19 พ.ย. 2021 เวลา 12:01 • การศึกษา

ธรรมชาติสร้างสรรพสิ่งจริงหรือ?

COULD NATURE CREATE ITSELF ?
หลายคนมีความคิดที่ว่าธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นเอง หรือคิดว่าธรรมชาตินั้นสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาเอง แต่สำหรับคริสเตียนแล้วเราไม่เชื่อเช่นนั้น
ธรรมชาติคืออะไร?... ก็คือสิ่งที่เกิดมีและเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ตัวเรา... หลายคนมีความคิดที่ว่าธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นเอง หรือคิดว่าธรรมชาตินั้นสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาเอง แต่สำหรับคริสเตียนแล้วเราไม่เชื่อเช่นนั้น แต่เราเชื่อว่าสรรพสิ่งนั้นถูกสร้างและออกแบบโดยพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งการที่เราไม่ยอมรับว่าธรรมชาตินั้นสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาเองก็เพราะเหตุผลดังต่อไปนิ้
1. เพราะพลังงานในจักรวาลเริ่มหมดไป นั่นแสดงว่าธรรมชาติไม่ได้สร้างตัวมันเอง แต่ต้องมีผู้สร้างมันขึ้นมา
ใน THE SECOND LAW OF THERMODYNAMICS (กฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิคส์)ได้บอกเราว่าเมื่อบางสิ่งกำลังเสื่อมถอย นั่นแสดงว่ามันเคยมีระเบียบและพลังงานของมันเคยอยู่รวมกันมาก่อน เพราะไม่มีทางที่จะเป็นพลังงานที่กระจัดกระจายแล้วมารวมตัวกันเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่โดยปราศจากการควบคุมได้เลย
ซึ่งจุดนี้ทำให้เราเห็นว่าพลังงานในจักรวาลของเรานั้นมีจุดเริ่มต้น และเมื่อพลังงานเหล่านี้กำลังถูกใช้ไป มันก็จะเหลือน้อยลง ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ของโลกต่างพบว่าพลังงานในจักรวาลนี้เริ่มหมดไปแล้วโดยเฉพาะพลังงานของดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ในระบบสุริยจักรวาล
ดังนั้นถ้าสมมุติว่าธรรมชาติสร้างตัวมันเองได้ นั่นก็แสดงว่ามันก็จะต้องสร้างงานขึ้นมาได้เรื่อยๆแต่เพราะเหตุไรพลังงานทุกอย่างจึงค่อย ๆ เริ่มหมดไปทีละเล็กทีละน้อยได้ล่ะ?
ถ้าหากว่าเรามีรถ เมื่อเราจะให้มันใช้การได้ก็ต้องเติมเชื้อเพลงเช่นน้ำมัน ลงไปในรถ และเมื่อมาเริ่มขับ น้ำมันซึ่งเป็นเชื้อเพลิงนั้นก็จะเริ่มหมดไป นั่นแสดงว่าพลังงานของมันไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่จะต้องมีคนคอยเติมพลังงานให้กับมัน
แล้วจักรวาลที่เราเรียกว่าธรรมชาตินี่ล่ะ!...
ใครเป็นผู้ให้พลังงานแก่มัน?... ตัวของมันเองหรือ?... เป็นไปได้เลย!... เพราะถ้าหากธรรมชาติสร้างตัวของมันเองแล้ว มันก็ต้องสามารถผลิตพลังงานขึ้นมาใช้เองได้เรื่อย ๆ ซิ!... แต่ความเป็นจริงเราก็เห็นแล้วว่าธรรมชาตินนั้ ไม่สามารถที่จะสร้างพลังงานของตัวเองได้เลย นั่นแสดงว่าเบื้องหลังมันจะต้องมีผู้ให้พลังงานแก่มัน...
2. หลักการอย่างหนึ่งก็คือ... สิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นจะเป็นเหตุและผลในเวลาเดียวกันไม่ได้
ถ้าหากธรรมชาติเป็นตัวสร้างสรรพสิ่ง มันก็จะไม่ถูกเรียกว่าธรรมชาติ และสิ่งที่สร้างธรรมชาติก็จะไม่อยู่ในธรรมชาติเพราะมันจะเป็นเหตุและผลในเวลาเดียวกันไม่ได้ นั่นก็คือผู้สร้างจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้าง หรือสิ่งที่ถูกสร้างก็จะไม่ใช่ผู้สร้างและมันไม่มีทางที่จะเป็นผู้สร้างและผู้ถูกสร้างในตัวเดียวกันได้เลย และอีกประการหนึ่งก็คือ ผู้สร้างจะไม่มีทางเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ถูกสร้างอย่างแน่นอน..
ถ้าผมเอานาฬิกาเรือนหนึ่งมาถามคุณว่า นาฬิกาเรือนนี้สร้างตัวมันเองขึ้นมาหรือ?... ไม่ใช่อย่างแน่นอน!... เพราะนาฬิกามันจะไม่สามารถสร้างตัวของมันเองขึ้นมาได้ และถ้าจะถามคุณต่อไปว่าผู้ที่สร้างนาฬิกาเรือนนี้อยู่ตรงส่วนไหนของนาฬิกา?...
คุณก็ทราบอยู่แก่ใจแล้วว่าผู้สร้างนาฬิกาไม่ได้อยู่ในนาฬิกา แต่อยู่นอกเหนือมัน นี่เป็นหลักตรรกศาสตร์ง่าย ๆ ที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ และอีกอย่าง ถ้าธรรมชาติสร้างตัวมันเอง มันจะนำเอาวัตถุดิบที่ไหนมาสร้าง นั่นแสดงว่าธรรมชาติไม่ได้สร้างสรรพสิ่งแต่ต้องมีผู้ที่สร้างมาขึ้นมาอย่างแน่นอน...
3. ความบังเอิญไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่งดงามได้
นักวิทยาศาสตร์ของโลกต่างก็เห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่าสิ่งที่มีระเบียบแบบแผนนั้น จะมาจากสิ่งที่ไม่มีระเบียบและไม่มีแบบแผนไม่ได้เลย...
สมมุติว่าธรรมชาติสร้างตัวมันเองได้โดยอาศัยวัตถุดิบจากกลุ่มก๊าซต่าง ๆ ที่บังเอิญรวมตัวกันขึ้น (นี่พูดในแง่ที่ว่า “สมมุติ” ซึ่งจากเหตุผลข้างต้นเราก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้) แต่ถ้าไม่มีผู้ที่ควบคุมมัน มันก็ไม่มีทางจะเกิดอะไรที่งดงามได้เลย...
หลายคนเชื่อว่าความบังเอิญเป็นตัวทำให้เกิดสรรพสิ่งโดยการระเบิดครั้งใหญ่ (BIG BANG) พอระเบิดเสร็จก็บังเอิญกลายเป็นจักรวาลที่งดงาม แต่เราต่างก็ทราบกันดีว่า ความบังเอิญนั้นไม่สามารถที่จะสร้างสรรพสิ่งที่งดงามได้... ถ้าเราบังเอิญทำกระจกสี 5 แผ่น ซึ่งมีสีต่างๆตกลงบนพื้น แล้วแตกปะปนกันไปหมด คุณคิดว่ามันจะบังเอิญกลายมาเป็นรูปโมนาลิซ่าหรือรูปวิวทิวทัศน์ที่สวยงามได้หรือ?...
ไม่มีทางอย่างแน่นอน!มันมีแต่จะวุ่นงายไปหมดต่างหาก... หรือถ้าเราโยนตัวอักษรเป็นล้าน ๆ ตัวเข้าไปในโรงพิมพ์ แล้วปาระเบิดซีโฟร์เข้าไป มันจบังเอิญเรียงเป็นตัวอักษรออกมาเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้หรือ?... ไม่มีทางเลย!... ดังนั้นถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะงดงามหรือเป็นระเบียบได้นั้น นั่นแสดงว่าจะต้องมีผู้หนึ่งมีจัดวางและประกอบมันขึ้นมา...
สมมุติว่าเมื่อมียุงตัวหนึ่งบินมา แล้วเราเอามือตบ...เละ!... หลังจากนั้นเรานำซากของมันไปให้นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลกเพื่อนำเอาซากของมันมาสร้างขึ้นใหม่โดยใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถด้วยสุดยอดเทคโนโลยี เพื่อให้ยุงตัวนั้นกลับมาเป็นเหมือนอย่างเดิมจะได้หรือ?... (นี่ขนาดมีวัตถุดิบแล้วนะ)... เป็นไปไม่ได้เลย!...
เมื่อคนเราพยายามใช้ความสามารถและสติปัญญาในการวาดรูปวิวทิวทัศน์ ก็ยังยากที่จะสวยเท่ากับของจริง แต่เมื่อคนหนึ่งมองธรรมชาติที่งดงามตระการตา แล้วเขาคนนั้นบอกว่ามันบังเอิญขึ้นเองนับว่าเป็นข้อสรุปที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างแน่นอน
4. ธรรมชาติไม่มีทางที่จะสร้าง “ชีวิต” ขึ้นมาได้...
ปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ว่า ชีวิตดำเนินไปได้อย่างไร แต่พวกเขาไม่สามารถที่จะอธิบายได้เลยว่าเพราะเหตุไดจึงเป็นเช่นนี้?... เช่น พวกเขาค้นพบว่าสมองของคนเราสามารถคิดได้แต่พวกเขาไม่สามาถหาคำตอบได้ว่า “เพราะเหตุไรสมองของคนเราจึงคิดได้”...
แล้วใครกันล่ะที่เป็นผู้กำหนดแบบแผนในสมองให้แก่มนุษย์เรา... และมีอีกเรื่องหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านชีววิทยาส่วนใหญ่ต่าง เห็นพ้องร่วมกันก็คือ
“ชีวิตต้องมาจากสิ่งที่มีชีวิตเท่านั้น”...
ในอดีตคนเชื่อว่าชีวิตเกิดขึ้นเอง โดยเขาอ้างว่า ถ้าเอาก้อนเนื้อมาวางไว้ ไม่นานก็จะเกิดหนอนยั้วเยี้ยหรือมีเชื้อแบคทีเรียเต็มไปหมด แต่ หลุยส์ ปาสเตอร์ ผู้ค้นพบวัคซีนโรคกลัวน้ำก็ทำการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “สิ่งที่ไม่มีชีวิตจะให้กำเนิดสิ่งที่มีชีวิตไม่ได้” เขาได้ทำการทดลองให้เห็นโดยใช้เนื้อก้อนหนึ่งวางไว้ในหลอดแก้วสุญญากาศ
ซึ่งสามารถเก็บเนื้อได้ถึง 2-3 สัปดาห์ ก็ไม่เห็นมีหนอนหรือเชื้อแบคทีเรียเกิดขึ้น ดังนั้นจากการพิสูจน์จึงทำให้เห็นว่า การที่มีหนอนหรือเชื้อแบคทีเรียมีเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นที่ก้อนเนื้อนั้น ก็เพราะมีแมลงบางชนิดไปวางไข่ไว้หรือมีเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในอากาศตกลงไปนั่นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีชีวิตจะต้องเกิดจากสิ่งที่มีชีวิตเท่านั้น...
ปัจจุบันนี้มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามใช้ยีนและโปรตีนบางตัวมาทดลองเพื่อจะสร้างเซลล์ชีวิตขึ้นมา แต่ก็ทำไม่ได้ (นี่ขนาดมีวัตถุดิบแล้วนะ)...
ผู้อ่านที่รัก... ขนาดมนุษย์ผู้ซึ่งมีสติปัญญาพยายามที่จะสร้างชีวิตขึ้นมา ก็ยังไม่สามารถ สร้างได้ แล้วธรรมชาติจะบังเอิญสร้างสิ่งที่มีชีวิตที่เราได้พบเห็นหลากหลายชนิดอันน่อัศจรรย์ขึ้นมาได้อย่างไร...ไม่มีทางเป็นไปได้!... นั่นแสดงว่าสรรพสิ่งถูกสร้างโดยผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งก็คือพระเจ้านั่นเอง...
5. ความเชื่อที่ว่าธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นเอง เป็นความเชื่อที่ต้องอาศัยความเชื่อ มากว่าความเชื่อที่ว่ามาจากการทรงสร้างของพระเจ้าหลายร้อยพันเท่า
แต่ก่อนผมก็เชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเอง และผมคิดว่าคนที่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลกนั้นเป็นพวกงมงาย (คือเชื่อโดยไม่มีเหตุผล) แต่ต่อมาเมื่อผมได้ศึกษาที่มาของโลกจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ผมจึงทราบว่า
ในพระคัมภีร์เล่มนี้ซึ่งเป็นพระคำของพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยแก่มนุษย์ได้บันทึกที่มาของโลกไว้อย่างชัดเจน แท้จริงเรื่องราวการสร้างโลกได้บันทึกไว้พระคริสตธรรมคัมภีร์เมื่อหลายพันปีมาแล้ว ซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ในสมัยนั้นยังไม่เจริญ
แต่เรื่องราวการสร้างโลกที่บันทึกในพระคัมภีร์กลับสอดคล้องกับความรู้ขอวิทยาศาสตร์ ในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าผมจะเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองโดยปราศจากผู้สร้างนั้น ผมก็เป็นคนที่ไม่มีเหตุผล และผมต้องใช้ความเชื่อมากกว่าความเชื่อที่ว่าโลกนี้เกิดขึ้นโดยมีพระเจ้าเป็นผู้สร้างหลายเท่า มีนักปรัชญาชาวเยอรมันคนหนึ่ง ชื่อ อิมนานูเอล คานท์ เขาเป็นคนที่ไม่สรุปว่ามีพระเจ้าจริงหรือไม่
แต่เขาได้กล่าวว่า “ถ้าคุณจะให้ผมเชื่อว่าโลกที่มีระเบียบและงดงามนี้เกิดขึ้นจากการสร้างของพระเจ้าก็ง่ายกว่าการที่จะให้ผมเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองโดยปราศจากผู้สร้าง” ดังนั้นเราจึงเห็นว่า การที่จะเชื่อว่าโลกนี้มาจากการทรงสร้างของพระเจ้านั้นไม่ใช่เรื่องที่งมงายเลยแต่เป็นความเชื่อที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
กลับมาหาผู้สร้างเถิด..
ผู้อ่านที่รัก... จากเหตุผล 5 ประการข้างต้นนี้ทำให้เราเห็นว่าสรรพสิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลและทรงสร้างโลกที่มีความสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์
ซึ่งพระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งนี้ขึ้นมาก็เพื่อมนุษย์และสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการทรงสร้างของพระเจ้าก็คือมนุษย์เรานี่เอง เพราะพระองค์ให้มนุษย์มีจิตวิญญาณ มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีสติปัญญาในการคิดและเข้าใจ มีความสามารถในด้านต่างๆที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งปวง แล้วยังให้มนุษย์มีอิสระในการตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถตัดสินใจได้ว่าจะดำเนินชีวิตตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้กับเขาหรือไม่ แต่น่าเศร้าที่มนุษย์กลับทำตามความปรารถนาของตนเอง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องตกอยู่ในความผิดบาปซึ่งความบาปนี่เองทำให้มนุษย์ต้องตาย
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาจะต้องรับการพิพากษาโทษบาปในนรกตามการกระทำของตนเองอีกด้วย แต่เพราะเหตุความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์พระองค์ไม่อยากให้มนุษย์ต้องรับการลงโทษเลย พระองค์ทรงทราบว่ามนุษย์ไม่สามารถช่วยตนเองให้พ้นบาปได้โดยวิธีใด ๆ
ดังนั้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์จึงทรงให้พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มารับสภาพเป็นมนุษย์ในโลกเพื่อเป็นผู้รับโทษความผิดบาปแทนมวลมนุษย์บนไม้กางเขน...
ผู้อ่านที่รัก... พระเจ้าไม่เพียงแต่สร้างท่านเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงรักและห่วงใยท่านจนยอมให้พระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อรับโทษความผิดบาปแทนท่าน... บัดนี้ท่านมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากบาปแล้ว ขอเชิญท่านกลับมาหาพระองค์ เพื่อท่านจะไม่ต้องรับการพิพากษาโทษบาปแต่พระองค์จะให้ท่านได้อยู่ในสรรค์กับพระองค์ตลอดไป..
ถ้าท่านปรารถนาอยากกลับมาหาพระเจ้าผู้สร้างชีวิตท่านและอยากให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้รับโทษความผิดบาปแทนท่านก็ขอให้ท่านอธิษฐานทูลต่อพระองค์ดังนี้.
“ข้าแต่พระเจ้า... บัดนี้ข้าพระองค์ได้ทราบแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งรวมทั้งชีวิตของข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามทางของพระองค์ จึงได้หลงทำความผิดบาปมากมาย ข้าพระองค์สมควรรับโทษ แต่ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยโทษบาปให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิดขอขอบพระคุณที่ทรงให้พระเยซูคริสต์มาเป็นผู้รับโทษแทนข้าพระองค์บนไม้กางเขนข้าพระองค์ขออธิษฐานในนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”....
ถ้าท่านได้ทูลต่อพระองค์ด้วยความจริงใจแล้ว ขอให้ท่านมั่นใจเถิดว่า พระเจ้าได้ทรงอภัยโทษบาปให้แก่ท่านแล้วอย่างแน่นอน และพระองค์จะทรงนำชีวิตของท่านตลอดไป
ผู้เขียน : อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
สารบัญ Blockdit christianthai
ซีรีส์ หนังสือเสียงคริสเตียน
 
ซีรีส์ แบ่งปันข้อพระคัมภีร์โดย ChatGPT
ซีรีส์ ใบปลิวคริสเตียน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา