10 พ.ย. 2021 เวลา 03:05 • หนังสือ
✴️ บทที่ 4️⃣ สร้างสายสัมพันธ์ที่เปี่ยมรัก ✴️ (ตอนที่ 3)
ผมจังจำได้แม่นยำเลยว่า มาเรียน วิลเลียมสัน★ นักเขียนและนักพูดที่ยอดเยี่ยมเคยช่วยชีวิตผมไว้ตอนเราร่วมกันสอนเวิร์กชอปหัวข้อเยียวยาความสัมพันธ์ รูปแบบการนำเสนอเป็นการผลัดกันพูด ผมพูด 𝟭𝟬 นาที แล้วเธอจะพูดอีก 𝟭𝟬 นาที จากนั้นก็จะเปิดโอกาสให้ผู้เข้าเวิร์กชอปได้พูดได้ถามและถกกันถึงประเด็นอีก 𝟭𝟬𝟬 นาที คนเข้าสัมมนางานนั้น ประมาณ 𝟴𝟬𝟬 คน
★ 𝗠𝗮𝗿𝗶𝗮𝗻𝗻𝗲 𝗪𝗶𝗹𝗹𝗶𝗮𝗺𝘀𝗼𝗻 สำเร็จคอร์สที่โด่งดังเป็นประวัติการณ์ในทศวรรษที่ 𝟳𝟬 คือ “𝗔 𝗖𝗼𝘂𝗿𝘀𝗲 𝗶𝗻 𝗠𝗶𝗿𝗮𝗰𝗹𝗲𝘀” ซึ่งเป็นการจุดประกายให้เกิดการกลับตัวกลับใจของคนอเมริกันให้หันมาเชื่อในความรักความเมตตา และพระเจ้าในรูปแบบใหม่ จากนั้นเธอจึงหันมาทุ่มเทชีวิตเขียนหนังสือและเลกเชอร์เรื่องความรักเปี่ยมล้นและไร้เงื่อนไข หนังสือเล่มหนึ่งที่ยอดเยี่ยมมากของเธอหาซื้อได้ในเมืองไทยมีชื่อว่า 𝗥𝗲𝘁𝘂𝗿𝗻 𝘁𝗼 𝗟𝗼𝘃𝗲 : ผู้แปล
พอผมเริ่มเปิดการพูดไปได้ 𝟱 นาที ผู้หญิงท่านหนึ่งที่นั่งเกือบแถวหน้าก็ยกมือแทรก การยกมือของเธอทำให้ผมชะงักการพูด ผมเลยถามเธอว่ายกมือทำไมหรือ
เธอพูดแบบโกรธๆ เลยว่า “ฉันมาฟังการพูดนะคะ ไม่ใช่มาฟังหมอร่ายถึงหัวข้อ❗” คือผมเปิดการพูด 𝟭𝟬 นาทีของผมด้วยการบอกคำแนะนำที่ผมเคยให้กับคนไข้ของผมเวลาทำการบำบัดเรื่องคู่ทีละข้อ ๆ เทคนิคทั้งหมดนี้เคยช่วยคนมาแล้วและผมก็อยากแบ่งปัน “หัวข้อ” เทคนิคนี้กับกลุ่มผู้เข้าเวิร์กชอป ผมรู้เลยว่าผู้หญิงท่านนี้ไม่รู้ว่าผมจะพูดแค่ 𝟭𝟬 นาทีเท่านั้น บางทีเธออาจจะกลัวว่าผมจะร่ายหัวข้อยึดยาวจนหมด 𝟮 ชั่วโมงแน่ ๆ
ผมกำลังขยับปากจะอธิบายเธอพอดีว่ามาเรียนกับผมตกลงกันไว้แล้วว่าจะกำหนดเวลาพูด แต่ผมไม่มีโอกาสได้พูดสักแอะ
มาเรียนช่วยผมทันที เธอลุกขึ้น เดินมาที่ผม จับไหล่ผมแรง ๆ มองไปทางผู้หญิงที่ยืนอยู่คนเดียวกลางกลุ่มคน 𝟴𝟬𝟬 ที่นั่ง
“คุณไม่ทราบหรอกหรือคะว่าผู้ชายน่ะเค้าชอบเรียงหัวข้อ❗” มาเรียนตอบเธอด้วยเสียงดังฟังชัด ผู้หญิงคนนั้นเลยรีบนั่งลง “ทำไมคุณถึงไม่ยอมฟังคุณหมอล่ะคะ❓ ทำไมต้องมาแทรกไม่ให้คุณหมอพูดด้วย❓”
ณ บัดนั้น มาเรียนก็เลยพูดต่อจากผม บรรยายถึงความแตกต่างกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายได้อย่างเข้มข้นเร้าใจและคล่องปรื๋อเลย ผมซาบซึ้งกับการช่วยปกป้องของมาเรียนมาก บางทีผู้ชายอาจ เป็นพวกบ้าหัวข้อจริงก็ได้นะครับ แม้ว่าผู้หญิงหลายคนจะชอบเรียงลำดับข้อเหมือนกัน แต่ผู้หญิงก็ชอบช่วยชีวิตคนอื่นเหมือนที่มาเรียนแสดงออกมาเลย... ผมเก็บเรื่องนี้มาคิดเงียบ ๆ คนเดียว
จงรักตัวเองเถิดครับ แล้วอย่ากลัดกลุ้มกังวลว่าใครอื่นเขาจะคิดอย่างไรเลย ถ้าคุณจำเป็นหรือใจอยากปฏิเสธไม่รับข้อเสนอบางอย่างหรือหน้าที่บางเรื่อง พูดออกมาจากใจเลยครับ หากคุณไม่ยอมพูด ในหัวใจคุณจะฝังความโกรธไว้ลึก ๆ แล้วตัวคุณเองก็จะเสียใจที่ไม่น่ารับปากเลย ท้ายสุดคุณเองจะเป็นคนทำให้คนที่เขามอบหมายหน้าที่ให้คุณเสียใจตามไปด้วย
จงบอกตรง ๆ เลยว่า ‘ไม่’ เมื่อคุณต้องพูด และบอกว่า ‘ใช่’ เวลาที่คุณต้องการมันจริง ๆ ดีกว่าครับ ยามที่คนคนหนึ่งพูดไม่ออกเวลาจะปฏิเสธภาระผูกพันที่ตัวเองไม่อยากทำเลย ร่างกายจะเกิดอาการไม่สบายตามมาทันที เพราะนี่คือวิธีบอกปัดในแบบที่ “ยอมรับได้” มากกว่า เนื่องจากตอนนี้คุณไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากปฏิเสธเพราะร่างกายคุณเขาบอกว่า ‘ไม่’ แทนคุณไปเรียบร้อย แต่การแสดงตัวจริงของคุณออกมาเป็นวิถีทางที่ดีกว่าเยอะ มีคนเขียนสโลแกนพิมพ์บนเสื้อยืดที่ล้อเรื่องนี้ในแง่ขำขันว่า :
“ความเครียด” คือ : เวลาที่ใจคุณบอกว่า ‘ไม่’ แต่กลับอ้าปากแล้วบอกว่า ‘ได้’
. . .
การพุ่งเป้า★ ไปที่คนอื่นเป็นการกระทำเชิงจิตวิทยาอีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อคุณไม่ยอมรับความกลัวและแรงจูงใจที่ไม่รู้ตัวของตัวคุณเอง เลยใส่ความกลัวกับแรงผลักดันลึก ๆ ในใจคุณไปลงที่คนอื่นแทน จงระวังอย่าเอาความรู้สึกที่ซ่อนเร้นของคุณเองไปใส่คนอื่นหรือไปสรุปเจตนาว่าเพราะยังงั้นยังงี้ทั้งที่ไม่มีอะไรเลย การบิดเบือนความเป็นจริงมีแต่จะทำร้ายทั้งตัวคุณและคนอื่นแท้ ๆ
★ การพุ่งเป้า ภาษาจิตบำบัดคือการ 𝗣𝗿𝗼𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝗻𝗴 ภาษาธรรมคือ “จิตส่งออกนอก”
ยกตัวอย่างสักเรื่อง เช่น ถ้าคุณมีความกลัวโดนทอดทิ้งฝังใจ บวกกับไม่เคยมองตัวเองด้านดีบ้างเลย (𝗹𝗼𝘄 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗲𝘀𝘁𝗲𝗲𝗺 – ความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า) แล้ววันหนึ่งคุณมีนัดทานข้าวกับแฟนที่ร้านอาหาร แต่เขายังไม่มา คุณก็จะบอกกับตัวเองทันทีว่า “เขาไม่แคร์ฉันเลย ที่เขาปล่อยให้ฉันรอเก้อเพราะเขาต้องเจอผู้หญิงอื่นดีกว่าแน่ ๆ เลย” ทั้งที่ความจริงคือ แฟนคุณกำลังรถติดแหงกอยู่บนถนนแท้ ๆ
💢ขอให้ทำความเข้าใจอิทธิพลและธรรมชาติของรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในชีวิตคุณเถอะครับ รูปแบบซ้ำกันเหมือนกันตั้งแต่วัยเด็กมาหรือกระทั่งจากอดีตชาติที่ผ่าน ๆ มาแล้วด้วย เพราะถ้าเราไม่ทำความเข้าใจรูปแบบหรือแพตเทิร์น มันก็จะเกิดซ้ำอีกแบบนี้ไม่เลิกรา แล้วก็ย้อนมาทำลายล้างความรักความสัมพันธ์โดยไม่จำเป็นเลย💢
. . .
ในหนังสือเล่มก่อนนี้ของผม ผมเคยอธิบายไว้แล้วว่าจะจดจำรูปแบบที่เกิดซ้ำ ๆ (𝗿𝗲𝗽𝗲𝗮𝘁𝗶𝗻𝗴 𝗽𝗮𝘁𝘁𝗲𝗿𝗻𝘀) นี้ได้อย่างไร และจะแยกแยะว่าต้นตอเกิดจากอดีตชาติหรือชาตินี้ได้อย่างไรบ้าง — ในบทที่ 𝟮 ของเล่มนี้ ปฏิกิริยาของแม่แอนเดรียที่แสดงออกตอนลูกชายป่วยมันสะท้อนให้เห็นรูปแบบซ้ำจากอดีตชาติชัดเจน คือปฏิกิริยาต่อการสูญเสียที่มาเกิดซ้ำในชาติปัจจุบัน รูปแบบของการหันหน้าเข้าหาเหล้าและยาทุกครั้งที่มีปัญหาก็เกิดซ้ำ ๆ เรื่อยมาหลายชาติหลายภพเช่นกัน
ในความรักความสัมพันธ์ก็เหมือนกับเรื่องเหล้ากับยาเสพติดแหละครับ รูปแบบเก่าอย่างการชอบยกตัวข่มคนอื่น ชอบบงการชีวิต หรือการทุบตีทำร้าย เป็นนิสัยเดิมที่ผุดขึ้นมาอีกครั้งแล้วส่งผลทางลบต่อคนที่เกี่ยวข้องไปหมด
บางครั้ง การย้อนจิตทั้งสู่วัยเด็กและสู่อดีตชาติก็พาเราไปพบต้นตอของปัญหาได้ แต่ในบางกรณี ต้นตอปัญหามันตื้นนิดเดียว เกิดขึ้นในชาตินี้เอง และตัวเราเองนั่นแหละที่ปล่อยให้ศักดิ์ศรีไร้ค่ามาขวางหนทางสู่การทำปัญหาให้คลี่คลาย
บทเรียนชีวิตที่สำคัญสูงสุดคือการได้เรียนรู้ที่จะเป็นไทแก่ตัวเอง คือการเข้าใจคำว่าอิสรภาพจริง ๆ มันหมายถึงการเป็นไท ปลดแอกตัวเองจากการยึดมั่นถือมั่น ปลดแอกตัวเองออกจากการยึดแต่ผลลัพธ์ จากความเห็นของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา จากความคาดหวังใด ๆ ก็ตาม การทำลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้จะพาเราไปสู่อิสรภาพ
🛑 แต่ที่ให้ทำลายความยึดมั่นถือมั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทอดทิ้งความสัมพันธ์ที่เปี่ยมความหมายและเปี่ยมล้นด้วยความรัก หรือละทิ้งความสัมพันธ์ที่ช่วยทะนุถนอมหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณเลยนะครับ ทว่ามันหมายถึง #การจบสิ้นการเอาตัวและใจไปพึ่งพิงใครหรืออะไรก็ตาม
💟 รักแท้ไม่ใช่การพึ่งพาครับ
💟 ความรักคือสภาวะที่สมบูรณ์สูงสุด ไม่ตั้งข้อแม้เงื่อนไขใด ๆ และ ไร้กาลเวลามากำหนด ความรักไม่ขอสิ่งใดเป็นการตอบแทนทั้งสิ้น
🛑 ในเมื่อการรักและให้เกียรติตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นคุณจึงไม่ควรทนอยู่ในความรักความสัมพันธ์ที่มีแต่บั่นทอนทำลาย แม้ว่าคุณจะรักคนคนนั้นมากมายแค่ไหนก็ตาม การผูกพันกับคู่ของคุณอาจไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยก็ได้ เพราะว่าเขาก็มีปัญหาส่วนตัวของเขา หรือเขาอาจจะขาดความรู้ความเข้าใจในตัวปัญหา หรืออาจจะเป็นเพราะจิตอิสระ (𝗳𝗿𝗲𝗲𝘄𝗶𝗹) ที่เขาเลือกแล้วก็ได้
🛑 แต่จงจำไว้เสมอว่าความรักไร้กาลเวลา คุณจะมีโอกาสอีกนับอนันต์ที่จะหันกลับมาแก้ไขปัญหาให้กลับมาถูกต้องได้เสมอ
🛑 จงมองคนคนนั้นให้กระจ่างชัดเจนจริง ๆ เถอะครับ อย่ามองเขาอย่างยกไว้บนหิ้งบูชาเลย พ่อแม่ของเรา ครูเรา หรือผู้บังคับบัญชาเราก็เป็นคนเหมือนกับเราทั้งสิ้น พวกเขาก็มีความกลัวของตัวเอง มีความสงสัย ความกลุ้มกังวลและข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น แล้วพวกเขาก็ยังมีลำดับวาระในการดำเนินชีวิตของเขาเองด้วย
ในบางหนบางคราว คุณอาจจะเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานชีวิตของเขาเท่านั้น จงมองเขาอย่างเท่าเทียมกับเรา มองประหนึ่งเป็นพี่น้องเราเถิด แล้วคำตัดสินพิพากษาของพวกเขาที่มีต่อคุณก็จะไม่หนักหนาอีกต่อไป พิจารณาความเห็นของ พวกเขาให้ดี มันอาจจะเปี่ยมด้วยปัญญาก็ได้ มันอาจจะถูกก็ได้ หรือ...แน่นอน มันอาจจะผิดได้เช่นกัน
ในเวิร์กชอปที่ผมจัด ผมชอบเล่าเรื่องจริงของคนไข้รายหนึ่งให้ฟัง เธอมีพ่อที่เจ้าระเบียบ ห่างเหินและชอบบงการชีวิต เขาเป็นผู้พิพากษาที่เรียกร้องมาตรฐานสูงส่งเหมือนอยู่บนหิ้งบูชาจากคนรอบข้าง ไม่ใช่แค่จากคนที่มาปรากฏตัวหน้าบัลลังก์ของเขาเท่านั้น แต่เรียกร้องจากลูกเมียอีกด้วย
เขาไม่เคยยอมกอดลูกสาวแม้สักครั้งและไม่เคยบอกคำว่าพ่อรักลูกแม้แต่ครั้งเดียว
หลังจากพ่อตาย หญิงสาวรู้สึกเหมือนว่าความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพ่อยังค้างคาไม่ยอมจบ ยังไม่คลี่คลาย แต่เธอก็ไม่สามารถจะมองพ่อได้อย่างชัดเจนดั่งใจเลย หิ้งที่พ่อสร้างมันสูงเกินกว่าเธอจะเอื้อมถึงเสียแล้ว
วันหนึ่งหลังจากเธอเข้าสู่สภาวะผ่อนคลายลึก คนไข้ของผมก็เห็นภาพตัวเองในสวนที่สวยงามมาก ที่ตรงนั้น พ่อของเธอ ในวัยหนุ่มกว่าและแข็งแรงกว่าวันที่เขาชราสิ้นแรงก็ปรากฏกายตรงหน้าเธอ
“จงคิดถึงพ่อเหมือนเป็นน้องชายของลูกเถอะนะ” เขาแนะทางให้ด้วยน้ำเสียงเปี่ยมรัก
ประโยคนั้นเองที่ช่วยเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่สูงลิ่วเหมือนต้องไต่บันไดไปหากันโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เธอสามารถมองพ่อของเธออย่างเท่าเทียมได้แล้ว โดยไม่มองเหมือนเขาเหนือกว่าอีกต่อไป เธอจึงสามารถมองเห็นทั้งข้อบกพร่องและข้อที่ดีงามของพ่อได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนและสบายใจจริง ๆ
และด้วยจุดนี้เองที่เธอถึงได้เข้าใจและให้อภัยพ่อได้เสียที
หญิงสาวทนแบกหิ้งบูชานี้มาชั่วชีวิต แต่บัดนี้หิ้งนั้นไม่เหลืออีกแล้ว เช่นเดียวกับการบิดเบือนความเป็นจริงที่เกิดจากการเอาสิ่งที่เราคิดในใจไปใส่คนอื่นก็หายไปด้วย
✨ ความรักและการให้อภัยเท่านั้นที่ช่วยเติมหลุมดำอันมืดมิดให้เต็ม ✨
. . .
บ่อยครั้งเหลือเกินที่เราชอบคิดว่า 𝗮𝗯𝘂𝘀𝗲𝗿 หรือคนในชีวิตที่เขาทำร้ายเราเป็นเพราะเราผิด เราไม่ดีเอง แต่จริง ๆ แล้ว ในหลายกรณี เราคือหมากเล็กๆตัวหนึ่งที่มาร่วมแสดงในละครทางจิตของพวกเขาเท่านั้น ถึงเป็นคนอื่นที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับเราก็ต้องโดนกระทำแบบเดียวกัน ไม่ใช่เพราะเรามีอะไรเลวร้ายกว่าคนอื่นเขาหรือบาปซ้ำกรรมซัดอยู่คนเดียว
ขอให้ระวังภาพที่คนสร้างฉากสวยหรูเวลาเขาเข้ามาในชีวิตคุณด้วย คนที่อันตรายอย่างที่สุดมักจะเดินเข้ามาหาคุณด้วยฉากหน้าที่ชวนหลงเสมอ คนที่น่าตื่นเต้น น่าสนุก ชวนใจสะท้าน น่าเสี่ยง และใช้ชีวิตเหมือนอยู่บนเส้นด้าย มักจะใช้ฉากหน้าท้าทายพวกนี้ปิดบังตาของคุณ จนคุณมองไม่เห็นอันตรายที่ซ่อนอยู่หลังฉาก
💟 จงเรียนรู้ที่จะใช้หัวใจมอง ไม่ใช่ใช้แค่สายตาอีกต่อไป 💟
‘การปฏิเสธ’ (𝗱𝗲𝗻𝗶𝗮𝗹) คือ พฤติกรรมที่บอกว่าคุณไม่ยอมรับรู้ความรู้สึก ความกลัว และแรงจูงใจที่อยู่ข้างในตัวคุณ การปฏิเสธจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ‘สติ’ (𝗺𝗶𝗻𝗱𝗳𝘂𝗹𝗻𝗲𝘀𝘀) เพราะคุณอาจพูดหรือทำเรื่องที่มันทำลายความรักความสัมพันธ์ให้พังทลายไปกับตาก็ได้
✨ แต่เมื่อคุณตื่นแล้ว เมื่อคุณรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้จริงๆนั่นแหละที่คุณจะไม่พลั้งปากพลั้งใจทำร้ายคนอื่นอีกเลย ✨
(มีต่อ)
โฆษณา