11 พ.ย. 2021 เวลา 05:58 • ไลฟ์สไตล์
"เป็นอยู่โดยชอบแล้วไซร้ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์"
คำถาม : ตามที่พระพุทธองค์เคยกล่าวไว้ว่า
เป็นอยู่โดยชอบแล้วไซร้ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์นั้น
เป็นอยู่อย่างไรครับ ?
ท่านพุทธทาส : ถามว่าที่ว่า ที่ตรัสว่า
เป็นอยู่โดยชอบแล้วโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์
คำถามนี้ก็เคยมีผู้ถาม ก็เคยบรรยายไว้
มากมายหลายครั้ง
ตอบอีกสักครั้งหนึ่ง อีกก็ได้
เหตุการณ์ในวันนั้น
มีการสนทนากับปริพาชกผู้เข้ามาบวชใหม่
ถึงเรื่องสมณะ 4
คือพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และพระอรหันต์
ว่าจะมีอย่างไร ในศาสนาไหน
พระพุทธองค์ตรัสว่าในศาสนา
ที่มีอริยมรรคมีองค์ 8
และต่อมาได้ตรัสถึงประโยคนี้ที่ว่า
ถ้าเป็นอยู่กันโดยชอบไซร้
โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
ข้อนี้ก็ทำให้เข้าใจว่า
คำว่า เป็นอยู่โดยชอบ นั้นก็หมายถึง
การเป็นอยู่โดยอริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง
ถึงแม้เราจะไม่ถือเอาลำดับในเหตุการณ์นี้
เป็นเครื่องประกอบการตัดสิน
มันก็หนีไปไม่พ้นจากอริยมรรคมีองค์ 8
โดยอาศัยคำว่า สัมมา สัมมา นั่นแหละเป็นหลัก
คือพระบาลีนั้นตรัสว่า
อิเม เจ ภิกฺขเว ภิกฺขู สมฺมา วิหเรยฺยุํ
อสุญฺโญ โลโก อรหนฺเตนิ อสฺส
ถ้าภิกษุเหล่านี้สัมมาวิหรยุง
พึงอยู่อย่างสัมมา ซึ่งแปลว่าโดยชอบ
นี่ว่าโดยชอบนี่คือ สัมมา
หลักอัฏฐังคิกมรรค หรือ อริยมรรคมีองค์ 8
มันก็มีคำว่า สัมมา สัมมา 8 สัมมา
สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป
สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว
สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ดังนั้น เราจึงถือว่าสัมมาวิหรยุง
ก็คือสัมมา 8 อย่างเหล่านี้แหละ
ร่วมกันเข้าทั้ง 8 แล้วก็เป็นสัมมาวิหรยุง
นี่ตามตัวหนังสือ ก็ทำให้มองเห็นอย่างนี้
ถ้ากล่าวโดยใจความ โดยหลักเกณฑ์ของธรรมะ
ก็ไม่มีอะไรอื่นดีไปกว่านี้
ไม่มีอะไรอื่นดีไปกว่า สัมมา 8 ประการนี้
แล้วเมื่อพิจารณาดูสัมมา 8 ประการนี้
ก็เห็นได้ว่าทำบุคคลให้เป็นพระอรหันต์ในที่สุด
ได้จริงเหมือนกัน
ดังนั้น ผม โดยเฉพาะผม
อธิบายคำว่า สัมมาวิหรยุงนี้ว่า
คือการเป็นอยู่โดยอริยมรรคมีองค์​ 8
เรียกว่า เป็นอยู่โดยชอบ
คือเป็นอยู่ในลักษณะที่มันผิดไม่ได้
เป็นอยู่ในลักษณะที่กิเลสเกิดไม่ได้
เมื่อกิเลสเกิดไม่ได้นานเข้า ๆ ๆ ๆ
อนุสัย สังโยชน์ทั้งหลายมันก็จาง
มันก็ละลาย หายไป ก็เป็นพระอรหันต์ได้
จึงเข้าใจว่าอย่างนี้
และขอตอบว่าอย่างนี้ ... "
.
อ้างอิง :
" ... ทีนี้ยังดีกว่านั้นอีก ก็คือว่าพระพุทธเจ้าท่านสรุป
ลักษณะอาการทั้งหมดนี้ว่าการเป็นอยู่โดยชอบเฉย ๆ
อยู่เฉย ๆ อย่าไปเที่ยวคว้านั่นคว้านี่ มาเป็นของกู
ฉะนั้น พระพุทธภาษิตที่น่าอัศจรรย์ที่สุด น่าทึ่งที่สุด
ก็คือ พระพุทธภาษิตที่ตรัสเมื่อจวน ๆ จะปรินิพพาน
ยังอีกไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมงจะปรินิพพานอยู่แล้ว
ตรัสว่า ถ้าภิกษุเหล่านี้ จักเป็นอยู่โดยชอบไซร้
โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
ความหมายว่า เป็นอยู่โดยชอบ
ไปตีความเอาเอง เป็นอยู่โดยชอบคือเป็นอยู่อย่างไร
ถ้าทุกคนเป็นอยู่โดยชอบ
โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์
นั่นแหละคือการถือสรณาคมน์ถึงที่สุด
เป็นอยู่โดยชอบ เป็นอยู่อย่างถูกต้อง
เป็นอยู่อย่างถูกต้อง
คืออย่าโลภ อย่าโกรธ อย่าหลง
อย่าโลภ อย่าโกรธ อย่าหลง
คืออย่าได้ไปยึดมั่นอะไรเข้าว่าตัวกู ว่าของกู
ถ้าไปคว้านั่นคว้านี่ เป็นตัวกูของกู
นั่นเป็นอยู่ไม่ชอบ เป็นอยู่อย่างคดโกง
เป็นอยู่อย่างขโมย
ไปปล้นเอาของธรรมชาติ หรือของพระเจ้า
มาเป็นของกู
ให้ถือว่าทุกอย่างเป็นของธรรมชาติ เป็นของพระเจ้า
ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาน
ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลกนี้
มันเป็นของธรรมชาติ เป็นของพระเจ้า
อย่าเป็นโจร อย่าเป็นขโมย
ไปปล้นเอามาซึ่งหน้ามาเป็นตัวกู ของกู
มาเป็นเงินทองของกู ลูกเมียของกู อะไรของกู
นั่นมันโง่ไปตามกฏหมายที่มนุษย์บัญญัติ
เราเลิกโง่แบบนี้กันเสียที
ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น
อยู่ในสังคมก็พูดกันไปตามระเบียบ ตามกฏหมาย
แต่ในใจอย่าเป็นอย่างนั้น
ในใจปล่อย วางออกไป
ว่ามันเป็นของธรรมชาติ เป็นของพระธรรม เป็นของพระเจ้า
ซึ่งเรายังไม่รู้จักตัวท่านด้วยซ้ำไป
แต่เป็นสิ่งที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
ไปปล้นไปตวงของท่านมา
ท่านจะตบหน้าให้ทันที
ที่มีความทุกข์ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่งขึ้นมาทันที
ฉะนั้น อย่ากล้าเป็นโจร เป็นขโมย
ไปปล้นเอานั่นนี่มาเป็นตัวกู ของกู
แม้แต่ชีวิต ร่างกายเนื้อหนังนี้ ไม่ใช่ของกู
มันของธรรมชาติ ของพระเจ้า
อย่ายึดมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน
ว่าตัวกู ว่าของกู
จะเป็นโจร เป็นขโมย
ถ้าเป็นโจรเป็นขโมยแล้ว มันก็ต้องได้รับโทษ
ตกนรกทั้งเป็น
นี่คือวิธีลัดด้วย แล้วจริงด้วย แล้วตรงด้วย
แล้วถูกต้องด้วย
ที่จะเป็นการถือสรณาคมน์ หรือว่าถึงสรณาคมน์
ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาถืออย่างนี้
ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้ว
ก็คือเป็นอย่างนี้
มีจิตใจที่ปล่อยวาง
ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอะไร
ด้วยความสำคัญมั่นหมายเป็นตัวกู ของกู
เมื่อของสกปรกเหล่านี้ออกไปจากจิตใจแล้ว
ใจก็สะอาด เหลือแต่สติปัญญาบริสุทธิ์
สติปัญญาบริสุทธิ์มันก็บอกเองว่าทำอย่างไร
วันนี้จะกินข้าวกับอะไร จะทำอะไร
ที่ออกไป จะทำอะไรที่พักผ่อนหย่อนใจ
มันก็ทำไปได้โดยไม่ต้องมีความทุกข์
ถ้ามันทำไปด้วยสติปัญญาที่บริสุทธิ์ สะอาด
เหมือนกับว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
สิงอยู่ด้วยอย่างนั้น มันทำผิดไม่ได้
จะกินข้าว จะอาบน้ำ จะทำงาน จะสังคม
จะมีบุตรภรรยา สามี จะมีอะไรก็ตาม
มันทำไปอย่างที่ผิดไม่ได้ แล้วก็ไม่มีความทุกข์
แม้ว่าความตายจะมาถึง
ก็ไม่ได้รับเอาความตายเป็นของกู
ความเจ็บไข้มาถึง ก็มิได้รับเอาเป็นของกู
ความเจ็บ ความไข้ ความเป็น ความตาย อะไรต่างๆ
ก็หมดความหมาย ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว
นี่เขาเรียกว่า จิตใจที่หลุดพ้น ที่เป็นอิสระ
เพราะว่ามีสรณาคมน์คุ้มครอง
มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คุ้มครอง
มีสรณะจริง มีที่พึ่งที่ต้านทานจริง
นี่คือว่า ปฏิบัติอย่างไร จึงจะได้มา
ซึ่งสรณะอันถูกต้อง และแท้จริงนั้น ...​"
.
ธรรมบรรยาย
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ
อ้างอิง :
สุภัททะ! ในธรรมวินัย
ที่ไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมไม่มี
สมณะที่ ๑ (โสดาบัน),
ที่ ๒ (สกทาคามี),
ที่ ๓ (อนาคามี),
ที่ ๔ (อรหันต์).
 
สุภัททะ! ในธรรมวินัยนี้แล
มีอริยมรรคมีองค์ ๘ จึงมี
สมณะ ที่๑, ที่ ๒, ที่ ๓, ที่ ๔
 
สุภัททะ! ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้
พึงอยู่โดยชอบไซร้
โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายแล.
 
(บาลี พระพุทธภาษิต
มหาปรินิพพานสูตร มหา ที. ๑๐/๑๗๕/๑๓๘.
พุทวัจน์ ตรัสแก่สุภัททปริพพาชก
ที่สาลวัน แห่งเมืองกุสินารา ณ ราตรีที่ปรินิพพาน.)
.
อ้างอิง :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา