Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
4 พ.ย. 2021 เวลา 05:34 • ปรัชญา
“วิธีพัฒนาตัวเอง ยกระดับจิตใจ”
“ … เรามาสังเกตที่จิตที่ใจเรานี้ล่ะ
เวลาตัณหาเกิดความอยากมันเกิด
ความดิ้นรนมันก็เกิด ความทุกข์มันก็เกิด
เวลาความอยากเกิด จิตมันดิ้นรนทันทีเลย
ดิ้นรนแสวงหา ดิ้นรนรักษา ดิ้นรนผลักไส
จิตมันดิ้น ทุกครั้งที่จิตดิ้น จิตก็มีความทุกข์
คนที่ไม่ได้ภาวนามันจะเห็นแต่ว่า
ถ้ามีความอยากยังไม่ทุกข์ ถ้าไม่สมอยากถึงจะทุกข์
เราภาวนา เราจะเห็นเลยว่าแค่มีความอยาก
แล้วจะสมอยากหรือไม่สมอยาก
แค่มีความอยากเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
นี่ฉลาดขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
รู้เลยตัณหานี้ล่ะเป็นตัวสร้างภพ
เป็นตัวสร้างทุกข์ให้เราโดยตรงเลย
ค่อยๆ ภาวนาไป ในที่สุดก็เข้าไปถึงรากของตัณหา
สิ่งที่เป็นรากของตัณหา
ที่ทำให้ตัณหาเกิดก็คือตัวอวิชชา
ความไม่รู้ความจริงในเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ไม่รู้ว่ากายนี้ใจนี้ ขันธ์ 5 นี้เป็นตัวทุกข์
อย่างเรารู้สึกร่างกายเราทุกข์บ้างสุขบ้าง
จิตใจเราทุกข์บ้างสุขบ้าง เรายังไม่รู้ความจริง
เราภาวนามากๆ เราจะเห็นร่างกายนี้ทุกข์ล้วนๆ
มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
จิตใจนี้ก็ทุกข์ล้วนๆ มีแต่ทุกข์มากกับทุกข์น้อย
เห็นอย่างนี้ ถึงจะละอวิชชาได้
จะรู้ความจริงเลยว่า รูปนาม ขันธ์ 5 นั่นล่ะมันตัวทุกข์
เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น มันเป็นตัวทุกข์
พอฉลาดขึ้นมาจะรู้เลย
แค่มีความอยากมันก็มีความทุกข์แล้ว
จะสมอยากหรือไม่สมอยากมันก็ทุกข์แล้ว
ถ้าเราภาวนาสูงกว่านั้นอีก เราจะรู้เลย
มีขันธ์ก็มีทุกข์ จะอยากหรือไม่อยาก
แค่มีขันธ์ ก็มีทุกข์แล้ว
โดยเฉพาะถ้าเราภาวนาเข้ามาถึงตัวรู้
ตัวจิตผู้รู้เป็นขันธ์ที่ละเอียดที่ประณีตที่สุดในโลกิยะ
ตัวจิตผู้รู้คือจิตที่ทรงสติ ทรงสมาธิ
มีความสามารถที่จะเจริญปัญญาโดยอัตโนมัติ
ต้องอัตโนมัติด้วย
ไม่ได้เจตนาจะมีสติก็เกิดสติ
ไม่เจตนามีสมาธิ มันก็ทรงสมาธิตั้งมั่นขึ้นมา
ไม่เจตนาจะเห็นไตรลักษณ์ก็เห็น
อันนี้เรียกว่าเป็นมหากุศลจิตที่แข็งแรงที่สุด
เพราะว่าเป็นอสังขาริกัง
อสังขาริกังคือเป็นกุศลที่เราไม่ต้องชักจูงให้เกิด
มันเกิดอัตโนมัติ แต่ก่อนจะถึงอัตโนมัติ ต้องฝึก
ถ้าฝึกทีแรกก็เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง
สตินานๆ เกิดที ฝึกเรื่อยๆ สติก็เกิดบ่อย
จิตใจไม่เคยตั้งมั่น ฝึกไปเรื่อยๆ จิตก็ตั้งมั่น
ไม่เคยเห็นไตรลักษณ์ ก็หัดรู้หัดดู หัดสังเกตไป
ในที่สุดมันก็สามารถเห็นไตรลักษณ์โดยอัตโนมัติ
นี่ปัญญามันอัตโนมัติ
พอสติ สมาธิ ปัญญามันอัตโนมัติ
ไม่ต้องห่วงเรื่องมรรคผลเลย
มันจะเกิดเองเมื่อถึงเวลา
ถ้าหิว อยากได้มรรคได้ผล นั่นคืออยาก หล่นแป้กเลย
ฉะนั้นสะสมทำเหตุที่ดีไปเรื่อยๆ
พอยกระดับจิตใจของเราจากกามาวจรภูมิ
ไปสู่ภูมิของพรหมที่มีรูป เรียกรูปาวจร
ไปสู่พรหมที่ไม่มีรูป
อยู่กับความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เห็นไหมเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
มันเป็นอารมณ์ฌานที่ไม่มีรูป ไม่มีรูปร่าง
มันเข้าไปสู่อรูปฌานได้ง่าย
จิตมันก็ทรงอยู่ในอรูปาวจร อรูปภูมิ
แล้วภาวนาเห็นความจริง
ทุกข์เกิดเพราะตัณหาเกิด
ตัณหาเกิดเพราะการไม่รู้ความจริง
ของรูปนาม ขันธ์ 5 ว่าเป็นไตรลักษณ์
จิตจะพัฒนาขึ้นไปอีก ขึ้นสู่โลกุตตรภูมิ
จากกามาวจรภูมิยกขึ้นมาสู่รูปาวจร อรูปวจร
ในที่สุดก็ไปถึงโลกุตตรภูมิได้
ยกตัวเองให้มันสูงขึ้นๆ ไป
วิธียกตัวเองให้สูงขึ้น
ขั้นแรกเลยรักษาศีล 5 ไว้
ความชั่วอะไรที่เคยมี รู้ทันตัวเอง แล้วก็ลดละเสีย
ความดีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ มีโอกาสก็ทำเสีย
ความดีอะไรที่ทำแล้วก็รักษาเอาไว้
ไม่ใช่ดีวันเดียวสองวัน
ถัดจากนั้นชั่วเหมือนเดิมอะไรอย่างนี้
1
อย่างบางคนเข้าพรรษาก็อดเหล้า
อดเหล้าเข้าพรรษา ถามว่าดีไหม ดี เป็นบุญ
แต่ออกพรรษาแล้วรักษาไว้ไม่ได้
รักษาความดีไว้ไม่ได้ นี้ไม่เก่ง ไม่ฉลาดจริง
ฉะนั้นพวกเรารักษาศีล 5
ความชั่วอะไรยังไม่ละก็ละเสีย
แล้วก็ไม่ไปทำความชั่วขึ้นมาอีก
กุศลอะไรยังไม่ได้ทำก็ทำเสีย เจริญเสีย
ตัวกุศล มันก็คือตัวศีล สมาธิ ปัญญานั่นล่ะ
ก็พัฒนามันไป จิตมันก็จะเกิดอโลภะ อโทสะ อโมหะ
เป็นตัวกุศลจริงๆ อโมหะก็คือตัวปัญญานั่นล่ะ
ค่อยๆ ฝึก พัฒนาตัวเอง
กุศลอะไรยังไม่ทำก็ทำเสีย
กุศลอะไรที่ทำได้แล้วก็รักษาเอาไว้
ไม่ใช่ทำแล้วก็เลิกๆ เมื่อไหร่มันจะดี
เหมือนการภาวนา ต้องทำทุกวัน
ถ้าทำตั้งแต่ตื่นจนหลับได้ดีที่สุด
ถ้ายังมีหน้าที่การงาน ทางโลกก็ทำงานไป
ถึงเวลาทำงานก็ทำหน้าที่ของเราไป
มีเวลาเมื่อไหร่ก็มารู้กายรู้ใจ
มีสติ มีจิตตั้งมั่น อย่างนี้เราถึงจะพัฒนาตัวเองได้
เก่งวูบๆ วาบๆ ขยันวูบๆ วาบๆ ไม่ได้กินหรอก
กิเลสลากเอาไปหมด
…
สรุปก็คือไปสำรวจตัวเอง
ความชั่วอะไรที่ยังไม่ละก็ละเสีย
อย่าไปทำชั่วซ้ำขึ้นมาอีก
ความดีอะไรยังไม่ทำก็ทำเสีย
ความดีอะไรที่ทำแล้วก็รักษาเอาไว้
ถ้าทำอย่างนี้ได้ เราก็สมกับเป็นชาวพุทธ
เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
ถ้าไม่ได้ทำอย่างนี้ ชีวิตเราก็ตกต่ำ
จะไหลลงอบายภูมิอย่างที่ว่านั่นล่ะ
ใจมันตกต่ำตั้งแต่ตอนยังไม่ตายนี้ล่ะ
พอตายไป ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะตกต่ำไหม
ก็ตกต่ำตั้งแต่ยังไม่ตายแล้ว
ตายแล้วมันจะไปไหน มันก็ไปอบาย
หรือเราสร้างความดีของเราเรื่อยๆ
ยกระดับขึ้นไป ไม่หลงโลก
แบ่งเวลาไว้ภาวนาทุกวันๆ
เจริญสติ สมาธิ ปัญญาไป
ใจเราก็สูงๆๆ ขึ้นไปเรื่อยเป็นลำดับไป
จนถึงโลกุตตระ
พากเพียรไป อย่ายอมแพ้กิเลส
กิเลสมันหอมหวานในเบื้องต้น
มันเผ็ดร้อนในเบื้องปลาย
กุศลหรือการทำความดี
มันลำบากในเบื้องต้น
เราไม่เคยทำมันก็ลำบาก
แต่มันมีผลอันประเสริฐในเบื้องปลาย
ฉะนั้นอดทนเอาไว้
แล้วก็ค่อยๆ ภาวนาไป อย่าละเลย. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
24 ตุลาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
เยี่ยมชม
dhamma.com
วิธียกระดับจิตใจ
ความชั่วอะไรที่ยังไม่ละก็ละเสีย ความดีอะไรยังไม่ทำก็ทำเสีย ความดีอะไรที่ทำแล้วก็รักษาเอาไว้ ไม่หลงโลก แบ่งเวลาไว้ภาวนาทุกวันๆ
7 บันทึก
9
2
5
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
7
9
2
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย