10 ต.ค. 2021 เวลา 04:14 • หนังสือ
✴️ บทที่ 1️⃣ ความท้อแท้ของอรชุน (ตอนที่ 46) ✴️
🌸 ผู้ภักดีเห็นศัตรูผู้จะถูกทำลาย 🌸
⚜️ โศลก 2️⃣0️⃣➖2️⃣3️⃣ ⚜️ (ตอนที่ 2)
หน้า 138 – 140
โศลกที่ 2️⃣1️⃣➖2️⃣2️⃣ แสดงถึง “ภาวะที่สองของการทำสมาธิ” นั่นคือ #ภาวะก่อนที่ผู้ภักดีจะปลอดภัยอยู่ในสมาธิลึกที่ให้ความเกษม ทั้งสองโศลกนี้ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะอธิบายอย่างสั้น ๆ
◾ความเป็นสองขั้วระหว่าง ‘จักระก้นกบ’ ‘จักระลำตัว’ และ ‘จักระร่วมท้ายสมอง-ปัญญาจักษุ’◾
การเคลื่อนรถสหัชญาณเข้าไปในระหว่างกองทัพของทั้งสองฝ่าย โดยทั่ว ๆ ไป หมายถึง “การเข้าไปที่จักระไขสันหลัง” แต่เน้นเป็นพิเศษที่ ⏺️จักระก้นกบ ⏺️จักระลำตัว และ 🔼จักระร่วมท้ายสมอง-ปัญญาจักษุ 3️⃣ จุดนี้เป็นที่สำคัญ เป็นที่พัก  แห่งสหัชญาณ เป็นจุดได้เปรียบที่ #จิตของผู้ภักดี_จะอยู่ได้อย่างมั่นคงขณะเคลื่อนไปสู่พระเจ้า_โดยผ่านจักระในสมอง
มีความเป็น ‘สองขั้ว’ อยู่ระหว่างจักระเหล่านี้ #ที่ช่วยปรับจิตให้ยกสูงขึ้นได้
⏺️ แรกสุด “มีแม่เหล็ก” ระหว่าง ‘ขั้วลบของจักระก้นกบ-(มูลาราระ)(1)’ กับ ‘จักระขั้วบวกซึ่งอยู่สูงขึ้นไป นั่นคือ จักระลำตัว (อนาหตะ)(4)’ — ดังนั้น ✨เมื่อทำสมาธิลึก✨ “เมื่อจิตยกขึ้นสู่จักระลำตัว” #จักระนั้นจะกลายเป็นขั้วลบ และ “จักระร่วมท้ายสมอง-วิญญาณจักษุ (กุฏัสถะ)(6) จะกลายเป็นขั้วบวก” #ดึงจิตสูงขึ้นสู่จักระสูงสุดในสมอง_หรือจักระการหยั่งรู้ตน(7)
⏺️ การรู้ด้วยสหัชญาณที่ได้รับขณะพักอยู่ที่ จักระทั้ง 3️⃣ นี้ ทำให้ผู้ภักดีเข้าใจบริบูรณ์ถึงหลักการธรรมชาติฝ่ายต่ำของตน (ฝ่ายวัตถุ) ด้วยการมีประสบการณ์กับมันในรูปแบบที่ประณีต ณ ฐานที่เกิดของมันเอง
🔼 เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า ‘ดอกบัวพันกลีบ (สหัสราระ)(7)’ ในสมองใหญ่ #เป็นแหล่งเกิดของพลังทั้งปวงในร่างกาย และ #พลังเหล่านี้ทำงานผ่าน_ไดนาโมน้อยๆที่จักระในไขสันหลัง — ผู้รู้แต่โบราณเห็น “ความเชื่อมโยงกัน” ระหว่าง ‘พลังสั่นสะเทือนในสมอง’ กับ ‘จักระในไขสันหลัง’ #พลังสั่นสะเทือนนี้ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งเสียงปล่อยเสียง ซึ่งฤษีนำมาใส่ใน #เสียงอักษรภาษาสันสกฤต ได้อย่างสมบูรณ์★
★เซอร์ เอ็ม โมนิเออร์-วิลเลียม นักปราชญ์ผู้โด่งดังได้เขียนไว้ในหนังสือ Sanskrit Grammar ของเขาว่า “อักษรเทวนาครีซึ่งใช้เขียนภาษาสันสกฤตนั้น ได้ถูกปรับให้เข้ากับเกือบทุกระดับเสียงที่มนุษย์ รู้จักกัน และอักษรแต่ละตัวมีเสียงเฉพาะของมันที่ไม่อาจแปลงเป็นเสียงอื่น”
{หมายเหตุผู้จัดพิมพ์}
ในเชิงอรรถหนังสือ ‘อัตชีวประวัติของโยคี’ ข้าพเจ้าได้เขียนถึงภาษาสันสกฤตไว้ว่า “สันสกฤตา ‘ประณีตสมบูรณ์’ สันสกฤตเป็นพี่สาวคนโตของภาษาอินโด-ยูโรเปียนทั้งปวง ตัวเขียนใช้อักษร ‘เทวนาครี’ ซึ่งแปลตรงตัวว่า ‘ที่อยู่ของเทวดา’ ปาณินี นักนิรุกติศาสตร์ชั้นเลิศของอินเดียในสมัยโบราณ ได้กล่าวยกย่องความสมบูรณ์พร้อมของภาษาสันสกฤตทั้งในแง่ไวยากรณ์และจิตวิทยาไว้ว่า ‘ผู้รู้ไวยากรณ์ของข้าพเจ้า ย่อมเข้าถึงพระเจ้า’ ผู้ที่สืบสาวภาษาสันสกฤตไปจนถึงต้นกำเนิดได้ ย่อมกลายเป็นสัพพัญญูอย่างแน่นอน”
ในการอธิบายอย่างง่าย ๆ อาจพูดได้ว่า : อักษรสันสกฤตทั้ง 5️⃣0️⃣ ตัว หรือ 5️⃣0️⃣ เสียง อยู่บนกลีบของสหัสราระ★ #เสียงสั่นสะเทือนของอักษรแต่ละตัว_จึงสัมพันธ์กับแต่ละกลีบของดอกบัวในจักระในไขสันหลัง (ซึ่งมี 5️⃣0️⃣ กลีบที่ต่างสัมพันธ์กัน — จักระก้นกบ 4, กระเบนเหน็บ 6, บั้นเอว 10, ลำตัว 12, คอ 16, และที่ท้ายสมองวิญญาณจักษุ 2)
★จริง ๆ แล้ว เสียงเหล่านี้มีความหมายอย่างเดียวกับ “กลีบ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง “พลังสั่นสะเทือน” อักษรห้าสิบตัว หรือ ห้าสิบเสียง เมื่อคูณกับยี่สิบก็จะได้ ‘สหัสราระหนึ่งพันกลีบ’
“กลีบ” หมายถึง #รังสี_หรือ_การสั่นสะเทือน เสียงสั่นสะเทือนเหล่านี้มีทั้ง ‘สะเทือนอย่างเดี่ยวๆ’ หรือ ‘ประสานกัน’ และเมื่อรวมกับธาตุทั้ง 5️⃣ และ หลักการอื่น ๆ ของธรรมชาติแล้ว จะมีหน้าที่ในกิจกรรมอย่างหลากหลายทั้งทางกายและจิต ทั้งในกายหยาบและกายทิพย์ของมนุษย์
ข้าพเจ้าได้รวบรวมแผนภูมิซึ่งบรมคุรุของข้าพเจ้า ท่านโยคาวตาร ลาหิริ มหัสยะได้เขียนไว้ตามที่ท่านรับรู้ไว้ในอรรถาธิบายนี้ด้วยแล้ว (หน้า 1189) ภาพประกอบเป็นเพียงโครงร่างคร่าว ๆ ของ ‘นาฑี’ ทั้งหมดในร่างกาย ซึ่งมีจำนวนแตกต่างกันไปในแต่ละคัมภีร์ และอาจมีมากถึง 72,000 นาฑี ตอนที่ข้าพเจ้าเดินทางกลับไปเยือนอินเดียเมื่อ ค.ศ. 1935 อนันตะ โมฮาน ลาหิริ หลานชายของบรมคุรุได้มอบแผนภูมินี้ให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อรวมไว้ใน อรรถาธิบายคีตา ที่เขารู้ว่าข้าพเจ้าตั้งใจจะเขียน★
★อนันตะ โมฮาน ลาหิริ ผู้เข้าถึงญาณหยั่งรู้ขั้นสูง เป็นเพื่อนสนิทของข้าพเจ้าและเป็นผู้มีอุปการคุณ แก่โรงเรียนและการงานของข้าพเจ้าที่อินเดียมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เขาได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าอย่างมาก ในช่วงที่ข้าพเจ้าเดินทางไปเยือนอินเดียเมื่อ ค.ศ. 1935 ขวนขวายที่จะก่อตั้งโรงเรียนและวางรากฐาน กิจการของ ‘โยโคทะ’
ในจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาเขียนถึงข้าพเจ้าไม่นานก่อนที่เขาจะถึงแก่กรรม เมื่อ ค.ศ. 1951 เขาได้ให้การสนับสนุนข้าพเจ้าอย่างเปี่ยมด้วยความรัก ให้กำลังใจในความพยายามของข้าพเจ้าที่จะเขียนอรรถาธิบายคีตาด้วยการตีความใหม่นี้ให้สำเร็จ “เขียนคีตาตามวิธีของท่านที่สื่อตรงจากกฤษณะและอรชุน อย่าลอกเลียนการตีความอย่างคลุมเครือของสมัยโบราณ” และเขาลงท้ายจดหมายว่า “เพื่อนของท่านในอนันตภาพ”
การหยั่งรู้ศักยภาพของเมล็ดพันธุ์ (พีช) แห่งเสียงนี้ ทำให้ฤษีหลาย ๆ ท่าน ได้ร้อยกรอง ✨มนตรา✨ ซึ่งถ้า #สวดอย่างถูกต้อง_จะทำให้พลังสร้างสรรค์ก่อเกิดผลตามที่เราต้องการ
✨มนตรา✨ จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะ #ปรับวิญญาณเรา_เข้ากับพลังทิพย์อันประณีต
💢 แต่ที่เป็นอยู่บ่อย ๆ คือ ผู้แสวงหามักจะมุ่งไปที่ “พลังธรรมชาติ” ผลที่เกิดขึ้นจึงอยู่ในแดนของ ‘ปรากฏการณ์และอิทธิฤทธิ์’ #ซึ่งเป็นกับดัก_ที่ผู้ภักดีที่แสวงหาความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอย่างจริงใจต้องหลีกเลี่ยง 💢
✨มนตร์ศักดิ์สิทธิ์✨ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ‘กริยาโยคะศาสตร์’ รวมถึงการทำ “🕉️โอมสมาธิ” ได้กล่าวมาแล้วในบทที่ 1:15-18★ (รวมทั้งคำแนะนำและเทคนิคอื่น ๆ ตามวิถีของ ‘กริยาโยคะ’) #จะนำจิตผู้ภักดีตรงสู่_พระเจ้า
★ 🕉️โอม “เป็นบรมมนตรา” #เป็นการสำแดงของ_วิญญาณต้นกำเนิด (ปรพรหมัน) #ในลักษณะของพลังสั่นสะเทือนแห่งการสร้างสรรค์ ซึ่งรู้จักกันในนาม ‘ศัพทพรหมัน’ หรือ ‘บรมวิญญาณที่สำแดงในลักษณะของเสียง’ — 🕉️โอม #จึงเป็นแหล่งกำเนิด_และเป็นที่รวมของเสียงสั่นสะเทือนทั้งปวง
ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วในอรรถาธิบายนี้เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ของเสียงสั่นสะเทือน ตลอดจนรากที่มาของมัน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของรายละเอียดในโยคะศาสตร์ แต่ “ไม่จำเป็นต้องเพ่งที่สิ่งนี้” เพราะผู้ภักดีที่ปฏิบัติได้อย่างก้าวหน้าจะรู้ผลที่เกิดขึ้นได้เองโดยอัตโนมัติ ดังนี้ :
🧘 เมื่อผู้ภักดี “เพ่งจิตที่จักระก้นกบ(1)” — เขาจะได้ยินเสียงสั่นสะเทือนอยู่ระหว่าง ‘จักระก้นกบ(1)’ กับ ‘จักระกระเบนเหน็บ(2)’ แล้วเขาจะ #เข้าใจ_แดนแห่งกาม — จุดนี้เป็นจุดพักจุดแรก 1️⃣
🧘 เมื่อผู้ภักดี “เข้าใจเสียงสั่นสะเทือน” ของเมล็ดพันธุ์ที่ ‘จักระลำตัว(4)’ — เขาจะ “รู้สึก” ที่ จักระก้นกบ(1) กระเบนเหน็บ(2) บั้นเอว(3) และ ลำตัว(4) พร้อม ๆ กันไปด้วย เขาจะ #เข้าใจ_ความเร้นลับของพลังละเอียดของจักระเหล่านี้ — ขั้นนี้เป็นจุดพักจุดที่ 2️⃣
🧘 เมื่อโยคีผู้ก้าวหน้า “เข้าใจเสียงสั่นสะเทือน” ของเมล็ดพันธุ์ที่อยู่ระหว่าง ‘จักระคอ(5)’ กับ ‘จักระร่วมท้ายสมอง-วิญญาณจักษุ(6)’ — เขาจะเข้าใจจักระทั้ง 6️⃣ (ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศธาตุ และ อภิอากาศธาตุ) #ในภาวะละเอียดของแต่ละภาวะ และ #เข้าใจต่อไปถึงการรวมตัวของธาตุเหล่านี้_ที่ทำให้มนุษย์เกิด_มายา_ว่าร่างกายเป็นของแข็ง
(มีต่อ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา