17 พ.ย. 2021 เวลา 12:58 • ปรัชญา
"การขัดเกลาตน เพื่อการสละ ละ วาง "
" ... ขัดเกลากิเลสในใจอยู่เสมอ
ทั้งกิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง
กิเลสอย่างละเอียด
การเจริญสมณธรรม ก็เป็นไปเพื่อการขัดเกลา
เพื่อการสลัดคืนสู่ความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ
ยิ่งในยุคสมัยปัจจุบัน
ความดำมืดของอวิชชามีกำลังมาก
เข้าครอบงำจิตใจของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้หลงวกวนอยู่กับสมมติมายาของโลก
สภาพของจิตวิญญานทั่วไป
จึงเป็นเหมือนความหลับใหล หลงอยู่ วกวนอยู่
การที่เราได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนา
จึงเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่พวกเราทุกคนจะตื่นขึ้นมา
พ้นจากวงจรตรงนี้ได้
ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มักน้อย
ไม่ใช่ธรรมของผู้มักมาก
อันนี้คือคุณสมบัติของสมณะเลย
เป็นผู้มักน้อยอยู่เสมอ ไม่มักมากต่าง ๆ
บางทีสะดวกสบาย ความเพลินต่าง ๆ
ทำให้กิเลสห่อหุ้มจิตใจได้ง่าย
สมณะเราจึงเป็นผู้ที่มักน้อยอยู่เสมอ
ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้สันโดษ
ไม่ใช่ธรรมของผู้ไม่สันโดษ
ก็คืออยู่ตามเท่าที่มี ตามอัตภาพ
เป็นผู้ที่สันโดษอยู่เสมอ
มักน้อย สันโดษ
ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้ชอบสงัด
ไม่ใช่ธรรมของผู้คลุกคลีด้วยหมู่คณะ
เป็นผู้ที่ปลีกตัว อยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัดอยู่เสมอ
สำรวมกายวาจาใจของตนเองให้ดี
ไม่ใช่เป็นผู้ที่ยินดีในหมู่คณะ
ในการคลุกคลี เอิกเกริกเฮฮาต่าง ๆ
เพราะว่าก็จะถูกกิเลสเข้าห่อหุ้มจิตใจได้ง่าย
ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้ที่ปรารภความเพียร
ไม่ใช่ธรรมของผู้ที่ยินดีในความเกียจคร้าน
ก็เป็นผู้ประกอบความเพียร ตื่นรู้อยู่เสมอ
นั่งสมาธิ เดินจงกลม ปฏิบัติในอิริยาบถต่าง ๆ
ปรารภความเพียรก็ต้องอาศัยความเพียรทางกายด้วย
การนั่งสมาธิ การเดินจงกลม
ก็อาศัยความเพียรทางกาย
แล้วก็ความเพียรทางใจ มีสติ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมาอยู่เสมอ
บางทีเราคิดว่า เราไม่ต้องเดินจงกลมหรอก
ลองสังเกตบางทีเราปล่อยใจมาก ๆ ก็ไหลได้ง่าย
การเข้าสู่ที่เดินจงกลม นั่งสมาธิ
สลับไปสลับมา ก็จะทำให้เราปรารภความเพียร
เมื่อความเพียรทางกายเกิดขึ้น
ความเพียรทางใจเกิดขึ้น ก็มีสติตั้งมั่นขึ้นมาได้ง่าย
ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้มีสติตั้งมั่น
ไม่ใช่ธรรมของผู้ที่มีสติเลื่อนลอย
เมื่อมีสติที่ตั้งมั่น จิตใจก็จะมีความมั่นคง
ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้ที่มีจิตใจที่มั่นคง
ไม่ใช่เป็นธรรมของผู้ที่มีจิตใจไม่มั่นคง
ท่านทั้งหลายว่า จิตใจที่มั่นคงสำคัญไหม ?
สำคัญในทุก ๆ เรื่องของชีวิตเลย
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคฤหัสถ์ฆราวาส
หรือชีวิตของบรรพชิต
ข้าสึกคือกิเลสต่าง ๆ
ทั้งภายในภายนอกเข้ารุมเร้าอยู่เสมอ
จิตใจเปราะบางมันก็จะหวั่นไหว
ไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา
โดยเฉพาะชีวิตภายนอกนี่
ในแต่ละวันถ้าเรื่องเข้ามาเยอะ
ต้องหวั่นไหวในทุก ๆ เรื่อง เหนื่อยไหม ?
แต่ผู้มีสติตั้งมั่น มีจิตใจที่มั่นคง
ไม่หวั่นไหว อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
ธรรมนี้เป็นธรรมของผู้ที่มีปัญญา
ไม่ใช่ธรรมของผู้ที่ปัญญาทราม
ถ้าท่านทั้งหลายเป็นผู้มักน้อย สันโดษ
ชอบสงัด ปรารภความเพียร มีสติตั้งมั่น
มีจิตใจที่มั่นคง ปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้น
การรอบรู้ตามความเป็นจริง
ย่อมเกิดขึ้นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
คำว่า ปัญญาทราม
ก็เพราะว่าขาดการขัดเกลาตนเอง
จึงถูกความดำมืดของอวิชชาเข้าครอบงำได้มาก
ก็จะหลงวนวนอยู่กับโลก
ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมนั้นแตกต่างกัน
บางคนมีปัญญาทางโลก
สามารถรู้ช่องทางในการทำมาหากิน
ในการทำต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ
แต่ก็อาจจะไม่มีปัญญาทางธรรมก็ได้
ปัญญาทางธรรมคืออะไร ?
ก็คือการรอบรู้ในกองสังขารต่าง ๆ
พิจารณาทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์
สรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
การรู้แจ้งในกองสังขารต่าง ๆ
ไม่หลงติดข้องอยู่ ไม่หลงวกวนอยู่
การปฏิบัติจึงเป็นไปเพื่อการสละ ละ วาง
จากอารมณ์หยาบๆ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ที่เข้าครอบงำจิตใจ
เมื่อขัดเกลาไป กิเลสหยาบ ๆ หลุดออกไปจากใจ
กิเลสอย่างกลางเป็นอย่างไร ?
บางคนละอารมณ์หยาบ ๆ ได้แล้ว
ละความชั่วต่าง ๆ ได้แล้ว
ละสิ่งที่มอมเมาต่าง ๆ ได้แล้ว
แต่ก็ยังกระหยิ่มในใจว่า
เราน่ะเป็นคนดี เราเป็นผู้ที่มีบุญมาก
เราเป็นผู้ที่มีวาสนามาก
บางคนก็เป็นครูบาอาจารย์
สอนอรรถสอนธรรมต่างๆ
ก็กระหยิ่มในใจว่า
เออ ฉันนี่ดีนะ เป็นครูบาอาจารย์ต่าง ๆ
ติดดี อัตตาพองโต ละกันยากนะ
ละความชั่วว่ายากแล้ว
ละความดีนี่ยากกว่า ติดดี
คำว่า ละความดี
ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ทำความดี
แต่ให้ทำด้วยความไม่ยึดติด
ในคุณงามความดีต่าง ๆ
ทำด้วยใจเอื้ออารีย์ ด้วยใจเกื้อกูล
พอละความชั่วได้ ก็จะมาติดดีกันมากนะ
โดยเฉพาะถ้าเรามีบริวารมาก มีลูกศิษย์ลูกหา
หรือว่าเรารู้สึกว่าเราเป็นผู้มีปีติ
ชุ่มชื่นในธรรมต่าง ๆ แล้วเนี่ย
ก็จะเกิดความกระหยิ่มในใจได้ง่าย
บางทีอัตตาก็พองโตขึ้นมาเลย
มันก็จะทำให้เนิ่นช้าในการปฏิบัติขัดเกลาตนเอง
จริง ๆ แล้วการขัดเกลาเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุก ๆ คน
ทั้งขัดเกลากิเลสอย่างหยาบ
ขัดเกลากิเลสอย่างละเอียด
ก็เป็นไปเพื่อการขัดเกลาทั้งสิ้น
โดยเฉพาะกิเลสอย่างละเอียด
ก็เป็นเรื่องของความปรุงแต่งละเอียดข้างใน
ก็เป็นไปเพื่อละ เพื่อวาง
เพื่อการสลัดคืนทั้งสิ้น
ธรรมนี้จึงเป็นธรรมของผู้ที่ยินดีในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า
ไม่ใช่ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า
ติดดีนี่บางทีแช่อยู่นาน
บางทีปฏิบัติแล้วโล่งโปร่งสบายมีความสุข
ก็กระหยิ่มในใจว่า
ฉันเป็นผุ้ที่มีบุญนะ มีความดีนะ มีการปฏิบัติดีนะ
แต่ว่ากิเลสอย่างละเอียด อย่างกลาง
เป็นสิ่งที่ต้องละออกไปจากใจเช่นกัน
ไม่อย่างนั้นก็จะค้างอยู่อย่างนั้น
ไม่สามารถชำระตนเองให้หมดจดได้
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้น
ท่ามกลาง แล้วก็ที่สุด
ก็เป็นไปเพื่อการขัดเกลา เพื่อสละ ละ วาง
เพราะว่าจิตนี้ประภัสสรมาแต่เดิมอยู่แล้ว
แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสจรมา
ความดำมืดแห่งอวิชชาเข้าครอบงำ
ให้หลงวกวนอยู่
การปฏิบัติจึงเป็นไปเพื่อการสละ ละ วาง
เราให้ทานเพื่ออะไร ?
เพื่อละความตระหนี่ถี่เหนียวออกไปจากใจ
ความเป็นปกติของการมีศีล
ก็เป็นไปเพื่อการละความโกรธต่าง ๆ
ละการเบียดเบียดต่าง ๆ
ละความพยาบาทต่าง ๆ
และการปฏิบัติรู้เท่าทันจิตใจตนเองอยู่เสมอ
ก็เป็นไปเพื่อการละโมหะ
ละอวิชชาออกไปจากใจได้
เพราะฉะนั้น แนวทางของพระพุทธศาสนา
จึงเป็นไปเพื่อการขัดเกลาตนเองอยู่เสมอ
คุณสมบัติ 8 ประการตรงนี้
พึงระลึกไว้ให้ขึ้นใจ
พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า มหาบุรุษวิตก 8 ประการ
เป็นธรรมของมหาบุรุษเลยนะ
วิตก 8 ประการนี้ ทรงจำไว้ให้ขึ้นใจ
นั่นคือ คุณสมบัติเป็นแก่นของสมณธรรมนะ
จำได้ไหม มีอะไรบ้าง ?
มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ปรารภความเพียร
มีสติที่ตั้งมั่น มีจิตใจที่มั่นคง มีปัญญา
ยินดีในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า
อันนี้คือเครื่องของความเป็นสมณะ
เป็นมหาบุรุษวิตก
คำว่า มหาบุรุษก็คือ ยอดคน
ยอดคน ไม่ได้เกิดจากเป็นผู้ที่มีกำลังมาก
มีอำนาจวาสนามาก
แต่เกิดจากผู้ที่สามารถขัดเกลาตนเองได้
จนเข้าถึงความผ่องแผ้วอยู่เนือง ๆ ... "​
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา