึ้นต้อนรับในฐานะที่มีอาวุโสน้อยกว่า
กำเหลงลองเหวี่ยงสะบัดของเล่นใหม่ เพียงวาดมือออก ม้านั่งไม้ตรงหน้าก็ขาดเป็นสองท่อนในพริบตา ค่อยเปรยขึ้น “เราเองในสมัยเป็นโจรสลัดท่องน่านน้ำ เคยเห็นต้นแบบกรงเล็บตะขอในภาพวาดมาบ้าง นึกไม่ถึงว่า วันนี้ จะถูกนำมากลับมาใช้กับตัวเอง แถมยังได้รับการออกแบบพิเศษให้ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ต่อไป คงไม่ต้องถืออาวุธใดอีกแล้ว”
ลกซุนพยักหน้ารับคำชมเชย “ตอนนี้ ท่านใช้ของเล่นเช่นนี้ไปก่อนชั่วคราว เมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะให้ท่านอ้วนยูจัดทำเป็นแขนเหล็กให้ท่านสวมใส่อีกชั้นหนึ่ง เอาไว้หยิบจับสิ่งของได้สะดวกขึ้น พอจะเวลาต่อสู้ ก็เพียงกดกลไกสะบัดแขนออกเท่านั้น”
ยามนี้ คนระดับสูงในกังตั๋งล้วนล่วงรู้มาตั้งแต่เหตุการณ์เพลิงไหม้สำนักหอสมุดใต้หล้าแล้วว่า ปราชญ์ชราเจี้ยนอานอันได้แก่ ปราชญ์สร้างสรรค์อ้วนยู ปราชญ์หยั่งรู้เคาก้าน และปราชญ์คุณไสยอิ๋นฉาง ลี้ภัยมาสวามิภักดิ์ต่อสกุลซุนผ่านทางลกซุนที่คุ้นเคยกัน ทำให้ลกซุนได้แรงสนับสนุนทางงานประดิษฐ์ พยากรณ์ และพิษคุณไสยต่างๆเป็นพิเศษ การเดินทางครั้งนี้ อ้วนยูถึงกับจัดการอุปกรณ์กลไกไว้มากมายเผื่อใช้งานฉุกเฉิน
“ประเสริฐยิ่งนัก แต่เสียดายที่แขนซ้ายของข้าถูกฟันขาด ทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ไม่ครบถ้วน ถึงจะมีพลังเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่าตัว แต่ก็ยังมีจุดเส้นชีพจรที่ติดขัดเป็นห้วงๆ” กำเหลงมีจิตใจเปิดเผย ไม่ปกปิดจุดบกพร่องที่ตัวเองพบเห็นกับพรรคพวกเดียวกัน
เสียงหัวร่อของซุนกวนดังมาจากด้านนอกห้อง พวกลกซุนรีบชิงกันออกมาดู เห็นซุนกวนลูบคลำใบหูเรียวแหลมสีเขียวคล้ายมีความพึงพอใจ พลางเอานิ้วแตะริมฝีปาก “ยังไม่ต้องกล่าวคำใดๆ ให้ข้าลองฟังดูว่า หูทิพย์ของข้าจะได้ยินไปได้ไกลสักเท่าใดกัน”
…
คราวก่อน การเดินทางล่องเรือจากปราสาทนกยูงกลับไปเมืองต๋องง่อนั้น ลกซุนใช้เวลาเพียงแค่สองสัปดาห์ แต่ครานี้ พอเริ่มต้นก็เสียเวลาไปกับพายุฝนแล้วหลายวัน ซ้ำจำนวนคนยังมากขึ้นกว่าเดิม ถ่วงน้ำหนักให้เรือแล่นช้าลง ทำให้ลกซุนคำนวนว่า เสบียงอาหารที่ตระเตรียมไว้อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางอันยาวนาน และพอผ่านพ้นแม่น้ำฮวงโหแล้ว ทะเลตะวันออกอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงอื่นรอคอยอยู่ จึงคิดว่า สมควรแวะซื้อเสบียงเพิ่มเติมไว้ก่อนที่จะมีข่าวคราวการหลบหนีมาถึงหัวเมืองแถบนี้
เรือคุ้มกันลำหน้าอาสาไปจัดการธุระดังกล่าวที่เมืองใหญ่ด้านหน้า จึงแยกตัวออกไปก่อน ปล่อยให้เรือประธาน และเรือบริวารสองลำที่เหลือแล่นไปตามลำน้ำฮวงโห ท่ามกลางสายฝนพรำๆ จนถึงยามค่ำคืนที่สายฝนขาดเม็ดลง เหล่าทหารโลกันต์และคนเรือจึงเริ่มเอนกายพักผ่อน หลงเหลือแสงไฟสลัวๆบอกตำแหน่งเรือเอาไว้เป็นระยะเท่านั้น จนเรือทั้งสามมาถึงช่องแคบแม่น้ำที่เป็นจุดคับขันไม่ทันรู้ตัว
และแล้ว เสียงโห่ร้องกลับดังขึ้นจากสองฟากฝั่ง เรือเร็วลำเล็กจำนวนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามายังเรือโดยสารขนาดกลางทั้งสามอย่างเร่งรีบ กำเหลงเคยมีประสบการณ์ในวงการมิจฉาชีพมาก่อน จึงพอคาดเดาเจตนาของฝ่ายตรงข้าม รีบตะโกนสั่งการ “เร่งความเร็วเรือโดยด่วน โจรสลัดแห่งท้องน้ำมาแล้ว กองทหารโลกันต์ เตรียมพร้อมรับมือ”
ศักยภาพของกองทหารโลกันต์เหนือกว่ากองทหารทั่วไป กำเหลงจึงค่อนข้างมั่นใจว่า สามารถรับมือพวกโจรร้ายธรรมดาได้ไม่ยาก หากแต่ปัญหาก็คือเรือโดยสารที่นำมาใช้นั้นต้องปกปิดฐานะตนเองให้เป็นเหมือนเรือค้าขายธรรมดา ไม่ได้ติดตั้งอาวุธทางน้ำเหมือนเรือรบประจัญบานในกองทัพ ทำให้ไม่มีอาวุธต่อสู้ในระยะไกล ได้แต่ต้องใช้ธนูในระยะกลาง และดาบฉมวกในระยะประชิด ซึ่งลดทอนอานุภาพการรบบนน่านน้ำยิ่งนัก
หากแต่ลกซุนสั่งการให้อ้วนยู เล่งทองเตรียมเครื่องทุ่นแรงเอาไว้ในเรื่องนี้ก่อนแล้ว จึงสั่งการให้ทหารนำกระสอบกิ่งไม้ใบไม้แห้งที่ขนมาเต็มลำเรือ ราดรดด้วยสุรา และน้ำมันไขสัตว์ที่ใช้ในการทำอาหาร ทิ้งลงไปในแม่น้ำให้ลอยกระจายตัวออกไปจากลำเรือ พอถึงระยะปลอดภัยดีแล้ว ค่อยยิงธนูไฟเข้าใส่จุดที่มีกระสอบเชื้อไฟลอยอยู่ ก่อให้เกิดทะเลเพลิงแผ่เป็นวงกว้างขนาบสองฝั่งขบวนเรือทั้งสามไว้เป็นแนวยาว พร้อมกลุ่มหมอกควันหนาทึบบดบังสายตา พลางบอกให้คนเรือเปิดกลไกพิเศษ ระหัดวิดใต้น้ำ เพิ่มความเร็วให้กับขบวนเรือทั้งสาม แล่นทิ้งห่างจากฝูงเรือโจรไปได้โดยง่าย
จนถึงฟ้าสางแล้ว ขบวนเรือทั้งสามค่อยแล่นผ่านเมืองใหญ่ด้านหน้า มาสมทบกันกับเรือคุ้มกันที่แยกไปซื้อเสบียงได้พอดี ได้รับการแบ่งปันเสบียงอาหารตามกำหนดการที่วางไว้ แล้วพากันเดินทางปะปนกับเรืออื่นๆต่อไป โดยลดระดับความเร็วให้เทียบเท่ากับเรือโดยสารปกติอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตต่อกองทหารลาดตระเวนทางน้ำที่มีอยู่ตามปกติ
วันเวลาเคลื่อนผ่านอย่างราบรื่น จนมาใกล้จะถึงปากแม่น้ำที่มีด่านตรวจใหญ่ ตรงหน้านั้นคือเมืองปักไฮ เมืองท่าสำคัญที่ตั้งเฝ้าระวังอยู่ตรงปากแม่น้ำก่อนออกไปสู่ทะเลใหญ่ เจ้าเมืองคนปัจจุบันชื่อเตาสู ลูกของเตาจี๋ ขุนพลสำคัญในสมัยรวมแผ่นดินด้านเหนือ เตาสูเป็นขุนพลรองที่มีฝีมือ และชำนาญการรบทางเรือ ซึ่งเพิ่งจะได้รับมอบกองทัพปืนใหญ่มาช่วยเสริมทัพเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อต่อสู้รับมือกับกองเรือโจรสลัดต่างถิ่นที่มักจะวนเวียนผ่านมาในพื้นที่เนืองๆ นับเป็นเหมือนฐานทัพเรือหลักของวุยก๊กในยามนี้
พอทบทวนดูแล้ว นับเป็นวันที่สิบถัดจากค่ำคืนที่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในเมืองหลวง สายข่าวรายงานว่า ยังไม่พบเห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม พวกซุนกวนจึงเสี่ยงทำใจเย็น ล่องเรือผ่านจุดคับขันไปตามปกติวิสัยของเรือค้าขาย แต่แล้ว ซุนกวนรีบส่งเสียงบอก “แย่แล้ว ด้านบนมีคำสั่งให้ระดมยิงก้อนหินใส่พวกเรา นี่คือกับดักของโจโฉ”
…
ที่แท้ ความสามารถพิเศษของซุนกวนที่ค้นพบ หลังจากพายุฝนสร่างซาลง ก็คือ พลังการได้ยินเสียงในระยะไกล ใบหูคู่ใหม่ทำให้มันสามารถได้ยินเสียงทุกอย่างได้ถนัดชัดเจนยิ่งกว่าคนปกติหลายเท่า ทำให้ช่วงแรกที่มีทั้งเสียงฝนกระหน่ำ เสียงโห่ร้องฆ่าฟัน และเสียงตะโกนวุ่นวายอยู่ใกล้หูเกินไป ส่งผลกระทบรุนแรง จนมันปวดประสาทหูอยู่นาน แต่กลับเข้าใจว่า เป็นอาการปวดหัวปวดสมอง บรรดาหมอชำนาญการจึงรักษาบรรเทาไม่ถูกจุดมาโดยตลอด จนภายหลังที่พายุฝนสงบลง เรือโดยสารเงียบงันปราศจากเสียงเซ็งแซ่ ทำให้ซุนกวนค่อยแยกแยะคลื่นเสียงต่างๆได้ตามลำดับ จนคุ้นเคยมากขึ้น เรียนรู้ที่จะเลือกฟังเป็นส่วนๆ ถึงกับพบว่า ความสามารถในการฟังนั้น ได้ยินไปจนถึงเสียงกระซิบกระซาบตรงสุดระยะสายตาเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น การเสี่ยงล่องเรือผ่านจุดคับขัน เพื่อออกสู่ทะเลใหญ่ในครั้งนี้ ทั้งหมดจึงฝากความหวังไว้กับพลังหูทิพย์ของซุนกวน และความจริงก็ปรากฏขึ้น นี่คือกับดักของพวกรัฐบาลที่ล่อให้พวกมันเข้าสู่จุดอับด้วยตัวเองจริงๆ
…
ขุนพลเทียนอู หลังจากที่รายงานความเสียหายต่อฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว พบว่า จูกัดเอี๋ยน กุยห้วย หายตัวไปอย่างมีเงื่อนงำ คาดว่าจะติดตามคนร้ายเล่าปี่ไปทางแดนใต้ จึงคิดขึ้นว่า มันเองมีสายสัมพันธ์ชั้นดีทางด้านเหนือ สมควรไปติดตามคนร้ายซุนกวนที่หายไปทางแม่น้ำฮวงโหสร้างผลงานให้กับตนเองบ้าง
มันจึงรีบออกเดินทางตรงมายังเมืองปักไฮโดยไม่บอกกล่าวผู้ใดบ้าง หวังว่าจะร่วมมือกับหลานชายคนสนิทเตาสู ใช้ปราการด่านสุดท้ายของปลายแม่น้ำเป็นจุดลงมือจับโจรร้าย และใช้ให้ผู้คนท้องถิ่นตระเวนในน่านน้ำ ปลอมแปลงเป็นโจรปล้นชิงออกก่อกวน เพื่อระบุเรือโดยสารที่ต้องสงสัยให้ได้ ซึ่งนับว่าเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
พอเห็นเรือโดยสารสี่ลำที่ต้องสงสัย เดินทางมาถึง เทียนอูจึงให้ดึงขวากหนามกลางลำน้ำขึ้นขวางทางไว้เหมือนกำแพงตาข่าย ป้องกันไม่ให้เรือผ่านออกนอกแม่น้ำไปได้ พร้อมสั่งการให้ระดมยิงปืนใหญ่ในทันที มันศึกษามาแล้วว่า กระสุนก้อนหินมีอำนาจทำลายล้างปานกลาง เพียงพอแค่ล่มเรือสังหารผู้คน ยังไม่ถึงกับทำลายหลักฐานจนเสียหายแบบกระสุนลูกไฟ หากใช้ออกอย่างเหมาะสม น่าจะจับตัวคนร้ายได้คามือ
แต่เหมือนลกซุนก็ได้เตรียมการในเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว โครงสร้างตัวเรือถูกเสริมด้วยโลหะเบาจนแข็งแกร่งกว่าเรือปกติ ยิ่งไปกว่านั้น เห็นเรือบริวารด้านใกล้ชายฝั่งกางใบเรือขึ้นสูงกว่าปกติ ครอบคลุมระยะการโจมตีไว้ได้ ถึงกับเป็นโครงใบเรือเสริมโลหะเบาเช่นกัน ทำให้แข็งแรงทนทานจนสามารถรับกระสุนแทนเรือประธานได้ แต่ก็ต้องยอมแบกรับน้ำหนักก้อนหินที่ร่วงหล่นเอาไว้อย่างต่อเนื่อง โดยให้เหล่าทหารประจำเรือช่วยกันขนก้อนหินทิ้งออกไปจากตัวเรือจนเหนื่อยอ่อนหมดแรงไปตามๆกัน
ในที่สุด กองเรือกังตั๋งก็ต้านรับแรงกระแทกที่มีอย่างต่อเนื่องไม่ไหว บางส่วนของเรือโดยสารเริ่มทะลุแตกเป็นรอยโหว่ เปิดช่องให้น้ำทะลักขึ้นจมเรือบริวารจนได้ ทำให้ทหารที่เหลือบ้างก็ใช้เชือกห้อยโหนตัวสู่เรือลำอื่น บ้างก็ต้องรีบโจนลงน้ำเกาะไปตามโครงใบเรือ เพื่อหนีตายกันจ้าละหวั่น
แต่ในขณะที่ขบวนเรือยังได้รับการคุ้มกันอย่างเข้มแข็งอยู่นั้น เรือบริวารลำหน้าก็พลิกกลไกหัวเรือเหล็กด้านหน้าขึ้นมาจากใต้เรือ คราวก่อนที่ศึกผาแดง เรือหัวเหล็กเคยแสดงพลังชนกระแทกเรือรบฝ่ายโจโฉเสียมากมาย ครั้งนี้บนลำน้ำเหลือง ลกซุนก็คาดหวังไว้ไม่น้อย จึงซ่อนลูกเล่นนี้มาด้วย เห็นเรือหัวเหล็กพุ่งตรงไปข้างหน้าโดยเร็ว เพื่อกระแทกผ่านกำแพงตาข่ายขวากหนามกลางลำน้ำ และดันเปิดช่องทางให้กับเรือประธานและเรือบริวารอีกลำให้ผ่านพ้นปากแม่น้ำไปได้ แต่เรือหัวเหล็กเองกลับติดพันอยู่กับขวากโซ่แนบแน่น ไม่อาจติดตามออกทะเลไปด้วยแล้ว
พอกองเรือรบประจำชายฝั่งของฝ่ายตรงข้ามสิบกว่าลำที่นำมาโดยขุนพลรองเตาสูเข้ามาใกล้ หัวหน้าทหารโลกันต์บนเรือหัวเหล็กจึงตัดสินใจยอมเสียสละตนเอง พยายามบังคับเรือตามกระแสน้ำให้เข้าไปสู่วงล้อมของเรือฝ่ายตรงข้าม พร้อมสั่งการให้คนที่เหลือช่วยกันจุดเชื้อไฟที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวเรือ จนเกิดระเบิดดังสนั่นขึ้น กิ่งไม้ใบไม้แห้งที่ลุกไหม้ปลิวว่อนไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้เรือรบของศัตรูพลอยติดไฟไปด้วยหลายลำ
ยิ่งกว่านั้น เหล่าทหารกล้าตายของกองทัพโลกันต์ที่ยังลอยคออยู่กลางแม่น้ำจำนวนหลายสิบคนต่างโจมตีเข้าใส่กองเรือรบของเตาสูเต็มกำลัง เพื่อทอดเวลาให้เรือพวกซุนกวนไปให้ได้ไกลที่สุด ถึงกับดำน้ำเข้าเจาะทำลายตัวเรือแบบไม่คิดชีวิต
ขุนพลเตาสูคาดไม่ถึงว่าจะเจอกับนักรบทางน้ำที่ห้าวหาญเช่นนี้ แต่ก็ยังรักษาท่าทีเยือกเย็นไว้ได้ เร่งสั่งการให้กองทหารเรือตอบโต้กลับอย่างเด็ดขาดเช่นกัน จนลำน้ำแดงฉานด้วยเลือดฝ่ายตรงข้าม ส่วนขุนพลเทียนอู แม้ว่าจะเก่งกาจรอบรู้ แต่ก็เป็นทหารดอนจากทางเหนือ ไม่ชำนาญทางน้ำ จึงได้แต่ยืนให้กำลังใจอยู่บนกำแพงเมือง ร่วมกับเหล่าทหารปืนใหญ่ประจำฝั่งอย่างกังวลใจ ไม่กล้าเสี่ยงยิงไปโดนพวกเดียวกัน
เรือโดยสารสองลำนั้นหายลับสายตาไปแล้ว เทียนอูนึกเสียดายอยู่ในใจ แต่ยังพอมีผลงานอวดอ้างที่สกัดทำลายฝ่ายตรงข้ามได้ครึ่งขบวน กำลังจะสั่งการให้เตาสูถอยทัพ แต่แล้ว ที่ขอบฟ้าไกลทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ กลับมีกองเรือโจรสลัดขนาดใหญ่สี่ห้าลำ ใช้ธงรูปหัวกระโหลกสีแดงบนพื้นสีขาว กำลังมุ่งตรงเข้าสู่ชายฝั่งอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ยังมีเรือใหญ่อีกสองลำแยกขบวนออกติดตามเรือของพวกซุนกวนไปทางใต้
เสียงหัวหน้าทหารปืนใหญ่ที่คุ้นเคยกับสถานการณ์ชายฝั่งมารายงาน “นี่คือพวกโจรสลัดหัวกระโหลกโลหิต กลุ่มโจรที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ จู่ๆพวกมันโผล่มาในจังหวะคับขันเช่นนี้ คงจะมีสายข่าวไปรายงานให้กับพวกมันแล้ว”
เทียนอูรับรู้ถึงความคับขันของสถานการณ์ รีบสั่งการโดยด่วน “เคลื่อนย้ายปืนใหญ่ไปรับมือศัตรูทางทะเล ระดมกระสุนทุกรูปแบบขึ้นมาให้มากที่สุด ปรับตั้งระยะรอโจมตี”
ช่วงเวลานั้น กองทัพเรือของเตาสูสามารถเอาชัยเหนือพวกกองทหารโลกันต์ได้เด็ดขาดแล้ว สุดท้าย ยังคงหลงเหลือเรือรบฝ่ายรัฐบาลล่องลอยกลางแม่น้ำอยู่ห้าลำ แต่ขนาดเรือยังเล็กกว่าศัตรูผู้มาใหม่เกือบครึ่งค่อนลำ ย่อมเสียเปรียบทางด้านจำนวนคน ตามรูปการณ์จึงสมควรล่าถอยกลับสู่เมืองปักไฮให้ทันก่อนที่กองเรือโจรสลัดจะมาถึง อย่างน้อย รอบแรก ควรเป็นการโจมตีด้วยอาวุธระยะไกลที่ได้เปรียบกว่า เป็นกองทัพปืนใหญ่ที่มีกระสุนก้อนหินและลูกไฟเต็มอัตรารบ
แต่แล้ว เรือรบที่มีประสิทธิภาพสูงของวุยก๊ก หรือรัฐบาลฮั่นเดิมนั้น กลับแน่นิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจบังคับทิศทางได้ คนเรือลงไปสำรวจกลไกใต้น้ำ พบว่า หางเสือถูกพวกทหารโลกันต์หักทำลายจนหมดสิ้น แสดงว่า พวกกังตั๋งจงใจตัดหนทางในการติดตามพวกพ้อง แต่กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับพวกเตาสูไปโดยบังเอิญเสียแล้ว
ในเมื่อเรือรบขนาดกลางเพียงไม่กี่ลำยังคงลอยแน่นิ่งอยู่กลางปากแม่น้ำเช่นนั้น ย่อมเป็นเป้าหมายอันโอชะของฝ่ายตรงข้าม เบื้องหลังตามชายฝั่ง ยังมีเรือสินค้าชาวบ้านอีกมากมายที่จอดหลบการต่อสู้ช่วงแรกอยู่ด้วย แทนที่กองเรือโจรสลัดทั้งห้าลำจะมุ่งหน้าไปทางตัวเมืองปักไฮดังเดิม ถึงกับเปลี่ยนทิศทาง ตรงเข้าบดขยี้ขบวนเรือรบที่เปราะบางของเตาสู คล้ายต้องการทำลายขวัญกำลังใจของฝ่ายทหารก่อน แล้วอาจจะปล้นชิงเหล่าเรือสินค้าติดมือไปสักรอบหนึ่ง ส่งเสริมศักดิ์ศรีของจอมโจรแห่งท้องทะเล
เทียนอูสั่งการให้รีบโจมตีด้วยปืนใหญ่ในทันที หวังจะซื้อเวลาให้เตาสูเอาเรือเข้าฝั่งได้ทันเวลา แต่โจรสลัดพยายามเลี่ยงทิศทางให้พ้นระยะโจมตี แล้วค่อยตีวงเข้าหาเป้าหมายที่ยังคงแน่นิ่งอยู่ที่เดิม พร้อมประกบลำเรือ ให้สมุนโจรสลัดสามารถห้อยโหนเข้าทำลายล้างได้ในระยะประชิด อันเป็นวิธีการรบตามปกติของโจรทะเลในยุคสมัยนั้น
ที่จริง เตาสูมีเวลาเพียงพอที่จะสละเรือใหญ่ลงเรือเร็วหลบหนีเอาตัวรอด หากแต่ไม่อาจตัดใจทอดทิ้งเพื่อนทหาร และเหล่าพ่อค้าชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังได้ ได้แต่ส่งสัญญาณให้นายทหารรองนำกองเรือรบเตรียมพร้อมรับมือกับเหล่าโจรสลัดด้วยความกล้าหาญ เพื่อถ่วงเวลาให้ยาวนานที่สุด พร้อมจุดไฟเผาซากเรือลำอื่นๆเพื่อขวางทางโจรสลัดไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้พวกเรือพ่อค้าทั้งหลายได้
เสียงการรบประจัญบานกันอย่างวุ่นวายเกิดขึ้นที่ปากแม่น้ำฮวงโห กลายเป็นสมรภูมิรบทางน้ำที่ยิ่งใหญ่สำหรับชาวเมืองปักไฮไปอีกนาน ขุนพลเตาสูอาศัยทหารกล้าหลายร้อยนาย ต้านทานเหล่าโจรสลัดเกือบพันคนนานกว่าสองชั่วยาม เพื่อยื้อเวลาให้กับราษฎร สุดท้าย กองทัพเรือหลายสิบลำค่อยตามออกมาเสริมทัพ ใช้จำนวนมากจู่โจมจำนวนน้อย ทำลายเรือฝ่ายตรงข้ามได้ถึงสี่ลำ โจรร้ายถูกสังหารเกินกว่าครึ่งหนึ่ง รวมทั้งตัวหัวหน้าใหญ่ด้วย ในขณะที่ฝ่ายวุยก๊ก สูญเสียเรือรบขนาดกลางไปสิบห้าลำ ทหารเรือสามสี่ร้อยคน และชีวิตของขุนพลรองเตาสู
ภาพสะเทือนใจที่เทียนอูได้แต่จ้องมองมาจากกำแพงเมือง คือ เตาสูใช้ดาบคู่มือต่อสู้แลกชีวิตกับเสียวเหลงยี่ (ลูกมังกรน้อย) หัวหน้าโจรสลัดอย่างบ้าคลั่ง เพื่อบีบบังคับให้พวกโจรสลัดต้องล่าถอย ที่จริง เตาสูสามารถเลือกที่จะอยู่รอดได้ แต่ความสูญเสียอาจจะเกิดขึ้นมากกว่า ดังนั้น เตาสูจึงยอมเลือกเส้นทางเช่นนี้ตามประสานักรบผู้ทรนง
เรือโจรสลัดลำสุดท้ายแล่นหายไปแล้ว กองเรือรบฝ่ายวุยก๊กจึงทะยอยกลับเข้าสู่ฝั่ง หากไม่มีเหตุการณ์ดักสังหารเรือของซุนกวนเกิดขึ้นในช่วงต้น รูปแบบการรบของเตาสูน่าจะชัดเจนรัดกุม และอาจจะไม่เกิดการสูญเสียเช่นนี้ ดังนั้น เทียนอูจึงรู้สึกกดดันเคร่งเครียด ปะปนกับความรู้สึกผิดภายในใจที่นำพาเรื่องราวมาให้ทายาทของเพื่อนสนิท จนพบว่า ร่างที่อาบเลือดใกล้ตายของเตาสูถูกหามมาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว
เตาสูไม่มีเรี่ยวแรงกล่าวคำใดๆแล้ว ได้แต่จ้องมองสหายของบิดาตนเองแน่วนิ่ง เป็นเทียนอูที่ช่วยกล่าว “เราจะดูแลฮูหยินและทายาทของเจ้าให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วง”
เตาสูขยิบตาแย้มยิ้มคล้ายตอบรับต่อสหายสนิทของบิดา แล้วค่อยขาดใจตายไป ก่อนที่ฮูหยินที่มีครรภ์แก่จะมาถึงเพียงชั่วอึดใจ ไม่ทันที่จะพูดคุยสั่งลากันเป็นครั้งสุดท้าย
เทียนอูจัดการตามระเบียบการปกครอง ส่งรายงานไปยังเมืองหลวง แล้วเดินทางกลับเมืองกิจิ๋ว พร้อมกับส่งตัวฮูหยินของเตาสู ให้เตาจี๋ ผู้เป็นเจ้าเมืองเปงจิ๋ว คาดไม่ถึง สหายเก่าทำใจไม่ได้ ถึงกับกระอักเลือด ประกาศตัดความสัมพันธ์กับตนเองทันที
ภายหลัง พอฮูหยินคลอดเป็นเด็กชาย เตาจี๋ตั้งชื่อให้หลานว่า เตาอี้ ต่อมาอีกหลายปี เตาจี๋พลาดท่่า ถูกฆ่าตายไปในสงครามแดนเหนือ เทียนอูทราบเรื่องจึงรับเลี้ยงดูคนสกุลเตาแทน และรับเตาอี้ไว้เป็นหลานบุญธรรม ด้วยความรู้สึกผิดไม่เสื่อมคลาย
…
1 บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 7 - จอมทมิฬถิ่นสามานย์
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย