Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
God Journey (การเดินทางของเหล่าพระเจ้า)
•
ติดตาม
22 พ.ย. 2021 เวลา 04:02 • หนังสือ
✴️ บทที่ 5️⃣ ทลายอุปสรรคขวางกั้นความปีติสุขของชีวิต ✴️ (ตอนที่ 4)
เมื่อจิตคุณปิด คุณก็ไม่อาจเรียนรู้อะไรใหม่ได้เลย จิตที่ปิดจะปฏิเสธทุกอย่างที่แตกต่างออกไป ทุกอย่างที่มันขัดแย้งกับความเชื่อเดิม ความเชื่อที่อาจจะผิดก็ได้ คนเหล่านั้นลืมหมดสิ้นแล้วว่าประสบการณ์แข็งแกร่งกว่าความเชื่อ ความกลัวเป็นอำนาจมากดให้จิตใจปิดสนิท จิตใจที่เปิดกว้างเท่านั้นจึงจะสามารถรับและสร้างความรู้ใหม่ได้
จิตของผมก็เคยปิดมาก่อนเช่นกันก่อนจะมามีประสบการณ์กับแคธรีน ผมถึงเข้าใจดีว่ามันยากเย็นขนาดไหนกว่าจะยอมเปิดจิตใจรับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ แบบนั้น ผมเป็นคนขอให้แคโรลเขียนเรื่องที่คุณจะได้อ่านข้างล่างนี้เพื่ออธิบายให้คุณเห็นภาพว่าจิตใจผมปิดกั้นไม่เปิดรับถนนสายสำคัญสู่ความเข้าอกเข้าใจระหว่างเราสองคนได้ถึงขนาดนี้
แคโรลเขียนว่า :
เราแต่งงานกันได้ไม่ถึง 𝟮 ปีตอนที่เรารับโทรศัพท์แจ้งข่าวว่าคุณพ่อของดิฉันเสียกะทันหันด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เรารีบเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า ขับรถ 𝟮𝟬𝟬 ไมล์จากอพาร์ตเมนต์ในคอนเนคติคัตไปบ้านคุณพ่อคุณแม่ดิฉันที่เพนซิลวาเนีย ถึงคุณพ่อจะมีประวัติโรคหัวใจมาก่อนแต่ท่านเพิ่งจะอายุ 𝟱𝟯 ปีเอง ไม่มีใครคิดว่าคุณพ่อจะอายุสั้นเลย
คุณพ่อเป็นคนชอบเข้าสังคม มีเสน่ห์ในการคุย ที่บ้านจึงมีเพื่อนฝูงหรือเพื่อนธุรกิจของพ่อมาร่วมงานศพมากมายตลอด 𝟭 อาทิตย์ของการไว้ทุกข์
หลังงานศพแล้วไบรอันก็กลับไปมหาวิทยาลัยแพทย์ ส่วนดิฉันอยู่กับคุณแม่ต่อประมาณ 𝟭 อาทิตย์ราว ๆ นั้น คุณพ่อคุณแม่มีบ้านเล็กสวยเก๋สไตล์เคปค็อด ในบ้านมีโทรศัพท์ 𝟮 เครื่อง เครื่องหนึ่งอยู่ชั้นล่างในห้องโถงติดกับห้องนอนท่าน อีกเครื่องอยู่ในห้องนอนชั้นบนที่ดิฉันอยู่ เครื่องที่ว่านี้ตั้งบนโต๊ะห่างจากปลายเตียงระยะหนึ่ง สองสามวันหลังจากไบรอันกลับไปดิฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงกริ่งโทรศัพท์ในห้องนอนตัวเองดัง ดิฉันรีบยกหูรับถึงได้ยินเสียงทุ่มต่ำของคุณพ่อในสาย ท่านพูดว่า “ฮัลโหล ที่บ้านเป็นไงบ้าง❓” ดิฉันตอบไปทั้ง ๆ ที่ช็อก “พวกเราเสียใจมากเลยค่ะพ่อ เพราะพ่อเสียแล้ว แต่หนูคิดว่าพวกเราจะทำใจได้สบายดี”
คุณพ่อถามอีกว่าคุณแม่คิดจะทำอย่างไรกับกิจการของท่าน คุณพ่อเป็นเจ้าของกิจการขายเศษเหล็ก มีโรงเก็บของเก่าด้วย คุณแม่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการค้าของคุณพ่อเลย ความจริงคือคุณแม่แทบไม่เคยเยี่ยมกรายไปที่นั่นด้วยซ้ำ ในขณะที่คุณแม่กำลังโศกเศร้า ท่านกลับไม่อยากพรากจากทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับเบนจี้ที่รักของท่าน คุณแม่จึงตัดสินใจสานต่อกิจการเอง ดิฉันเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อฟังด้วย และยังบอกว่าเพื่อนหลายคนของคุณพ่อที่ทำกิจการค้าเศษเหล็กจะมาช่วยแนะนำคุณแม่อีกทางหนึ่ง คุณพ่อสั่งให้บอกคุณแม่ว่าใจอยากทำอะไรก็ทำเถอะ ไม่จำเป็นต้องรักษากิจการไว้หรอก
แล้วคุณพ่อยังเสริมอีกว่า “บอกพวกเขาด้วยว่าพ่อรักพวกเขามาก แล้วพ่อก็สบายดี และลูกจะไม่ได้ยินข่าวจากพ่ออีกแล้ว”
ดิฉันวางหูพร้อมกับน้ำตาไหลนองหน้า ดิฉันตื่นเต็มตา ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเหตุประหลาดพิกลแค่ไหนดิฉันก็ ‘รู้’ ดีว่าตัวเองได้คุยกับคุณพ่อจริง ๆ แค่ได้ยินเสียงท่านดิฉันก็สบายใจ แต่ก็เศร้าใจที่รู้ว่าจะไม่ได้รับข่าวจากท่านอีกแล้ว
เช้ารุ่งขึ้นดิฉันถามคุณแม่กับพี่สาวว่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังบ้างไหม ทั้งสองคนไม่ได้ยินเสียงอะไรผิดสังเกตเลย ดิฉันเลยอึกอักตอนเล่าว่าเจออะไรให้ฟัง คุณแม่ของดิฉันบอกว่าตอนท่านเคลิ้มหลับท่านรู้สึกเหมือนมีใครเขียนคำว่า “ฉันรักเธอ” ลงบนหลังมือ เวลาที่คุณพ่อคุณแม่ออกไปข้างนอกบ้าน ดูหนังหรือทานข้าวเย็น คุณพ่อชอบแอบเขียน 𝟯 พยางค์นี้ใส่มือคุณแม่เสมอ ๆ คุณแม่ ‘รู้’ ดีว่าคุณพ่อมาหาเมื่อคืน เล่าถึงตรงนี้แหละที่ดิฉันค่อยบอกว่าคุณพ่อฝากสั่งเสียแม่ว่าอะไร
ดิฉันกลับคอนเนคติคัตในอีกสองสามวันถัดมา แม้ความทรงจำเรื่องโทรศัพท์ยังคงวนเวียนในหัวดิฉันก็ไม่เล่าให้ไบรอันฟังเลย เรื่องอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้วละก็ ไบรอันมักจะสาปส่งเลยทีเดียว เรื่องที่เกิดขึ้นสำคัญกับดิฉันมากจนดิฉันคิดว่าคงทนให้ไบรอันยกเหตุและผลมาอธิบายไม่ไหวแน่ เรื่องนี้จึงกลายเป็นความลับเรื่องเดียวในชีวิตคู่ของเราสองคน
จนหลายปีต่อมาหลังจากที่ไบรอันร่วมพบประสบการณ์กับแคธรีน ดิฉันถึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นให้เขาฟัง ช่วงนั้นเขากว้านสะสมหนังสือเกี่ยวกับหัวข้อนี้ขนานใหญ่ หลังจากที่เขานั่งนิ่งตั้งใจฟังดิฉันเล่าจนจบ เขาก็หมุนเก้าอี้เอื้อมมือไปหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง ชี้ให้ดิฉันดูชื่อหนังสือ มันเขียนว่า 𝗣𝗵𝗼𝗻𝗲 𝗖𝗮𝗹𝗹 𝗳𝗿𝗼𝗺 𝘁𝗵𝗲 𝗗𝗲𝗮𝗱 – โทรศัพท์จากคนตาย
. . .
เดือนพฤศจิกายนปี 𝟭𝟵𝟵𝟮 ผมอ่านข่าวว่าศาสนจักรปล่อยกาลิเลโอให้พ้นจากข้อกล่าวหาว่าเป็น “พวกมารศาสนานอกรีต” ที่บังอาจประกาศว่าโลกไม่เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาล ในที่สุด กระบวนการสอบสวนกาลิเลโอที่ส่งผลให้เขาได้รับการปลดปล่อยจากข้อหากินเวลาถึง 𝟭𝟮 ปีครึ่งทีเดียวครับ
ผมอ่านข่าวแล้วก็ตกใจเพราะผมนึกว่ากาลิเลโอน่าจะพ้นมลทินได้อย่างใสสะอาดตั้งแต่ปี 𝟭𝟳𝟮𝟮 แล้วเมื่อท่านเซอร์ไอแซค นิวตันพิสูจน์ว่ากาลิเลโอเป็นฝ่ายถูก แต่เปล่าเลยครับ กาลิเลโอของเรายังติดข้อหาอยู่ถึง 𝟯𝟲𝟬 ปี หลังการค้นพบของเขา มันต้องยืดเยื้อยาวนานขนาดไหนหนอกว่าที่จะเปิดหัวจิตหัวใจคนได้
เพื่อนคนหนึ่งชี้ประเด็นว่ากาลิเลโอตายก่อนนิวตันเกิด 𝟭 ปี ผมเลยบอกว่า “น่าสนใจแฮะ ถ้าเกิดว่ากาลิเลโอกลับชาติมาเกิดเป็นนิวตันเพื่อจะประกาศให้โลกรู้ว่าเขาถูกล่ะ❓ แรงจูงใจที่จะทำแบบนั้นมันลงตัวเป๊ะเลยนะคุณ”
เพื่อนผมหนุนส่ง “แล้วถ้าเกิดว่าเขากลับชาติมาเกิดเป็นพระสังฆราชเพื่อจะเคลียร์ชื่อตัวเองละ...ว่าไง❓”
. . .
........................................................
เจ้าต้องถอนรากความกลัวออกจากจิตใจของพวกเขาเสีย เมื่อความกลัวยังอยู่พลังงานก็สูญเปล่า ความกลัวบีบพวกเขาไม่ให้บรรลุเป้าหมายที่พวกเขาถูกส่งมาเกิดในภพนี้... ระดับพื้นผิวเปลือกนอกนั้นเองที่สร้างปัญหา... ลึกเข้าไปในดวงวิญญาณของพวกเขา ที่ที่ความคิดต่าง ๆ ถูกสร้างขึ้น นั่นแหละ คือที่ที่เจ้าต้องหยั่งเข้าไปให้ถึง
........................................................
ช่วงพักดื่มกาแฟระหว่างสอนเวิร์กชอปครั้งหนึ่งที่แอฟริกาใต้ ผู้หญิงคนหนึ่งส่งโน้ตมาให้ผม เป็นโน้ตเกี่ยวกับการเอาชนะความกลัว และผมอยากแบ่งปันโน้ตนี้ร่วมกันกับคุณครับ :
“ดิฉัน ‘รู้’ และ ‘เห็น’ มาตลอดว่าตัวเองต้องตายตอนอายุ 𝟰𝟮 ปี เพื่อนที่ดิฉันเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแนะนำให้ดิฉันอ่านหนังสือของคุณหมอ 𝗠𝗮𝗻𝘆 𝗟𝗶𝘃𝗲𝘀, 𝗠𝗮𝗻𝘆 𝗠𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿𝘀 เพราะยิ่งดิฉันเฉียดใกล้อายุ 𝟰𝟮 มากเท่าไหร่ก็ยิ่งกลัวมาก กลัวประสบการณ์ความตายที่มัน ‘เหมือนจริง’ มาก”
“พออ่านหนังสือแล้วก็ต้องวางลงเพราะภาพความฝันมันแวบเข้ามาตลอด กับภาพอื่นที่มันทรมานดิฉันด้วย ยิ่งอ่านดิฉันก็ยิ่งได้คำตอบ ทุกครั้งที่แต่ละย่อหน้าทำให้ดิฉันเข้าใจ ก็ยิ่งรู้สึกเบาสบายมากขึ้นจนดิฉันรู้แจ้งแล้วว่าความฝันที่มันทรมานมาตลอดคือความทรงจำจากชาติที่แล้วนั่นเอง”
“ตอนที่ดิฉันเจอเพื่อนครั้งแรกหลังจากอ่านหนังสือของคุณหมอจบ เธอบอกว่าดิฉันเหมือนคนที่ยกภาระอันหนักอึ้งออกจากบ่าได้ยังไงยังงั้น”
“วันนี้ดิฉันอายุอีก 𝟮 เดือนจะครบ 𝟰𝟮 ปีแล้ว และภาระที่แบกบนบ่าก็เบาหวิวกว่าเดิมเยอะ ขอบคุณนะคะ”
. . .
คุณผู้หญิงอีกคนเล่าให้ผมฟังถึงประสบการณ์ตายแล้วฟื้น (𝗡𝗗𝗘) ที่สำคัญและเด่นชัดมากของเธอซึ่งเกิดขึ้นหลายปีก่อนนี้ หลังจากเหตุเกิดเธอก็ได้รับเชิญเป็นแขกไปออกทีวีท้องถิ่นหลายรายการที่ทำสกู๊ปพิเศษเรื่องตายแล้วฟื้น ในรายการเธออธิบายละเอียดถึงประสบการณ์และอารมณ์ที่เกิดกับตัวเอง
แขกรับเชิญอีกคนเป็นจิตแพทย์ที่มาในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ตั้งแง่สงสัย ซึ่งได้รับเชิญมาให้ข้อมูลอีกด้านเพื่อถ่วงน้ำหนักรายการให้สมดุล เขาบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนใหญ่มาจากไหนว่าประสบการณ์ของเธอไม่จริงและไม่มีจริง เป็นแค่ปฏิกิริยาเคมีในสมองของเธอเท่านั้น
“เขานี่โอหังจริง ๆ” ผมพูดแบบโกรธเลยตอนเธอเล่าให้ฟัง “เขาไม่รู้อะไรสักนิดว่าจินตภาพที่คุณเห็นมันเข้มข้นขนาดไหน ไม่รู้ว่าตอนนั้นอารมณ์คุณคล้อยตามยังไง ไม่รู้เลยว่าสารที่คุณได้รับสำคัญมากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ขนาดนั้นแล้วยังกล้าฟันธงว่าประสบการณ์ทั้งหมดของคุณไม่เคยเกิดเลย เป็นเพียงปฏิกิริยาเคมีแค่นั้นเนี่ยนะ❗”
“ไม่เลยค่ะ” เธอแก้คำผมอย่างนุ่มนวล “เขากลัวต่างหากล่ะคะ เขาพูดจากความกลัว ไม่ใช่ความโอหังเลย”
แน่นอนครับ เธอถูกจริง ๆ ด้วย ความโอหังเป็นอีกหน้าฉากหนึ่งของความกลัว หากใจไร้กลัวเสียแล้วก็ไม่จำเป็นต้องโอหังเลย
นี่คือบทเรียนที่สำคัญยิ่งของผมและผมก็เข้าใจดี ผมจึงปลดปล่อยความคิดแบบพิพากษาคนอื่นให้ละลายหายวับไปในแสงสว่างแห่งความเข้าใจทันที
✨ การให้อภัยไม่ใช่หมายถึงให้ลืม มันหมายถึงให้เข้าใจเขาต่างหากครับ ✨
(มีต่อ)
หนังสือ
บันทึก
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
𝗠𝗲𝘀𝘀𝗮𝗴𝗲𝘀 𝗙𝗿𝗼𝗺 𝗧𝗵𝗲 𝗠𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿𝘀
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย