9 พ.ย. 2021 เวลา 03:19 • หนังสือ
✴️ บทที่ 4️⃣ สร้างสายสัมพันธ์ที่เปี่ยมรัก ✴️ (ตอนที่ 2)
◾เพิ่มพูนการรู้จักตัวตนของเราและตัวตนของผู้อื่น◾
.........................................................
สิ่งที่เปิดเผยแก่เราคือสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเราและเกี่ยวเนื่องกับตัวเรา จริง ๆ คนคนหนึ่งจึงต้องใส่ใจต่อตัวเขาหรือตัวเธอเอง...พึงต้องสร้าง ต้องกระทำให้ตัวเอง...เต็มเปี่ยมก่อน เราทุกคนล้วนมีบทเรียนที่ต้องเรียนรู้...ในแต่ละคน บทเรียนทั้งปวงนั้นต้องผ่านการเรียนรู้ ทีละบททีละตอน...ตามลำดับขั้น เมื่อเราเรียนรู้ได้แล้วนั่นแหละ เราจึงจะเข้าใจว่าคนข้างกายเราเขาต้องการอะไรบ้าง มีอะไรที่เขายังขาด หรืออะไรที่เรายังขาดอยู่ เพื่อจะสร้างเราทุกคนให้เต็มเปี่ยมในที่สุด
.........................................................
จงเข้าใจธรรมชาติแห่งตัวเรา ตัวตนที่แท้จริงแห่งเรา★อันเป็นอมตะไม่มีวันตายเถอะครับ การทำความเข้าใจตัวตนที่แท้จริงนี้จะช่วยให้คุณมองภาพชีวิตอย่างถูกต้องตามความจริง
★ 𝘁𝗵𝗲 𝘀𝗲𝗹𝗳 = ตัวตน, 𝘁𝗵𝗲 𝗥𝗲𝗮𝗹 𝗦𝗲𝗹𝗳 ตัวตนที่แท้จริงซึ่ง ดร.ไวส์ใช้ตัวอักษรใหญ่ แทน ‘ตัวใน’ ที่แท้จริงซึ่งศักดิ์สิทธิ์มาแต่เดิม เป็นตัวตนที่เชื่อมกับจักรวาลและขุมปัญญาสูงสุด ตัวตนที่ภาษาธรรมของเราเรียกว่า ‘พุทธะ’ มีจิตอันเป็นประภัสสร คือผ่องใสสะอาดมาแต่เดิม ซึ่งมนุษย์ยุคหลังสหัสวรรษจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังเริ่มเรียนรู้จักกันทั่วโลก : ผู้แปล
จงรู้จักตัวเอง เมื่อนั้นคุณจึงจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างใสกระจ่างตามจริงโดยไม่ถูกจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึกมาบิดเบือนมันเสียหมด จงฝึกปฏิบัติสมาธิและจินตภาพ (𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹𝗶𝘇𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) เข้าไว้ ฝึกการพิจารณาโดยปลีกมาเป็นคนนอกผู้สังเกตการณ์ ฝึกรับรู้เรื่องราวอย่างสงบเยือกเย็น จงรู้สึกถึงความกรุณาที่เปี่ยมล้นด้วยรักโดยไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือเรียกว่า การไม่ร้อยรัดผูกติดที่เปี่ยมล้นด้วยรักนั่นเอง จงหมั่นบ่มเพาะสภาวะนี้กันเถอะครับ
จงรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่และยึดถืออะไรบ้าง แล้วเข้าใจด้วยว่าคุณอาจจะดูดกลืนกระแสความคิดทั้งหมดเข้าตัวไปแล้ว เมื่อคุณกลืนตัวเองเข้าไปอยู่ในหมู่คณะ กลายเป็นคนที่ประพฤติตามกันเหมือนโขกพิมพ์เดียวออกมาหมด คุณก็จะไม่ได้เห็นคนหนึ่งคนที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ในฐานะปัจเจกชนอีกเลย
การยึดถือความคิดเดิม ๆ จากสมัยก่อนที่มันผิดพลาดเช่น “พวกผู้ชายนะใจร้าย ไม่อ่อนไหว” หรือ “ผู้หญิงนี่อ่อนไหวเกินเหตุ เจ้าอารมณ์เกินไป” ล้วนแต่นำเราไปสู่การบิดเบือนความจริงทั้งสิ้น ประสบการณ์นั้นแข็งแกร่งกว่าความเชื่อมากนัก จงเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองเถิดครับ อะไรที่ช่วยคุณได้โดยไม่มีอันตรายล้วนมีคุณค่าทั้งนั้น จงทิ้งความเชื่อกับความคิดที่มันล้าสมัยไปได้แล้ว
ความสุขเกิดจากภายใน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยนอกกายหรือต้องอาศัยคนอื่นเลย คุณจะอ่อนแอและเจ็บปวดได้ง่ายเหลือเกินถ้าคุณเอาความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและความสุขของตนเองไปขึ้นอยู่กับพฤติกรรมหรือการกระทำของคนอื่น จงอย่าเอาอำนาจของคุณไปยกให้ใครเลยนะครับ
พยายามอย่ายึดมั่นถือมั่นกับวัตถุเลย ในโลกสามมิติ★นี้ เราเรียนรู้ชีวิตได้ก็จากการมีสัมพันธ์กับผู้คน ไม่ใช่วัตถุ
★ 𝘁𝗵𝗿𝗲𝗲 𝗱𝗶𝗺𝗲𝗻𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 𝘄𝗼𝗿𝗹𝗱 – โลก 𝟯 มิติ คือ โลกที่มนุษย์รับรู้ได้แค่ตา, หู, ลิ้น, จมูก, สัมผัสเท่านั้น บางคนจึงไม่ยอมรับสัมผัสอื่นว่ามีอยู่จริง สัมผัสที่ 𝟲 – ญาณสังหรณ์ และมิติที่ 𝟰 คือ 𝘀𝗽𝗮𝗰𝗲 & 𝘁𝗶𝗺𝗲 พวกเขาจึงไม่เชื่อเรื่องความฝัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภพนี้ภพหน้า เพราะตัวเองรับรู้ไม่ถึง : ผู้แปล
เราเองก็ต่างรู้ดีว่าเมื่อตายไปแล้ววัตถุหมดทั้งโลกนี้เราเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้สักชิ้นเดียว เมื่อถึงเวลาตาย ดวงวิญญาณของเราจะเคลื่อนไปสู่มิติที่สูงกว่า เรานำเอาพฤติกรรม การกระทำ ความคิด และความรู้ติดตัวเราไปสู่มิตินั้นด้วย การที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไรในสายสัมพันธ์สำคัญยิ่งกว่าการที่เราสะสมสมบัติพัสถานอะไรไว้ สมบัติพวกนั้นเราได้มาแล้วก็เสียไป เป็นอย่างนี้ตลอดชีวิต ในภพหลังความตาย คุณจะไม่ได้เจอทรัพย์สมบัติที่คุณสั่งสมมาหรอกครับ แต่เจอหน้าคนที่รักต่างหาก ความรู้นี้ช่วยให้คุณทบทวนคุณค่าที่จำเป็นสำหรับชีวิตใหม่หมดจริง ๆ
𝗠𝗘𝗡 𝗔𝗥𝗘 𝗙𝗥𝗢𝗠 𝗠𝗔𝗥𝗦, 𝗪𝗢𝗠𝗘𝗡 𝗔𝗥𝗘 𝗙𝗥𝗢𝗠 𝗩𝗘𝗡𝗨𝗦 – ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ ของ จอห์น เกรย์ เป็นหนังสือฮิตติดอันดับขายดีที่สุดในหลายประเทศติดต่อกันหลายปี หนังสืออื่น ๆ ไม่รู้กี่ร้อยเล่ม ภาพยนตร์ รายการทีวีอีกไม่รู้เท่าไหร่ที่ซูประเด็นว่าผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกันมากจนรวมกันไม่ติดแล้ว ช่องว่างมหึมานี้แบ่งแยกสองเพศขาดจากกันไปเลย เห็นชัด ๆ จากแนวทางการคิดและการแสดงออก
ผู้ชายผู้หญิงมองโลกไม่เหมือนกันเลย เทสโตสเตโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายส่งให้ผู้ชายโน้มเอียงไปในทางก้าวร้าวและชอบแข่งขันมากกว่าจะร่วมมือช่วยเหลือกัน ชอบเป็น “เจ้าข้าวเจ้าของ” บ้านเรือนแผ่นดินและครอบครัววงศ์ตระกูล — เอสโตรเจนกับโพรเจสเตโรนฮอร์โมนเพศหญิง เป็นเจ้าของความละเอียดอ่อนไหว ชอบการพูดคุยสื่อสารมากกว่าจะแก่งแย่งแข่งขัน โน้มเอียงไปในทางก้าวร้าวน้อยกว่าและมุ่งปกป้องคุ้มครอง
เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงโดนเลี้ยงดูมาโดยอาศัยเนื้อนิสัยติดตัวมาแต่เกิด แล้วมาเน้นกำแพงทางชีวภาพที่แบ่งแยกชายออกจากหญิงยิ่งขึ้น สังคมสนับสนุนให้เด็กชายกล้าแสดงออกมากกว่า ก้าวร้าวกว่า และเป็นฝ่ายต่อสู้แข่งขันกว่า — ส่วนเด็กผู้หญิงก็ถูกสังคมเสี้ยมสอนให้นิ่งกว่า ชอบสื่อสารมากกว่าและเป็นคนชอบช่วยเหลือกว่าเด็กชาย เราถูกสั่งสอนมาให้ยึดถือคุณค่าที่แตกต่างกันจากพ่อแม่และครูของเรา จากสังคมและวัฒนธรรมของเรา และจากสื่อมวลชนกับโฆษณาในโลกของเรา
มีความจริงแท้ยิ่งประการหนึ่งที่จะตอบโจทย์นี้ได้หมดทุกข้อ เราไม่มีวันแก้ปัญหาได้จนกว่าการรับรู้ปัญหาจะพุ่งเข้าสู่จิตสำนึกเราเสียที วันนี้เรารู้แล้วละว่ามีปัญหา...แล้วไงต่อน่ะหรือ❓
ความจริงคือเราสามารถสั่งสอนอบรมเด็กผู้ชายให้รู้จักความอ่อนไหวได้และแสดงความอ่อนไหวออกมาเป็น ซึ่งเราไม่ใช่แค่สอนให้ แต่ควรสอนด้วยซ้ำครับ เราควรจะสอนให้เด็กผู้ชายรู้จักประสานร่วมมือ และได้เรียนรู้วิธีการสื่อสารพูดคุยให้เก่งขึ้น — ส่วนเด็กผู้หญิงก็สามารถสั่งสอนอบรมให้มีความมั่นใจและกล้าแสดงออกกว่าเดิม แต่พอดูภาพรวมแล้ว เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงเสียแล้ว เพราะโลกทุกวันนี้มีแต่ความรุนแรงครองโลก ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ชายเป็นคนทำให้เกิดทั้งนั้น
แล้วความแตกต่างทางชีวภาพตั้งแต่เกิดล่ะ เราจะทำอย่างไรกัน❓ เราจะเปลี่ยนชีวภาพได้ละหรือ❓ เราจะทำอย่างไรกับเจ้าเทสโตสเตโรนดีล่ะเนี่ย❓ ผมขอยกเรื่องหนึ่งมาเปรียบเทียบให้ดูเลย ฮอร์โมนกับยีนส์เฉพาะทำให้ผู้ชายต้องมีหนวดขึ้น แต่...มันหมายความว่าผู้ชายเลี่ยงหนวดไม่ได้ ต้องทนเดินไปเดินมาหนวดเครายาวระพื้นงั้นหรือ❓
คำตอบคือ–ไม่เลย ผู้ชายมีทางเลือกคือการใช้มีดโกนหนวดเคราทิ้งเสีย ผู้ชายทุกคนในโลก เลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ
อิทธิพลทางชีวภาพแค่ก่อให้เกิดแนวโน้มเท่านั้นครับ ซึ่งเอาชนะเสียก็ได้ด้วยจิตอิสระของตัวเรา เทสโตสเตโรนกับฮอร์โมนตัวอื่นทำหน้าที่กระตุ้นแต่ไม่ใช่บังคับ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ชายเลือกโกนหนวดได้ก็ย่อมเลือกเป็นคนไม่นิยมความรุนแรงได้ ก้าวร้าวน้อยลงได้ เป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือ พูดจาเปิดใจและอ่อนไหวได้เหมือนกัน
การที่ผู้ชายตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางแห่งความรักไม่ใช่ทางแห่งความรุนแรงยังมีก้าวต่อไปอีก
หลังจากตัดสินใจเลือกเดินทางแล้วก็มาถึงขั้นต่อไป คือขั้นของการตื่นสู่สัจธรรมแห่งจิตวิญญาณ ว่าเราทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นจิตและดวงวิญญาณ (𝗦𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁 & 𝗦𝗼𝘂𝗹) ไม่ใช่เนื้อตัวร่างกายหรือสมองแม้แต่น้อย (𝗯𝗼𝗱𝘆 & 𝗯𝗿𝗮𝗶𝗻) ดวงวิญญาณไร้เพศ ไร้ฮอร์โมน ไร้ความโน้มเอียงทางชีวภาพใด ๆ ดวงวิญญาณคือพลังงานที่แสนบริสุทธิ์และเปี่ยมล้นด้วยความรัก
เมื่อไหร่ที่เราได้รับรู้ถึงธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณ เราก็จะจำธาตุแท้ตัวจริงของเราได้เสียที ว่าเราไม่มีวันตายและศักดิ์สิทธิ์งดงามยิ่ง พอเราจำได้เราก็จะละเลิกจิตใจแห่งความรุนแรง ความแค้นเคียดเกลียดชัง การชี้นิ้วบงการคนอื่น ความเห็นแก่ตัวและการเป็นเจ้าข้าวเจ้าของวัตถุและชีวิตคนอื่นได้ง่ายกว่าเมื่อก่อนจริง ๆ การเปิดใจรับความรัก รับความเมตตา การให้ทาน ความหวัง ความศรัทธาและการร่วมแรงร่วมใจกันก็จะกลายเป็นเรื่องที่เราทำง่าย เป็นธรรมชาตินิสัยไปเลย
2
การเกิดมาสลับเพศตั้งหลายชาติหลายภพ เราต่างเคยเกิดมาหมดแล้วทั้งเป็นผู้ชายและเป็นผู้หญิง แม้ส่วนตัวผมเชื่อว่าเราน่าจะเชี่ยวชาญเพศใดเพศหนึ่งมากกว่าก็ตาม แต่เราก็เป็นเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยแหละครับที่ต้องเลือกคอร์สเฉพาะมาเกิดเป็นเพศตรงข้ามกับที่เราเชี่ยวชาญ มนุษย์จำต้องเรียนรู้ชีวิตให้ทั่วทุกด้าน ทั้งด้านรวยด้านจน ด้านเข้มแข็งด้านอ่อนแอ ทั้งเคยเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นยิว ฮินดู อิสลาม หรือ ศาสนาอื่น ๆ มาแล้ว เคยเป็นต่างเชื้อชาติเผ่าพันธุ์กันมา และแน่นอนครับ เคยเกิดมาหมดแล้วเป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิง
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราก็ย่อมต้องรู้วิธีเอาชนะความโน้มเอียงด้านลบของชีวภาพได้แน่นอน เพื่อที่จะแสดงธรรมชาติของจิตวิญญาณแห่งเราออกมาให้เต็มที่สมค่า เหมือนกับที่เราต้องรู้วิธีเอาชนะการสั่งสอนแบบลบ ๆ จากสังคมและวัฒนธรรมได้แน่ด้วยเหตุผลเดียวกัน
✨บางคนอาจยังก้าวช้าล้าหลัง ก็เพราะถึงเราจะกำลังเดินทางมุ่งบนเส้นทางเดียวกัน แต่ใช่ว่าทุกคนจะก้าวหน้าไปด้วยความเร็วเท่ากันเสียเมื่อไหร่ จึงเป็นงานของคนที่ก้าวรุดหน้าจะหันกลับมายื่นมือไปช่วยดึงคนที่รั้งท้าย ให้ก้าวทันขึ้นมาด้วยจิตแห่งเมตตาและรัก✨
💟 จงหันกลับมาเถิดและยื่นมือมาช่วยเหลือกันโดยไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นรางวัลหรือกระทั่งคำว่าขอบคุณ
💟 จงหันหลังกลับและยื่นมือมาช่วยเถอะนะครับ เพราะนี่แหละคือ สิ่งที่มนุษย์ผู้เปี่ยมจิตวิญญาณเลือกกระทำ
(มีต่อ)
โฆษณา