11 พ.ย. 2021 เวลา 04:35 • หนังสือ
✴️ บทที่ 4️⃣ สร้างสายสัมพันธ์ที่เปี่ยมรัก ✴️ (ตอนที่ 4)
◾การส่งเสริมความรักและความเข้าใจในสายสัมพันธ์◾
...........................................................
ยามใดที่เจ้าจ้องมองดวงตาของผู้อื่น ทุกรูปนาม และเห็นดวงวิญญาณของเจ้าเองจ้องตอบกลับมา เมื่อนั้นแหละที่เจ้าจะรู้ว่า ตนเองขึ้นถึงอีกขั้นหนึ่งของจิตรับรู้แล้ว
...........................................................
ทุกสายสัมพันธ์ต้องการการทะนุถนอมและใส่ใจดูแลทั้งนั้น จงละตัวเองออกจากความกลัวและอารมณ์ด้านลบให้หมดเมื่อถึงเวลาที่คุณอยากพูดอยากเปิดใจคุยกัน ให้จัดวางลำดับความสำคัญในชีวิตคุณเสียใหม่ อุทิศเวลาและพลังกายใจของคุณให้กับคนคนนั้นเถอะ จงดึงเอาความรับรู้และความใส่ใจมาสู่สายสัมพันธ์และปัญหาที่เกิดให้หมด สายสัมพันธ์นั้นสำคัญเหนือกว่ารายการทีวี คอลัมน์ในนิตยสาร หรือพาดหัวหนังสือพิมพ์มากนัก ลบเรื่องกวนสมาธิให้เกลี้ยง ปิดทีวีเลย วางหนังสือพิมพ์ลง จงให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่งก่อนเสมอ
อย่าคิดว่าสิ่งที่ได้มาแล้วจะเป็นของเราตลอดกาล อย่ามัวแต่เดินซ้ำรอยทางชีวิตเดิมจนชินชา แต่เติมสายสัมพันธ์ให้สดใสเหมือนใหม่ด้วยการทำอะไรน่ารัก ๆ ให้กันเสมอ ด้วยว่าสายสัมพันธ์นั้นมีชีวิต และจะสดใสมีชีวิตชีวาก็แต่เฉพาะปัจจุบันกาลเท่านั้น เรื่องของความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องของอดีตหรือวันวานที่ผ่านเลยแม้แต่น้อย
ให้ดวงวิญญาณของคุณเดินหน้าสู่ความสัมพันธ์ผ่านจิตตื่นรู้และความเข้าใจดีกว่าครับ เพราะจะช่วยส่งเสริมให้เกิดกระบวนการความสัมพันธ์ที่ลึกล้ำกว่า เป็นการหลอมรวมระหว่างดวงวิญญาณ/สมองซีกขวาที่สร้างสรรค์ กับ อัตตา/สมองซีกซ้ายที่วิเคราะห์อย่างราบรื่นงดงาม 𝘀𝗼𝘂𝗹𝗳𝘂𝗹 𝗿𝗲𝗹𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻𝘀𝗵𝗶𝗽𝘀 หรือสายสัมพันธ์ที่เปี่ยมล้นด้วยดวงวิญญาณมีแต่จะนำความสุขแท้มาสู่ชีวิตเราเท่านั้น
การที่เราจะรักอย่างเปี่ยมล้นหมดใจ โดยไม่กักกันไม่ยั้งตัวเองไว้นั้นปลอดภัย ไม่อันตรายเลยครับ คุณจะไม่มีวันรู้สึกถูกปฏิเสธจากใครหรอก มีแต่เมื่อคุณเอาอัตตาเข้าไปเกี่ยวข้องนั่นแหละคุณถึงจะรู้สึกเหมือนโดนทำร้ายและอ่อนแอเหลือเกิน ตัวความรักเองนั้นสมบูรณ์สูงสุดและดำรงอยู่ห้อมล้อมรอบตัวเราจริง ๆ
ความคิดที่จะเปิดใจรักให้เต็มที่โดยไม่เผื่อใจเก็บไว้บ้างอาจฟังดูเหมือนเสี่ยงอย่างมากหรืออันตรายอย่างแรงสำหรับคนมากมายในโลกนี้ แต่ผมไม่ได้หมายถึงความรักแบบที่ทุ่มเทจนลืมตัวเอง และไม่ใช่ความรักแบบที่ต้องยอมทนอยู่กับความสัมพันธ์ที่ทารุณกายและใจหรือทำลายตัวเองเลยสักนิดเดียว เพราะการทำอย่างนั้นไม่ได้แสดงว่าเรารักตัวเองหรือรักอีกฝ่ายหนึ่งเลย
🛑 การยอมอยู่ในสภาพความสัมพันธ์ที่มันบ่อนทำลายไม่ใช่ตัวอย่างของการรักโดยไม่กักกั้นหัวใจหรอกครับ แต่มันคือการแสดงออกของสภาพจิตที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า (𝗹𝗼𝘄 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗲𝘀𝘁𝗲𝗲𝗺) และการขาดการรักตัวเอง (𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗹𝗼𝘃𝗲) มากกว่า คนอาจจะอันตรายก็จริง แต่ความรักไม่มีวันอันตรายเลย
จงยื่นมือไปหาด้วยความรักและความเมตตาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องห่วงใยกังวลว่าคุณจะได้อะไรกลับมากันเถอะนะครับ คุณจะยื่นมือไปหาคนจำนวนเพียงน้อยนิดหรือมากมายล้นหลามแค่ไหนไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย จำนวนคนไม่ใช่ประเด็น การที่เรายื่นมือไปหาด้วยความอาทรต่างหากที่ใช่ บางครายามที่ผู้เป็นหมอสัมผัสคนไข้ด้วยจิตใจเปี่ยมเมตตากรุณาและอยากเยียวยา คนเป็นหมอเองกลับเป็นผู้ได้รับอานิสงส์แห่งจิตนั้นมากกว่าตัวคนไข้ด้วยซ้ำ เราทุกรูปนามในโลกล้วนเป็นหมอผู้รักษาดวงวิญญาณด้วยกันทั้งสิ้น
💟 จงปล่อยให้คำตอบไหลออกมาจากหัวใจ...หัวใจอันแท้จริงเถิด ไม่ใช่ออกจากสมองสถานเดียว เมื่อใดที่เราสงสัย ให้เลือกหัวใจไว้ก่อน ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าให้คุณปฏิเสธไม่ฟังประสบการณ์ที่คุณผ่านมาเองหรือจากบทเรียนที่คุณเรียนรู้มาปีแล้วปีเล่าหรอกนะครับ แต่ผมหมายถึงให้หัดไว้ใจตัวเองในการนำญาณสังหรณ์กับประสบการณ์มารวมพลังกันต่างหาก ความสมดุลกันและความสอดประสานกลมกลืนระหว่าง ‘สมอง’ กับ ‘หัวใจ’ คือสิ่งที่เราต้องทะนุถนอมดูแล เมื่อใดที่ญาณสังหรณ์ชัดเจนและจริงแท้ เมื่อนั้นความรู้สึกแห่งรักจะเบ่งบาน
✨ยิ่งคุณฝึกฝนการรู้จักฟังเสียงภายใน (𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝘃𝗼𝗶𝗰𝗲) ญาณใน (𝗶𝗻𝘁𝘂𝗶𝘁𝗶𝗼𝗻) หรือที่เรียกติดปากว่า “𝗴𝘂𝘁 𝗳𝗲𝗲𝗹𝗶𝗻𝗴-สังหรณ์” สัมผัสก็จะยิ่งชัดเจนและแม่นยำเพียงนั้น✨
จงไว้ใจครับ เวลามีความรักจงหัดไว้ใจเถอะ การตัดสินใจของคนคนหนึ่งอาจทำร้ายกันได้ แต่ความรักไม่ทำร้าย เมื่อคนเรารู้จักซาบซึ้งกับภาพรวมที่ใหญ่กว่าของความรักและรู้จักมองให้เห็นให้เข้าใจ เจตนาที่เราจะรักมันจะชัดทันตา เหมือนลูกเราที่ไม่เข้าใจว่าการให้เขาฉีดวัคซีนเป็นการกระทำด้วยความรักจริง ๆ คนเป็นพ่อแม่จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกไม่ให้ติดไข้ร้ายแรงใด ๆ ก็ตาม แต่ในใจของเด็กนั้นการฉีดวัคซีนเขาเจ็บจะตาย
เมื่อย้อนกลับมามองเรื่องที่ซับซ้อนกว่า ก็เหมือนเวลาคุณจำเป็นต้องต้องตัดใจจากคนที่คุณรักมากเพราะความสัมพันธ์มันมีแต่เลวร้าย หรือปัญหายาเสพติดของเขาหรือเธอทำให้คุณต้องส่งตัวเขาเข้าโรงพยาบาลแม้เขาจะไม่ยินยอมก็เพื่อความปลอดภัยของคนคนนั้น นี่คือตัวอย่างชัดเจนมากของการที่เราจำเป็นต้องมองภาพใหญ่ก่อนจะตัดสินไปเลยว่าการตัดสินใจหรือการกระทำของคนใดคนหนึ่งไม่ดี
ผมเองก็เหมือนผู้ชายทั้งโลกที่ชอบคิดว่าจะโรแมนติกได้ก็ต้องทำอะไรที่มันหวานซึ้งใหญ่โต เช่น ซื้อเครื่องประดับให้ ส่งดอกไม้ พาไปดินเนอร์อย่างหรูหรืออะไรแถว ๆ นั้น แต่ชีวิตผมได้เรียนรู้แล้วว่าหลายครั้งหลายคราการกระทำที่ดูเล็กน้อยที่สุดกลับมีความหมายใหญ่ยิ่งที่สุดจริง ๆ
หลายสิบปีมาแล้ว ตอนนั้นผมเป็นแพทย์ประจำแผนกจิตเวชในคอนเนคติคัต ลูกชายผมจอร์แดนเป็นเด็กทารกหัดคลาน ส่วนแคโรลทำงานล่วงเวลาที่แผนก ผมต้องอยู่ทำงานดึกเป็นประจำ คืนหนึ่งในฤดูร้อนผมออกจากโรงพยาบาลประมาณ 𝟱 ทุ่ม แล้วอยู่ ๆ ผมก็นึกอยากซื้อไอศกรีมเลยแวะซื้อไป 𝟮 โคน โคนหนึ่งให้แคโรลอีกโคนให้ตัวเองแล้วเอากลับไปฝากที่บ้าน ผมกับแคโรลไม่มีโอกาสคุยกันเลยเวลาอยู่ที่ทำงาน ผมก็เลยไม่รู้จริง ๆ ว่าวันนั้นเป็นวันที่เธอเหนื่อยมากทั้งที่งานออฟฟิศและงานบ้าน เรานั่งกินไอศกรีมด้วยกัน แบ่งปันเวลาที่เราได้อยู่ร่วมกันในคืนที่เงียบสงัดนั้น ตลอดมานี้เธอชอบบอกผมว่าความทรงจำที่เธอรักมากคือตอนที่ผมคิดถึงเธอและซื้อไอศกรีมโคนนั้นมาให้นั่นเอง
💟 จงช่วยเหลือเกื้อกูลคู่ของคุณไปตลอดแผนชีวิตและเป้าหมายของเธอเถอะครับ สายสัมพันธ์จะมั่นคงปลอดภัยแค่ไหนก็มาจากการกระทำในปัจจุบันที่ทำด้วยความรักนี่แหละ
จบสิ้นการเอากายและใจไปพึ่งพาอาศัยคนอื่นเขาเสียที จงอย่ากระชากเอาความรู้สึกดีกับตัวเอง เอาเงิน หรือเอาความมั่นใจของคนอื่นออกไปจากตัวเขาเพียงเพื่อจะให้เขาต้องมาอิงอาศัยเราเท่านั้นเลย อย่ากดคนอื่นให้เขาตัวเล็กลง คนเราไม่มีทางหนีจากสายสัมพันธ์ที่รักกันอย่างแท้จริงหรอก มีอย่างเดียวคือเขาไปก็เพราะเขาไม่รู้
ตระกูลของแคโรลสอนลูกหลานกันต่อ ๆ มาหลายรุ่นเลยว่า ‘บาป’ ใหญ่หลวงที่สุดคือการแย่ง 𝗻𝗲𝘀𝗵𝘂𝗺𝗮𝗵 ของคนคนหนึ่งไปจากเขา ถ้าแปลคำว่าเนชูมาห์จากภาษายิดดิช (คือภาษาเยอรมันปนฮีบรูของคนยิว) จะหมายความว่า “การทำลายความสุขของคนอื่นเป็นบาปหนัก” แต่คนเราก็จ้องทำลายความสุขกันเป็นประจำ เลวร้ายจริงๆ❗
เราทุกคนต่างเจอกับตัวมาแล้วและเราก็เฝ้ากดเก็บความเจ็บช้ำให้จมลึกอยู่ข้างในตลอดมา เวลาที่เด็ก ๆ ภาคภูมิใจมากมายกับภาพที่เขาวาด หรือร้องเพลงได้ หรือความสำเร็จเล็ก ๆ ที่เขาทำได้ แทนที่พวกเราผู้ใหญ่จะตบบ่าเขาด้วยคำชม แต่เรากลับหัวเราะเขาเป็นเรื่องตลกแทน พอเราโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องมาเจอช่วงเวลาแห่งความสุขของเราโดนทำลายราบด้วยคำวิจารณ์ของคนอื่น แม้เราจะรู้ว่าที่เขาทำอย่างนั้นอาจจะเพราะอิจฉาความสุขหรืออาจจะรู้สึกด้อยกว่า หรือเหตุผลอื่นอีกมากมาย แต่เราก็อดรู้สึกหมดความสุขเหมือนที่เคยรู้สึกตอนโดนทำแบบนี้สมัยเราเป็นเด็กไม่ได้อยู่ดี น่าสนใจนะครับที่คำว่าเนชูมาห์จริง ๆ แล้วหมายถึงคำว่า “ดวงวิญญาณ” ดังนั้น บาปหนักที่สุดคือ “การพรากดวงวิญญาณของคนไปจากเขานั่นเอง”
เคล็ดเล็ก ๆ ที่จะให้ต่อไปนี้คือวิธีพูดจากันด้วยจิตใจที่เมตตากรุณาและไม่พิพากษาตัดสินกัน จริง ๆ แล้วถือเป็นมินิเอ็กเซอร์ไซส์คือแบบฝึกหัดเล็ก ๆ ถ้าคุณฝึกฝนเทคนิคนี้บ่อย ๆ สายสัมพันธ์ของคุณถ้ายังไม่ถึงกับเบ่งบานฉับพลันยังไงก็ต้องดีขึ้น ขอย้ำอีกครั้งครับให้ใจเย็นค่อย ๆ ทำไป การแนะจิตที่ให้ไว้ชัดเจนมากแล้ว ขอให้คุณเปิดจิตอิสระที่จะใส่เสริมอะไรที่สร้างสรรค์ ปรับเทคนิคหรือการแนะจิตที่มันเหมาะกับคุณลงไปได้เต็มที่เลยครับ
ยกตัวอย่างเช่น “การเปลี่ยนบทบาท” (𝗿𝗼𝗹𝗲-𝗦𝘄𝗶𝘁𝗰𝗵𝗶𝗻𝗴) วิธีนี้สามารถพัฒนาเป็นกระบวนการที่ได้ผลมาก...
🛑 คุณสามารถปล่อยให้ตัวเองหยั่งลึกสู่สภาวะจิตเป็นสมาธิและผ่อนคลายที่ลึกซึ้งกว่าเดิม และพยายามนำตัวคุณเข้าไปนั่งอยู่ในความคิดของอีกฝ่าย พยายามเป็นอีกฝ่ายหนึ่งให้ได้เพื่อจะได้เข้าใจว่าทำไมเขาหรือเธอมีปฏิกิริยาแบบนั้น เข้าใจลึกไปถึงความกลัว ความหวังและความสุขของพวกเขา กระบวนการนี้อาจยาวนานเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่คุณปรารถนา ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาครับ
🛑 เวลาอยากพูดให้ใช้คำพูดเชิงบวก จงกุมมือกันให้บ่อยขึ้น กล่าวคำชมจากหัวใจ คนเราทุกคนล้วนอยากได้รับความรักมากพอ ๆ กับอยากให้
🛑 พยายามพูดจาโดยไม่ต้องติเตียนกัน ไม่ตัดสินกัน และไม่พูดจาแบบมีเจตนาจะทำลายความรู้สึกหรือให้อีกฝ่ายต้องเสียหน้าเจ็บใจ ขอให้พูดจากันจากความรัก ความเมตตา และความอาทรในตัวคุณเถิด แล้วอย่าได้พูดจาเพื่อจะทำร้ายหรือเพื่อจะเอาชนะคะคานให้ได้
🛑 ทิ้งอัตตาและศักดิ์ศรีของคุณลงเสียเถิดครับ เพราะมันมีแต่จะขวางความเข้าใจ จงตั้งใจฟังเขาพูด ฟังด้วยวิจารณญาณและเหมือนเราเป็นคนนอก จงแบ่งปันพื้นที่ระหว่างกันสร้างให้เป็นพื้นที่หลบภัย อีกฝ่ายเขาจะได้เปิดใจพูดอย่างรู้สึกปลอดภัย
🛑 แล้วอย่าเอ่ยปากพูดอะไรจนกว่าคุณมีอะไรจะต้องพูดจริง ๆ ซึ่งควรจะเป็นคำพูดด้านบวก อย่าพูดโต้คารมเขา ปลอดภัยกว่ามากถ้าจะหัดเงียบบ้าง แล้วฟังเขา เข้าใจเขา พิจารณาให้รู้ความกลัวที่มันซ่อนอยู่เบื้องหลังความคิดหรือการกระทำของเขา จงมองให้เห็นภาพใหญ่กว่า อย่าให้ความโกรธหรืออารมณ์มาทำคุณเขวเลย มองให้เห็นตัวปัญหาจริง ๆ ซึ่งก็คือความกลัวที่มักจะแอบเร้นอยู่หลังฉากละครชีวิตเสมอ
🛑 อย่าได้แสดงกิริยาหรือพูดจาเพราะโกรธกันเลย คำพูดคนส่งผลและทรงอำนาจในชีวิตเราอีกยาวไกลนัก และมักจะไม่ลืมกันง่าย ๆ เสียด้วย อย่าให้ยาหรือเหล้าพูดแทนคุณ เพราะคุณไม่มีวันลบล้างรอยแผลซึ่งเกิดจากคำพูดที่ออกมาจากความโกรธหรือความชังได้เลย
🛑 การเอาชนะกันเวลาทะเลาะก็กลับเป็นแพ้หมดรูปได้ทุกครั้งที่มีตัวอัตตาเข้ามาเกี่ยว จงกระทำสิ่งที่ส่งเสริมความรัก ความเข้าใจ การร่วมมือร่วมใจดีกว่า นี่แหละคือการชนะที่แท้ ถ้าคุณมัวแต่ส่งเสริมความคิดและอารมณ์ด้านลบ เช่น ความกลัว ความโกรธ ความรู้สึกผิด ความละอาย ความเศร้า ความเครียด ความกังวล และความชัง ไม่ว่าจะในตัวคุณเองหรือในคู่ของคุณแล้วละก็ คุณแพ้แล้วนะครับ
🛑 การรู้จักละวางความโกรธนั้นยากจริง ๆ เราจะรู้สึกเหมือนโดนตรวจสอบความบริสุทธิ์ยุติธรรมว่าเราดีแล้วจริงหรือเปล่า เหมือนกับเกียรติภูมิและความดีของเรากำลังโดนทดสอบกระนั้น ข้อสอบเพียงประการเดียวของโรงเรียนอันยิ่งใหญ่ที่เราเรียกว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้ก็คือ การได้รู้ว่าเราเรียนรู้ที่จะรู้จักละทิ้งความโกรธแค้นแล้วโอบกอดความรักได้เต็มหัวใจหรือยัง การเฝ้าแต่ยึดความโกรธไว้ไม่เลิกราคือการวางยาพิษความรักความสัมพันธ์แท้ ๆ จงรักต่อไปเถิดครับแม้ว่าอีกฝ่ายเขาอาจจะยังโกรธอยู่ ยังเจ็บอยู่ ยังกลัวอยู่ เพราะความรักหนักแน่นไม่ไหวหวั่น แต่ความโกรธกระชั้นสั้นไม่ยั่งยืน
🛑 พิจารณาให้รู้แน่ว่าเราโกรธกันด้วยเหตุใด แล้วพัฒนาสถานการณ์ให้ดีขึ้น จากนั้นจงปลดปล่อยไปเสีย นานสักเพียงไหนเล่ากว่าเราจะรู้จักปลดปล่อยไป❓ 𝟱 วัน 𝟯 วัน 𝟭 วัน หรือ 𝟭 ชั่วโมง❓ ถ้าหาก 𝟱 วันยังปลดปล่อยได้แล้ว 𝟭 ชั่วโมงล่ะ ทำไมจะทำไม่ได้❓คุณทำได้อยู่แล้ว
(มีต่อ)
โฆษณา