19 พ.ย. 2021 เวลา 03:35 • หนังสือ
✴️ บทที่ 5️⃣ ทลายอุปสรรคขวางกั้นความปีติสุขของชีวิต ✴️ (ตอนที่ 3)
▪️การปลดปล่อยความกลัวและเปิดจิตคุณเอง▪️
........................................................
เจ้ามีสายสัมพันธ์กับทั้งตัวเองและผู้อื่น แล้วเจ้าก็อยู่มาแล้วหลายร่าง ผ่านมาแล้วหลายชาติภพ ดังนั้นจงถามตัวปัจจุบันของเจ้าเองเถิดว่าทำไมเจ้าถึงต้องกลัวนัก ทำไมเจ้าถึงกลัวการเสี่ยงอันสมเหตุผลด้วย เจ้ากลัวเสียชื่อเสียงหรือ❓ เจ้ากลัวคนอื่นเขาคิดอย่างไรหรือ❓ ความกลัวประดานี้ล้วนเกิดจากความฝังใจวัยเด็กหรือก่อนหน้านี้นั่นเอง จงถามตัวเองดังนี้สิ : มีอะไรต้องเสียเล่า❓เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นคืออะไรหากต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดชีวิต ฉันมีความสุขหรือเปล่า ถ้าเทียบกับความตายแล้ว ทำอย่างนี้เสี่ยงมากเลยหรือ❓
........................................................
กำแพงที่เราสร้างล้อมรัดรอบตัวเราทุกครั้งที่เรารู้สึกเหมือนถูกกดดันบังคับ คือกำแพงแห่งความกลัว เรากลัวการที่ต้องเจ็บ ต้องโดนปฏิเสธ โดนตัดออกจากวงสังคม เราถูกกดดันบังคับจากความอ่อนแอช่วยตัวเองไม่ได้ของตัวเราแท้ ๆ เราก็เลยต้องสร้างกำแพงปิดกั้นตัวเองเสียจะได้ไม่ต้องรู้สึก แล้วทีนี้อารมณ์ความรู้สึกของเราก็เลยถูกกดเก็บไว้สุดแสน
หลายคราที่เราขอปฏิเสธคนที่เขากดดันเรา ก่อนที่พวกเขาจะปฏิเสธเราเสียอีก เหมือนเราชกเขาก่อนยังไงยังงั้น รูปแบบของการปกป้องตัวเอง หรือ 𝘀𝗲𝗹𝗳-𝗽𝗿𝗼𝘁𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 อย่างนี้ เขานิยามชื่อให้ว่าเป็น 𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁𝗲𝗿𝗽𝗵𝗼𝗯𝗶𝗰 𝗱𝗲𝗳𝗲𝗻𝘀𝗲 คือระบบป้องกันตัวที่เกิดจากความกลัวการถูกตอบโต้ โชคร้ายนักที่กำแพงของเราเองนั่นแหละจะทำร้ายเราเจ็บกว่าที่คนอื่นทำเสียอีก กำแพงของเราสกัดกั้นทุกอย่างหมดสิ้น ปิดหัวใจเรา ทำให้เราแย่ลงทุกเรื่อง เราไม่เคยเข้าถึงแหล่งที่มาของความทุกข์ ความกลัวที่แฝงฝังและความอ่อนแอของตัวเองเลย เราไม่เคยเข้าใจรากแท้ของปัญหา เรารักษามันไม่ได้ เราไม่มีทางเป็นคนเต็มคนได้เลย
........................................................
ประสบการณ์เหนือกว่าความเชื่อ
จงสอนคนให้มีประสบการณ์เถิด
ย้ายความกลัวออกเสีย
จงสอนคนให้รู้จักรักและช่วยเหลือกันและกันเถิด
........................................................
หลับตาลงเสียแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ปล่อยให้กำแพงสลายลงเถอะครับ จงตรวจสอบโดยไม่ตัดสิน ไม่วิจารณ์ หรือรู้สึกผิด ดูว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้เกิดกำแพง ความกลัวนี้คืออะไรหรือ คุณสร้างกำแพงเพื่อปกป้องตัวคุณออกจากอะไรกันแน่ คุณทำอะไรได้บ้างเพื่อจะเยียวยาความกลัวนี้ได้ ทำอย่างไรหนอคุณถึงจะเป็นคนเต็มเปี่ยมได้อีกครั้ง
✨เมื่อใดที่คุณเข้าใจความกลัวของตัวคุณและรู้ต้นตอการเกิดของมันอย่างแท้จริง ความกลัวจะค่อย ๆ เลือนหายไป หัวใจคุณจะเปิดได้อีกครั้ง แล้วคุณก็จะพบกับความปีติที่แท้ครับ✨
. . .
ในการย้อนอดีตกลุ่มใหญ่ ไมค์พบประสบการณ์ย้อนความจำอดีตชาติครั้งแรก ในชาตินั้นไมค์เป็นผู้นำศาสนาที่มีภูมิความรู้สูงมาก เขาพบว่าตัวเองเขียนตำราเกี่ยวกับความเป็นเพศชายและเพศหญิงในพระเจ้า หลังจากนั้นไมค์อยากค้นหาชาติภพผู้นำศาสนาเพิ่มเติมอีกว่าเขายังจำความรู้ทางศาสนาได้มากกว่านี้อีกหรือไม่ เราจึงทำการย้อนอดีตตัวต่อตัว ทุกขั้นตอนถูกบันทึกเทปไว้
ดังที่ผมเคยเขียนเล่าไว้ในหนังสือเล่มก่อนนะครับ 𝘀𝘂𝗯𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀 𝗺𝗶𝗻𝗱 หรือจิตใต้สำนึกมีวาระและจิตใจของตัวเอง #จิตใต้สำนึกจะไม่ตอบสนองความปรารถนาของคนไข้หรือคำสั่งของผมหากไม่ถึงวาระ จิตจะไปยังที่ที่จิตอยากไป ไม่ใช่ที่ที่เราอยากให้ไปอยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้น ในภาวะสะกดจิตลึก ไมค์จึงพบตัวเองอยู่ในอังกฤษหลายศตวรรษก่อน เขาเพิ่งกลับจากสงครามมาถึงบ้าน น่าจะเป็นเพราะว่าเขาต้องเรียนรู้บทเรียนจากชาติอดีตแสนไกลมากกว่า เพราะมันสำคัญกว่าชาติที่มีชีวิตปกติสุขทรงปัญญาอย่างชาติที่เป็นนักวิชาการศาสนาแน่นอน
“ผมยืนอยู่นอกกำแพงหินที่ทอดยาวไปสุดท้องทุ่ง ปลายสุดกำแพงมีต้นไม้ใหญ่มาก รู้สึกเหมือนผมเพิ่งกลับมาบ้าน...จากสงคราม ผมสุขใจมากที่ได้มาถึงบ้าน...ได้เห็นแผ่นดินเกิดอีกครั้ง...ได้เจอเพื่อนอีก”
ไมค์กล่าวต่อ “เพื่อนของผมยืนอยู่สุดปลายกำแพง เราเคยชอบไปที่ต้นไม้ นั่งเล่นแล้วคุยเรื่องชีวิตกันว่าโตขึ้นเราจะเป็นอะไร แล้วจะจัดการกับชีวิตรอบตัวเรายังไง เพื่อนกำลังรอผมอยู่”
“คุณเห็นเขาหรือยังครับ❓” ผมถาม
“เขาผมสีน้ำตาล... โหนกแก้มสูง อ๋อ...เหมือนหน้าของเขาจะตอบผอมไม่ใช่โหนกแก้มสูง...แต่คุณเห็นโหนกแก้มเขาชัดเลย”
ผมมักประทับใจมากเวลาคนไข้สังเกตเห็นรายละเอียดยิบย่อยที่เด่นชัดอย่างนี้ระหว่างย้อนอดีต ไมค์ยังคงบรรยายถึงเพื่อนเขาต่อไป
“รูปร่างเขาเพรียวแต่ไม่ผอม เขาใส่เสื้อแบบ...รัดรูป เขามีคันธนูกับลูกศรด้วย”
“คันธนูใช้ทำอะไรครับ" ผมซักไซ้
“อ๋อ...ใช้ล่าสัตว์นะ หมายถึงล่ากวาง...ผมเดาว่าน่าจะใช้ป้องกันตัวด้วย เพราะผมเพิ่งกลับจากสงคราม”
“สงครามอะไรครับ❓” ผมถาม
“สงครามนั่นเราใช้ธนูยิง ผมมีคันธนูกับตัวด้วย ผมยังมีเชือกที่หัวเป็นลูกตุ้มหิน 2 ก้อน ไว้ใช้เหวี่ยงแทนอาวุธ”
“คุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้กลับบ้านหลังสงครามเลิก”
“ดีมากเลย❗” เขาตอบทันที “เพราะผมไม่...เพราะผมยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ผมต้องไปแล้ว ไปมีความสุขกับเพื่อน ๆ ผมมีแม่มีพ่อ ผมน่าจะมีน้องสาวด้วยนะ ไม่แน่ใจ”
ผมนำเขาก้าวไปสู่อนาคต เพื่อจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไปกับชีวิตชายหนุ่มคนนี้ที่มีความสุขล้นใจในการได้กลับบ้าน
“ผมอยู่ในปราสาทบนเนินเขา มันโดนทิ้งร้างไว้...พวกนั้นยึดเอาที่ดินไปตอนเราไม่อยู่ แม่ของผมตายแล้ว พ่อโดนจับเป็นเชลยที่ไหนสักแห่ง...”
“แล้วคุณล่ะครับ ตอนนี้คุณทำอะไรบ้าง” ผมถาม
“ผมเบื่อหน่ายการสู้รบไปหมดแล้ว ผมว่าผมคงจะทำสิ่งที่ผมต้องทำ ผมรู้สึกว่าเหมือนพวกเขาต้องพึ่งผมให้กลับไปช่วยพวกเขาออกมา”
ผมนำเขาไปข้างหน้า ไปหาจุดจบของชีวิต
“มีงานเลี้ยงฉลองกัน ฉลองที่ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนตอนที่ผมกลับบ้าน ตอนนี้ทุกคนเป็นสุขกันใหญ่เพราะพวกเรามีความสุขร่วมกัน ทุกคนมีทุกอย่างที่ควรจะมี รัฐบาลกลับมาปกครองเหมือนเดิม ทุกอย่างได้รับการบูรณะใหม่ ผมได้เจอพ่อและเพื่อนอีกครั้ง เพื่อนกับผมจะได้กลับไปนั่งใต้ต้นไม้บนเนินเขาอีกครั้ง”
ชีวิตชาติภพนี้ของเขาจบลงอย่างเป็นสุข เมื่อเขาลอยตัวอยู่เหนือร่างหลังสิ้นใจจากชาตินี้มา ผมจึงถามเขาว่าบทเรียนอะไรที่เขาได้เรียนรู้จากชาติภพนี้บ้าง
เขาตอบด้วยกระแสเสียงสงบ ราวกับฝัน
✨“บทเรียนเรื่องเกียรติภูมิ บทเรียนว่าให้เรากระทำตามเป้าหมายของเราโดยไม่หวาดกลัว และจงเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะไปได้ด้วยดีแน่นอนถ้าเราทำสิ่งที่หัวใจเรารู้สึก กับบทเรียนว่าความรักของเพื่อนน้ำมิตรสำคัญแค่ไหน”✨
ความรู้นี้สำคัญสำหรับไมค์มาก และสำคัญยิ่งสำหรับพวกเราทุกคน นั่นคือ #จงทำตามหัวใจบอกและไม่ต้องกลัว #ความกลัวเป็นตัวปิดกั้นเราออกจากความเข้าใจ #ไม่ให้เราทำตามชะตาลิขิตโดยแท้ ถึงแม้ว่าทุกอย่างอาจดูเหมือนไม่เกิดผลอะไรเลยเมื่อดูจากภายนอกคือระดับกายเนื้อ แต่ทุกเรื่องกำลังดำเนินการให้เกิดผลในระดับจิตวิญญาณแน่ ๆ แล้วจะส่งผลให้เกิดกับชีวิตภายนอกระดับกายเนื้อได้จริง ๆ หากไม่ใช่ชาตินี้ ก็เป็นชาติหน้า
(มีต่อ)
โฆษณา