25 พ.ย. 2021 เวลา 01:07 • นิยาย เรื่องสั้น
7.30. ฝุ่นตะกอนพ้นวังวน
ฮันต๋ง ลิห้อม เหยียมจุ้น สามผู้เฒ่ากองกำลังอี้จิ๋ว
กลับไปที่ช่วงเวลาคับขันในกระท่อมลับ โงโพ้ ฮ่วมอากำลังเผาไฟใช้เข็มเล่มเล็กฝังตามจุดชีพจรทั่วร่างกายของจูล่ง บัดเดี๋ยวปัก บัดเดี๋ยวถอน ในขณะที่นางแอ่น เหยี่ยวดำ ช่วยเร่งพลังปราณสนับสนุนให้อยู่นั้น จูล่งเริ่มรู้สึกตัว กลับฟื้นคืนสติมาได้แล้วบางส่วน หัวขวานพลันถลันเข้ามาพร้อมตะโกนบอกว่า ภายนอกเป็นพวกกังตั๋งบุกมาแล้ว
จูล่งกรอกตาที่เหลือข้างเดียวคล้ายขบคิดวูบหนึ่ง พลันกวาดแขนข้างที่ิพิการ ผลักให้สองหมอหนุ่มล่าถอย แล้วกดแขนอีกข้างลงกับเตียง ดันตัวขึ้นให้หลุดพ้นจากการส่งผ่านลมปราณของสองจอมยุทธ กลับทำให้เหนื่อยหอบแทบขาดใจไปอีกรอบ
ทุกคนต่างตื่นตะลึง ตระหนักว่า นี่คือการตัดหนทางการมีชีวิตรอดแล้ว แต่จูล่งคล้ายไม่ใส่ใจ หันมาพูดกับนางแอ่น ผู้เป็นภรรยา “น้องหญิงไม่ต้องว่ากล่าวอันใด ตัวเราแก่ชรา คงจะไม่รอดได้นานนัก ป่วยการจะยื้อเอาชีวิตไว้ พวกท่านจงเร่งรีบหลบหนีไปเถิด ให้เรารับหน้าถ่วงเวลาพวกมันไว้เอง”
เหยี่ยวดำที่มีอคติต่อจูล่งที่เป็นตัวการทำให้อินทรีตายอยู่แล้ว จึงด่าทอขึ้น “พวกเราอุตส่าห์สูญเสียพลังปราณหมายยื้อชีวิตเจ้าให้ยืนยาว แต่เจ้ากลับ...”
“พอเถิด น้องสิบสาม ในเมื่อมันเลือกหนทางสายนี้ ก็จงทำตามความต้องการของมัน พวกท่านรีบลงอุโมงค์ใต้ดินหลบหนีไปก่อน ทิ้งให้พวกเราสองสามีภรรยารับหน้าเอง ลำพังมันคนเดียวมิอาจรับมือแล้ว” นางแอ่นชิงแทรกคำ “รีบไปเถิด อย่าได้รอช้า”
หัวขวานเพิ่งเปิดช่องลับใต้ตู้ด้านข้าง เห็นเป็นปากอุโมงค์ลึกลงไป กว้างพอให้คนคลานลอดไปได้ทีละคน ก็เริ่มมีเกาทัณฑ์ชุดแรกหลุดรอดเข้ามามากมาย ทุกคนล้วนตระหนักถึงสถานการณ์เร่งด่วน ทำให้นางแอ่น เหยี่ยวดำที่มีฝีมือสูง และจูล่งคนเจ็บ ต้องลงมือปิดป้องคุ้มกันคนอื่นๆ ทำให้คนสายบุ๋นทั้งสามรีบโจนลงไปในช่องลึกเสียก่อน
นางแอ่นเห็นเหยี่ยวดำไม่มีทีท่าจะหลบหนี จึงย้ำเตือน “เจ้ายังมีภาระต้องคุ้มครองพวกมันทั้งสามไว้ มิเช่นนั้น พวกเราทุกคนก็จะไม่เหลือรอด”
เหยี่ยวดำสบตานางแอ่นซึ่งเป็นเหมือนสหายร่วมตายและพี่สาวตัวโต ได้แต่ก้มหน้ารับคำ แล้วหมุนตัวลงไปในช่องลับเช่นกัน พอเสียจังหวะไปวูบหนึ่ง จูล่งพลันโดนลูกเกาทัณฑ์ปักใส่ตามร่างกายอีกหลายดอก
นางแอ่นรีบขยับเข้าบดบังร่างไว้ อาศัยพลังมังกรคืนสภาพป้องกันสามี แต่จูล่งคล้ายตัดสินใจเด็ดเดี่ยว รีบกล่าวคำสารภาพต่อภรรยา “เป็นเราคิดการณ์ไม่ถ้วนถี่ นำพาให้ท่านต้องมาร่วมชะตากรรมลำบากเช่นนี้ เจ้าจงไปกับพวกพ้องเสียเถิด”
“เหลวไหลสิ้นดี ลำพังตัวเจ้าจักต้านทานพวกกังตั๋งได้นานสักเท่าไหร่กัน ในเมื่อเจ้าคิดจะเสียสละชีวิตช่วยพวกมัน เราก็ได้แต่ช่วยส่งเสริมให้กับเจ้าอีกชีวิตหนึ่งแล้ว” นางแอ่นยิ้มปลอบใจ มองเห็นความตายเป็นผงธุลี คาดเดาว่าลกซุนสามารถใช้พลังโสตทิพย์ตรวจสอบ หากไม่มีความเคลื่อนไหว เกรงว่า จะกรูกันเข้ามาตรวจสอบอย่างรวดเร็ว จึงต้องมีคนรั้งท้ายถ่วงเวลาเอาไว้
“เราพอมีแผนการเอาชีวิตรอดอย่างหนึ่ง เจ้าเข้ามาใกล้ๆ เราจะกระซิบบอกต่อเจ้าคนเดียว” จูล่งรีบบอกก่อนที่เสียงเกาทัณฑ์ทะลุผ่านฟางกระท่อมจะหมดสิ้น “หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต พลังมังกรต้องหลอมรวมกันไว้กับคนเดียว”
นางแอ่นตาเบิกโพลง ไม่คาดคิดว่า จูล่งจะคิดแผนการเช่นนี้ พอพิจารณาโดยรอบ พลันพบเห็นสามีกดลูกเกาทัณฑฺ์เข้าที่ตำแหน่งจุดตายไปแล้ว เพื่อมอบพลังมังกรสองสายที่มีให้แก่นาง จึงเห็นหมอกควันมังกรก่อตัว แล้วพุ่งวาบเข้าสู่นางแอ่นที่มีน้ำตาพรากเต็มแก้ม แต่กล้ำกลืนไม่ส่งเสียงออกมา ในขณะที่เส้นผมและดวงตาเริ่มเปลี่ยนสีไป
ห่าเกาทัณฑ์ชุดที่สองมาแล้ว จุดประสงค์เพียงต้องการรื้อทำลายโครงสร้างกระท่อม จึงมีจำนวนไม่มากเท่ารอบแรก และไม่มุ่งหวังสังหารผู้คน พอดึงกระชากแผ่นผนังออก จึงเห็นเพียงสองสามีภรรยา โดยที่นางแอ่นจงใจฟุบร่างปกคลุมจูล่งเอาไว้ ทำให้ผู้คนยากคาดเดาว่า คนทั้งสองมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว และค่อยๆเคลื่อนเข้าหาด้วยความระมัดระวัง ถ่วงเวลาให้เนิ่นช้าได้อีกเล็กน้อย
พลังจิตสำนึกมังกรเข้าสู่ร่างกายของนางแล้ว ดังนั้น แผนการที่จูล่งคำนวนไว้เมื่อครู่ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก นางแอ่นก็สามารถขบคิดได้เอง ตัวนางมีพลังมังกรคืนสภาพ ทำให้พร้อมเสี่ยงรับอาวุธได้ระดับหนึ่ง และหากใช้พลังเนตรมังกรจู่โจมอย่างกระทันหัน ย่อมสามารถเปิดทางสะดวกให้ได้ชั่ววูบหนึ่ง พอให้ฝ่ากองทัพย่อยตรงหน้า เพื่อหลบหนีไปด้วยเรือเร็วพิเศษของฝ่ายตรงข้ามที่จอดอยู่ทางแม่น้ำไต้กัง
เพียงแต่แผนการยังมีช่องว่างรอยโหว่พอให้มีคนป้องกันตัวเองได้สองคน จุดอ่อนของพลังเนตรคือ หากไม่สบตา ย่อมไม่มีผลกระทบ ดังนั้น เพียงหลบสายตาไม่จ้องมองเป้าหมาย ก็จะไม่สิ้นสติ
พอลกซุนมองเห็นเหลือเพียงแค่สองคนนี้ พลันระแวงใจขึ้นและคาดเดาว่า สองคนตรงหน้าอาจจะใช้ลูกเล่นเช่นนี้ จึงรีบคว้าตัวกดร่างซุนเกียวลงไปก่อน ทำให้คนทั้งสองทอดร่างกับพื้น แต่มิได้หมดสติ ลอบชักกระบี่เตรียมไว้กับมือ หันหน้าส่งสัญญาณกันเงียบๆ รอจังหวะลงมือกระทันหันต่อคนที่จะเข้ามาใกล้
ดังนั้น เมื่อนางแอ่นอุ้มร่างจูล่งวิ่งฝ่าออกมา ซุนเกียวจึงดีดร่างขึ้นฟันที่มุมอับด้านล่าง แต่นางแอ่นฝีมือสูงส่งเกินไป ถึงกับขยับลอยตัวขึ้นเหยียบบนกระบี่ พร้อมกวาดเท้าเตะใส่กลางใบหน้าซุนเกียวจนแหลกเหลวในเท้าเดียว
ส่วนลกซุนก็ไม่รอช้า พอเห็นมีช่องว่างที่เสียวเอี่ยนจื่อกำลังร่วงหล่น พลันสะอึกร่างขึ้นลงมือบ้างเช่นกัน ไม่ให้ทันได้ตั้งตัว เห็นกระบี่เรืองแสงสีเขียวกวาดใส่ข้อเท้าของนาง หวังให้พิการ ตัดโอกาสหลบหนี
นางแอ่นคิดใช้กระบวนท่าเดิมอีกครั้ง หากแต่พอเหลือบเห็นกระบี่แปลกตา สะกิดใจให้เหลียวมองหน้าฝ่ายตรงข้าม เห็นเป็นลกซุน ซึ่งสมควรมีชื่อเสียงอีกยาวนาน พลันเกิดสำนึกในหน้าที่ของนายทหาร จึงต้องยั้งเท้าเปลี่ยนกระบวนท่า อาศัยพลังมังกรคืนสภาพคุ้มครองตนเองแทน แต่คาดไม่ถึงว่า กระบี่เรืองแสงกลับสะกิดเอากระบี่ม่อเสียที่คาดไว้ข้างเอวหลุดร่วงลงกับพื้นดิน
หากแม้นนางมิได้โอบอุ้มซากศพสามีมาด้วยก็คงแล้วไป แต่พอมีภาระให้วิตกกังวลด้วย ทำให้นางเผลอตัวเอื้อมมือไขว่คว้ากระบี่วิเศษ กลับเป็นลกซุนที่ฉวยจังหวะแทงสวนเข้าที่กลางอกพอดี นางจึงได้แต่เปล่งพลังราชสีห์คำรามสวนคืน ยอมตัดใจละทิ้งกระบี่ชั้นดีไปเล่มหนึ่ง แลกกับกระบี่เรืองแสงที่ปักตรึงที่กลางอกของนางแทน
แน่นอนว่า นางก็มิได้ทันคาดคิดว่า พลังราชสีห์คำรามจะเป็นการทำร้ายลกซุนจนถึงตาย คล้ายกับฝูงค้างคาวดูดเลือดที่หุบเขาลำธารสวรรค์ นี่คือ สวรรค์บันดาลโดยแท้จริง
ใกล้จะถึงท่าเรือแล้ว พวกเหยี่ยวดำตกลงใจเดินทางสู่หุบเขาเซียนปีศาจ จึงจัดวางซากร่างของสองสามีภรรยาไว้เคียงข้างกัน ปรึกษาหนทางนำส่งซากศพกลับสู่ดินแดนเสฉวนหรือกลบฝังไว้แถวนี้ก่อน อย่างน้อย ก็จัดการให้ทายาทผู้ล่วงลับ เตียวเปา เตียวหอม เตียวกอง ได้คำนับศพบุพการีในภายหลัง
แต่แล้ว เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างพิสดาร ซากร่างของจูล่งพลันค่อยๆกลับคืนสู่วัยหนุ่มแล้วเลือนหายไปต่อหน้าพร้อมกับดาบสยบมังกรอันเลื่องชื่อ ส่วนนางแอ่นกลับถอนหายใจ ฟื้นคืนชีวิต ค่อยๆขยับเขยื้อนร่างกาย พร้อมใบหูที่กลับกลายเป็นสีเขียว สวนทางกันกับกระบี่เรืองแสงสีเขียวที่คืนสภาพสู่จุดเริ่มต้น คือ กระบี่กานเจียงสีม่วงคราม
พวกเหยี่ยวดำแม้มีขวัญกล้าแข็ง แต่ยังต้องลังเลใจ เกรงว่า เป็นปีศาจจำแลงสิงร่าง ทำให้นางแอ่นต้องรีบยันตัวขึ้นอธิบาย “เมื่อครู่ ลกซุนถูกเราใช้พลังราชสีห์คำรามกระแทกใส่กระชั้นชิด หากเป็นคนอื่นคงแค่บาดเจ็บสาหัส แต่มันมีพลังโสตทิพย์กลับทำให้แก้วหูแตกตาย พลังมังกรทั้งสองสายในร่างของมันจึงพุ่งเข้ามาหาเราซึ่งเป็นคนที่อยู่ใกล้สุด หลอมรวมกลายเป็นพลังห้าสายอยู่ในร่างเดียวกัน พอดีเราใกล้ตายด้วยเช่นกัน ทำให้พลังมังกรอมตะทำงานครั้งแรก คืนชีวิตกลับมาให้กับเราแล้ว”
นางแอ่นแม้เป็นผู้หญิง แต่จิตใจห้าวหาญเปิดเผย จึงเปิดอกเสื้อให้พรรคพวกเห็นร่องรอยประหลาดรูปมังกรที่เนินอก เห็นเป็นรูปมังกรที่ส่วนหางขาดหายไป “นี่คือความลับของลกซุน มันได้ชีวิตอมตะสี่ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นที่วังหลวง ครั้งต่อมาคือครั้งที่ถูกปีศาจเบ้งเฮ็ก และคงเคยตายอีกครั้งที่ใดสักแห่ง (เกาะทัมรา) ทำให้การที่เราพลั้งมือฆ่ามันเป็นครั้งสุดท้าย พลังมังกรจึงหลุดพ้นออกจากร่างมาสู่เราแทน เพียงไม่แน่ใจว่า มันจะยังมีชีวิตรอดอยู่หรือไม่ แต่ก็คงหมดสิ้นพลังปาฏิหาริย์ใดๆไปหมดแล้ว”
หัวขวานถามถึงเรื่องจูล่งที่หายตัวไป นางแอ่นทบทวนความคิดก่อนตอบ “เมื่อครู่ เรากับจูล่งคล้ายตกอยู่ในภวังค์แห่งโลกวิญญาณ ได้พบกับนักบวชอิวจื่อนาม พระนาครชุน อ้างตนว่า เป็นอาจารย์ของม้าเลี้ยง ท่านบอกว่า วิญญาณของจูล่งอยู่ผิดที่ผิดทาง ที่จริง จูล่งสมควรเป็นคนในยุคสมัยเหม็งหลายร้อยปีข้างหน้า ท่านจึงสอบถามความสมัครใจของมันว่า ยินยอมกลับคืนสู่โลกที่แท้จริงของมัน โดยแลกกับความทรงจำหลายสิบปีที่มีในยุคสามก๊กนี้หรือไม่ เพื่อทำให้วังวนแห่งกาลเวลาจบสิ้นลง
เบื้องแรก สามีเราก็ไม่ยินยอมลบเลือนความทรงจำ หากแต่เราเองกลับสนับสนุนให้มันตอบรับ เพื่อจะกลับคืนสู่วิถีชีวิตที่ถูกต้อง และแก้ไขความผิดเพี้ยนของหน้าประวัติศาสตร์ได้บ้าง โดยเปิดเผยตัวตนของเรากับหน่วยปักษาสวรรค์ให้มันได้รับรู้ พอมันเข้าใจในภารกิจของพวกเรา จึงยินยอมย้อนคืนสู่อนาคตแต่โดยดี เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรักของมันที่มีต่อเราอย่างที่สุด”
พวกเหยี่ยวดำย่อมอ่านความในใจของนางแอ่นออกว่า นางคงทำใจได้ยากต่อบุญคุณความแค้นที่นางกับพวกมันมีต่อจูล่ง ดังนั้น การกลบเกลื่อนแก้ไขวังวนดังกล่าวนั้น อาจเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้เรืื่องราววุ่นวายทั้งหลายเป็นเพียงฝุ่นตะกอนแห่งกาลเวลา และอย่างน้อย จูล่งผู้นี้ก็มิได้สร้างผลกระทบอะไรต่อหน้าประวัติศาสตร์มากมายนัก
เหยี่ยวดำมองกระบี่กานเจียงที่แปรสภาพ พลางถาม “แล้วกระบี่กานเจียงนั่นเกี่ยวข้องเช่นไรกับพลังมังกรจักรวาลด้วยหรือไม่ จึงได้เปลี่ยนสีแปรสภาพไปด้วยเช่นกัน”
ใบหน้าของนางแอ่นแปรเปลี่ยนไปวูบหนึ่งค่อยกล่าว “พลังอาคมที่แฝงเร้นอยู่ คงสูญสลายไปแล้วเท่านั้น เรื่องนี้ นอกเหนือจากพลังมังกรจักรวาล เราเองก็ไม่แน่ใจนัก”
หัวขวานครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลันถาม “แล้วท่านทราบหรือไม่ว่า ที่จริงแล้ว มันคือใคร”
นางแอ่นไม่ตอบคำถามตรงๆ เพียงแต่ปรายตามองไปทางทิศบูรพา พร้อมตวัดมือคล้ายเขียนชื่อที่แท้จริงของจูล่ง “เป็นจอมยุทธผู้กล้าอีกคนหนึ่งที่เราชอบพอในวัยเยาว์”
ยามนี้ เสียวเอี่ยนจื่อได้รับพลังมังกรห้าสาย ทำให้ดวงตา ใบหู และเส้นผม กลายเป็นสีเขียวสะดุดตา ราวกับตัวประหลาดหญิง จึงไม่คิดหวนคืนสู่ชีวิตปกติอีกต่อไป อาศัยเหตุการณ์ล่าสังหารของพวกลกซุนเป็นข้ออ้าง แสร้งตายไปพร้อมกันกับจูล่งผู้เป็นสามี ปิดฉากตำนานขุนพลท่องเมฆากับขุนพลวิหคสวรรค์ไปในคราวเดียวกัน
เรื่องนี้ย่อมสอดคล้องกับสายข่าวที่ระบุถึงเรื่องราวกับดักดงพยัคฆ์ที่หุบเขาละทิ้งอดีต และการตามล่าสังหารที่ใต้เขาจวนหยกสันได้ชัดเจน หากแต่ความตายของสี่บุคคลสำคัญตั้งแต่ ซุนลอง สมุหนายก ซุนเกียว ผู้บัญชาการทัพเรือ และชีเซ่ง โฮกี๋ สองขุนพลเล็บพยัคฆ์ ถูกกลบเกลื่อนให้ตายเพราะอาการป่วยไข้รุนแรง ไม่แตกต่างจากเหตุการณ์การตายอย่างกระทันหันของสี่ขุนนางใหญ่ฝ่ายวุยก๊กในอดีต
ขงเบ้ง-จูกัดเหลียงที่ซ่อนกายอยู่ในเมืองหลวงเซงโต๋ จึงขานรับข่าวคราวด้วยความยินดีที่หนามยอกอกหลุดพ้นไปได้สักที ลำพังขุนพลพายุคลั่ง อุยเอี๋ยนเพียงคนเดียวยังพอทำเนา ไม่อาจสกัดกั้นอิทธิพลบารมีของมันได้อีกต่อไป ถือได้ว่า กลุ่มการเมืองสองขั้วในจ๊กก๊กจบสิ้นลงแล้ว ฝ่ายมังกรซ่อนเป็นผู้ได้ชัยชนะแล้ว
ขงเบ้งเดินเข้าสู่ห้องหนังสือ เพื่อเขียนประกาศแต่งตั้งพรรคพวกเสริมเติม มุ่งหวังริดรอนอำนาจฝ่ายตรงข้าม แต่พอมาถึงโต๊ะตั่งแล้ว กลับเห็นม้วนกระดาษคาดด้วยเส้นผมสีเขียววางไว้บนตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน สร้างความตกใจเป็นอย่างยิ่ง พอเปิดออกอ่าน เป็นข้อความสั้นๆว่า “ฝืนชะตาฟ้าดิน สูญสิ้นทั้งตระกูล - นางแอ่น”
จูกัดเหลียงรู้สึกถึงความจริงจังของคำขู่อย่างน่าสะพรึงกลัว ปกติ ขุนพลสาวเสียวเอี่ยนจื่อมีความยืดหยุ่นประนีประนอมยิ่งนัก คิดอ่านสิ่งไรมักใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ แต่บัดนี้ นางคล้ายจิตใจแปรเปลื่ยน ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนแข็งกร้าว ทั้งไม่ยอมเผยตัวตนในที่แจ้ง เกรงว่า นางแอ่นจะเริ่มซึมซับความอำมหิตมาจากผู้อื่นเสียแล้ว
วันรุ่งขึ้น ที่ท้องพระโรง “กษัตริย์เล่าเสี้ยน” ได้รับทราบจากขงเบ้งถึงความตายของสองสามีภรรยา จูล่ง เสียวเอี่ยนจื่อ อันเกิดจากการโรคระบาดหลัวหม่า ไข้ทรพิษยังเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ไม่มีหนทางรักษา และไม่อาจเคลื่อนย้ายซากศพ นอกจากเผาทำลายทิ้งในทันที จึงไม่มีซากร่างของคนทั้งสองมาทำพิธีกรรมตามธรรมเนียม
“เล่าเสี้ยน” จึงหันไปสบตากันกับองครักษ์พิเศษเตียวกองทางด้านหลัง จนกระทั้งตั้งสติได้ จึงหันมากล่าวด้วยน้ำตานองหน้า “ท่านขุนพลจูล่งเป็นผู้มีพระคุณของข้า เคยช่วยชีวิตข้ามาหลายครั้งหลายหน ถือเสมือนบิดาผู้ให้กำเนิดคนที่สอง ยามนี้ ตกตายไร้ซากร่าง ด้านหลังไร้ทายาทส่งวิญญาณ ข้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายช่วยจัดการพิธีกรรมตามธรรมเนียมสูงสุดเท่าที่เหมาะสมเถิด และมอบหมายให้เตียวกอง เตียวเปา ร่วมกันเป็นตัวแทนของข้า ทำหน้าที่เป็นทายาทสืบสกุลให้แก่พวกท่านทั้งสองด้วย”
เตียวหองหรือกษัตริย์เล่าเสี้ยนปลอมได้แต่ทอดถอนหายใจ ซ่อนความเสียใจที่สูญเสียบิดาเอาไว้ในใจ และทำหน้าที่เยี่ยงกษัตริย์ต่อไป ขงเบ้งจึงนำเสนอหัวข้อถัดไป เป็นการผ่าตัดกองทัพครั้งใหญ่ ปรับเปลี่ยนฉายาขุนพลจตุรทิศ เพื่อกลบเกลื่อนความเสื่อมโทรมของกลุ่มห้าขุนพลสวรรค์ซึ่งเดินทางมาถึงจุดที่หลงเหลือเพียงคนเดียวแล้ว
อุยเอี๋ยน ขุนพลพายุคลั่ง ขุนพลสวรรค์คนสุดท้าย ให้เป็นขุนพลวาตะอุดร เฝ้ารักษาเมืองหน้าด่านฮันต๋ง ม้าต้าย น้องชายม้าเฉียว ขุนพลเงาหิมะ ให้เป็นขุนพลอัคคีทักษิณ คุมเมืองชายแดนเกียมเหลง ลิเงียม อดีตคนดังสายเสฉวนเดิม ให้เป็นขุนพลปฐพีประจิม ดูแลกองกำลังเมืองเซงโต๋ และเตงจี๋ ขุนพลนักการทูต ให้เป็นขุนพลธาราบูรพา ตั้งมั่นที่เมืองชายแดนหยงอัน
ขุนพลนายทหารคนอื่นนอกเหนือจากนั้น อันได้แก่ งออี้ เตียวเอ๊ก อองเป๋ง เลียวฮัว กวนหิน เตียวเปา ให้เลื่อนขั้นบรรดาศักดิ์ให้ตามสมควร นับว่า ผสมผสานคนสองขั้วการเมืองให้ได้รับตำแหน่งสูงสุด และยึดครองกำลังทางทหารอย่างเท่าเทียมกัน
ฟากฝั่งง่อก๊กที่สูญเสียบุคคลสำคัญไปมากมาย ก็มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน สามตำแหน่งหลัก นอกจากจูกัดกิ๋นที่ยังคงรั้งตำแหน่งสมุหราชเลขาแล้ว ตำแหน่งสมุหกลาโหมสมุหนายก ถูกส่งต่อให้กับฮันต๋ง ลิห้อม และตำแหน่งผู้บัญชาการทัพเรือเมืองชีสองยังเป็นเหยียมจุ้นดูแลด้วยตนเอง เท่ากับเสาหลักทางการเมืองล้วนถูกสามผู้เฒ่าอี้จิ๋วเข้ามายึดครองแทนทั้งสิ้น
จากสองเหตุการณ์สำคัญ ลกซุน เล่งทอง คู่หูหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส คนแรกกลายเป็นคนกึ่งตาย นอนหายใจรวยริน แต่ไม่ได้สติฟื้นคืนมาเลยจนถึงบัดนี้ ส่วนคนที่สอง ถูกไฟคลอกบนกระเช้าทั่วร่างกาย และยังตกกระแทกกับพื้นดินซ้ำอีก ทำให้เนื้อหนังเสียหายและกระดูกหักหลายท่อน ความรุนแรงแทบไม่ต่างจากคนแรกมากนัก คนทั้งสองจึงถูกปลดออกจากราชการโดยปริยาย
ยังดีที่ต้นคิดคือซุนลอง ซุนเกียวล้วนตายในสมรภูมิรบไปก่อน มิเช่นนั้น คงถูกลงโทษทัณฑ์ไม่น้อยเช่นกัน ขุนพลชีเซ่ง โฮกี๋ และขุนพลรองทั้งหลายตายเปล่าไปหลายคน สรุปคือ ขุนพลเล็บพยัคฆ์ห้าคน ตายสอง สาหัสหนึ่ง จึงดูแล้วไม่คุ้มค่าเลยในสายตาของขุมกำลังอี้จิ๋ว จนทำให้ต้องเร่งผลักดันคนรุ่นใหม่มากมายขึ้นมาทดแทนตำแหน่งสายทหารที่ว่างลง และส่งผลให้สูญเสียแรงส่งในการทำศึกสงครามไปอีกช่วงหนึ่ง
งานสำคัญเร่งด่วนที่ ฮันต๋ง สมุหกลาโหมต้องการสานต่อ จึงเป็นการเชื่อมประสานกับจูกัดเอี๋ยนแห่งดินแดนเลียวตั๋งให้จงได้ เพื่อจัดหากองทัพม้าเหล็กเข้ามาเสริมเติมในกองกำลังกังตั๋งให้ได้โดยเร็ว หวังสร้างประสิทธิภาพการรบทางบกเพิ่มเติม
บนเกาะรกร้างแห่งเดิม ณ เส้นแยกแห่งกาลเวลา ชายหนุ่มคนเดิมฟื้นคืนสติกลับขึ้นมาอีกครั้งภายในกระท่อมที่พัก หลังจากหมดสติล้มลงที่หาดทราย มันนึกในใจ คงเป็นหญิงคนรักที่นำตัวมันกลับมา พร้อมคิดคำนึงถึงความฝันอันวุ่นวาย
ความฝันที่คล้ายดั่งตัวมันย้อนคืนสู่อดีตในยุคสมัยสามก๊ก สวมบทบาทเป็นจูล่ง นักรบคนดังในตำนาน แต่กลับมีความซับซ้อนในบทบาท ถึงกับเป็นทายาทจอมโจร ครองตำแหน่งประมุขพรรคฟ้าเหลือง แบกรับภาระหน้าที่กอบกู้ชื่อเสียงเกียรติยศให้กับบิดาบุญธรรม แต่ก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
ชีวิตครอบครัวของขุนพลอันยาวนานในอดีต มีปะปนกันทั้งความสุขและความทุกข์ระทมใจ ภรรยาหลวงเป็นถึงกุนซือหญิงที่มีชื่อเสียงทัดเทียมขงเบ้ง บังทอง ส่วนทายาทก็มีตั้งแต่ขุนพล ฮ่องเต้ และองครักษ์ นับว่า เป็นฝันเฟื่องเรื่องหนึ่ง
มันยังจดจำถึงบั้นปลายชีวิตอันรุ่งโรจน์ กับดักที่อำมหิตทำร้ายตัวมันเสียพิการยับเยิน มิอาจเอาชีวิตรอดได้ ซ้ำยังนำพาให้เมียรักต้องมาเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน มันจึงได้แต่สละชีวิตตนเอง ส่งเสริมให้ภรรยาได้รับพลังวิเศษ จนสามารถฝ่าวงล้อมได้สำเร็จ และมันกลับเผชิญหน้ากับนักบวชต่างถิ่นที่มอบทางเลือกกลับคืนสู่โลกที่แท้จริง
“ท่านพี่ ตื่นแล้ว ข้าเป็นห่วงท่านแทบตาย จู่ๆก็สลบไสลไปได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเชียว” หญิงสาวคนรักก้าวเข้ามาในห้อง พร้อมชามยาโสมในมือ “ว่าแต่ ท่านเล่นกลหายตัวได้ยังไง จากหาดทรายฝั่งตะวันตกกลับไปล้มฟุบอยู่ที่ชายหาดฟากเหนือ ยังดีที่ข้าตระเวนตามหาท่านไปจนทั่วทั้งเกาะ จึงได้พบเจอ ไม่เช่นนั้น ท่านคงต้องนอนตากน้ำค้างน้ำทะเลตรงนั้นหลายวันเป็นแน่”
เสียงผู้ชายแปลกหูดังขึ้นมาจากด้านนอก หญิงสาวจึงเรียกให้เข้ามาได้ เป็นบัณฑิตวัยกลางคน ท่าทางห้าวหาญเปิดเผยกับชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยก้าวเข้ามาคารวะ หญิงสาวจึงแนะนำว่า “นี่คือเตียวสือเฉินกับล่อกวนตง บัณฑิตเตียวเคยเป็นลูกน้องเก่าของข้า และพอมีความรู้ทางการแพทย์ เรานึกได้จึงเชื้อเชิญให้มาช่วยดูแลอาการของท่าน ส่วนบัณฑิตล่อก็มีฝีมือรอบรู้ไม่น้อย ถึงกับสามารถฝังเข็มแบบเผาร้อน และค้นหาสมุนไพรมาเสริมเติมพละกำลังได้เช่นกัน”
สองบัณฑิตคำนับอีกครั้ง เตียวสือเฉินจึงกล่าวถ่อมตัว “โชคดีที่ท่านล่อเก่งกาจ สามารถจัดการรักษาได้ดียิ่งกว่าข้าเสียอีก ทั้งๆที่เพิ่งรอดพ้นมาจากการจมน้ำเช่นกัน นับว่า พวกท่านมีดวงสมพงศ์กันจริงๆ เพียงแค่อาศัยข้าน้อยเป็นสะพานเชื่อมเท่านั้น”
จอมยุทธหนุ่มสบตากับล่อกวนตง แม้่ทั้งสองคนไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ต่างคนก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด ล่อกวนตงหรือการเวก หัวหน้าหน่วยตาข่ายฟ้าดิน พลันสะดุดตากับดาบสยบมังกรที่วางอยู่ด้านข้าง คิดในใจ “หรือว่า คนผู้นี้คือ...”
“ท่านพี่เราเคยเป็นประมุขพรรคอันยิ่งใหญ่ แต่เมื่อตกลงใจอยู่ร่วมครองคู่กับเราซึ่งเป็นคนมองโกล จึงวางมือหันหลังให้กับยุทธภพ ปลีกตัวมาใช้ชีวิตสุขสงบ ใช้นาม เตียวหยุน เตียวเสี้ยน ล้อเลียนยุคสามก๊ก” หญิงสาวสรุปสั้นๆให้สหายใหม่ได้รู้จักตัวตนคร่าวๆ
การเวกพลันคิดขึ้น “อา... เรานึกว่า ตำนานจอมยุทธหนุ่มกับเจ้าหญิงต่างแดนเป็นเพียงนวนิยาย คาดไม่ถึง กลับกลายเป็นเรื่องจริง แถมเรายังมีส่วนช่วยชีวิตท่านจอมยุทธชื่อดังเสียด้วย แต่น่าประหลาดที่ความคิดของมันกลับเต็มไปด้วยเนื้อหายุคสามก๊ก อาจจะเป็นเพราะมันหมกมุ่นกับเรื่องราว จนนำชื่อเดิมของ “จูล่ง” มาตั้งเป็นชื่อใหม่นี่เอง”
อดีตหัวหน้าหน่วยทำตัวกลมกลืนอยู่กับบ้านนี้มาหลายวัน จึงอดไม่ได้ที่จะลอบใช้วิชาอ่านจิตสำรวจชายหนุ่มที่สลบไม่ได้สติ แต่ย่อมคาดไม่ถึงว่า เพียงช่วงเวลาไม่กี่วันที่ตัวมันก็เพิ่งหลงทางมาถึงยุคนี้ อีกหนึ่งตัวตนของชายหนุ่มตรงหน้า ถึงกับย้อนไปโลดแล่นในอดีตตั้งหลายสิบปี ด้วยการทำงานของเครื่องย้อนเวลาชิ้นเดียวกัน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา