23 พ.ย. 2021 เวลา 13:45 • การศึกษา

พระเจ้ามีจริงหรือ เรื่องนี้ต้องเล่าสู่กันฟัง

มีหลายเรื่องไม่จำเป็นต้องเล่า แต่เรื่องนี้ต้องเล่าสู่กันฟัง
ในโลกนี้มีหลายเรื่องที่เราน่าจะรู้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่อยากให้ท่านได้ทราบเพราะมันเป็นเรื่องที่สำคัญต่อชีวิตของท่านมากจริง ๆ ท่านเคยทราบไหมว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่ถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม สมมุติว่ามีเครื่องปั่นชนิดหนึ่ง เมื่อเรานำน้ำสกปรก เศษพืชผัก เปลือกถั่ว หรือแม้กระทั่งมูลของสัตว์ต่าง ๆ ใส่ลงไปในเครื่องแล้วทำการปั่น ๆๆๆ ในที่สุดก็จะกลายเป็นมะม่วงผลหนึ่งที่มีทั้งธาตุอาหารและกากอาหารที่แสนอร่อย
ซึ่งถ้าหากมีเครื่องปั่นชนิดนี้จริง เราคงจะทึ่งน่าดู เพราะมันสามารถที่จะทำให้สิ่งเหลือใช้ที่ไม่มีคุณค่าอะไรมาสร้างเป็นเปลือกมะม่วงสร้างเป็นเนื้อและเมล็ดมะม่วงได้ เอาล่ะ! ถ้าเครื่องชนิดนี้มีจริง เราจะเชื่อหรือไม่ว่าเครื่องปั่นที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มันจะเกิดขึ้นเอง เราต้องไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เพราะว่าเครื่องแบบนี้จะต้องถูกออกแบบโดยผู้ที่มีสติปัญญาอันล้ำเลิศ
แล้วถ้าจะถามว่าเครื่องแบบนี้มีอยู่จริงหรือ? คำตอบก็คือ “มีครับ!”... นั่นก็คือ “ต้นมะม่วง” นั่นเอง
ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่าการที่ต้นมะม่วงรวมทั้งไม้ผลหลากหลายชนิดสามารถออกผลให้มนุษย์เราได้ลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อยนั้นเบื้องหลังจะต้องผ่านการออกแบบและได้รับการสร้างขึ้นอย่างยอดเยี่ยม และถ้าเรายิ่งสังเกตุก็จะพบว่า ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ทั้งสิ้น..มีบางคนคิดว่า โลกของเรานี้ อยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้นเอง แต่นี่เป็นหลักการง่าย ๆ ที่เราสามารถเข้าใจได้นั่นก็คือ
0+0=0
0=ไม่มี
ไม่มี+ไม่มี=ว่างเปล่า
ว่างเปล่า+ว่างเปล่า=ว่างเปล่า
ดังนั้นความว่างเปล่าจึงไม่มีทางที่จะมีทุกสิ่งทุกอย่างได้ไม่มีทางที่อยู่ ๆ โลกของเราจะเกิดมีพืชและสัตว์ชนิดต่าง ๆ มีทะเลอันสวยงาม ภูเขาอันสูงใหญ่ ท้องฟ้าอันกว้างไกลรวมไปถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวดาว ฯลฯ ซึ่งธรรมชาติเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะฉะนั้นสรรพสิ่งต่าง ๆเหล่านี้ รวมทั้งตัวเราที่เป็นมนุษย์นั้น จะต้องมีผู้ที่สร้างขึ้นมาอย่างแน่นอนซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า
ผู้ที่สร้างสารพัดสิ่งเหล่านี้ก็คือ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง
หลายคนมีความคิดที่ว่า ... ถ้าพระเจ้ามีจริง เราก็น่าจะเห็นพระเจ้าได้และถ้าเขาได้เห็นพระเจ้าเขาจึงจะเชื่อแต่ความจริงแล้วในโลกของเรานี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรามองไม่เห็น หรือสัมผัสไม่ได้แต่เราก็เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง เช่น ลม อากาศ หรือคลื่นวิทยุ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น
แต่เราก็รู้และเชื่อได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง ๆ เช่นเดียวกัน ถึงแม้เราจะมองไม่เห็นพระเจ้าเราสัมผัสพระองค์ไม่ได้ แต่เราก็เชื่อว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง และความเชื่อที่ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงนี้ เป็นความเชื่อที่สามารถอธิบายได้ และเป็นความเชื่อที่สมเหตุสมผล
ถ้าเราเอาตุ๊กตาไม้ตัวหนึ่ง มาถอดหัว ถอดแขน ถอดขาออก แยกเป็นส่วน ๆ แล้วนำส่วนต่างๆ ตุ๊กตาที่แยกออกนั้นไปใส่ในถุงใบหนึ่ง แล้วเราลองเขย่า ๆ ให้มันประกอบกันเป็นตุ๊กตาเหมือนอย่างเดิมคุณคิดว่าต้องเขย่าถุงกี่ร้อยกี่พันครั้งมันถึงจะบังเอิญประกอบขึ้นเป็นตุ๊กตาที่สมบูรณ์ ถ้าหากคุณคิดว่าไม่มีทางทำได้ ก็ลองเอากาวสักหลอดใส่ลงไปในถุงแล้วก็ลองเขย่าอีกหลาย ๆ ครั้ง
เผื่อว่ามันจะประกอบกันได้ง่ายขึ้น คุณคิดว่าคุณจะได้ตุ๊กตาที่สมบูรณ์ไหม? ไม่ได้อย่างแน่นอน! เช่นที่โลกของเราซึ่งมีความเป็นระเบียบ มีความสวยงามเพรียบพร้อมทุกอย่างเช่นนี้จะเกิดขึ้นเองหรือจะประกอบกันขึ้นเองอย่างสมบูรณ์ นี่จึงทำให้มนุษย์เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า โลกนี้ต้องมีผู้สร้างซึ่งผู้สร้างผู้นี้ต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งยังเป็นนักออกแบบชั้นเยี่ยม และผู้สร้างผู้นั้นก็คือ พระเจ้านั่นเอง
พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าทรงเห็นว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้นล้วนแต่ดีทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการทรงสร้างของพระเจ้าก็คือ “มนุษย์” ในเริ่มแรกพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์คู่แรกให้เป็นชายและหญิง ซึ่งทั้ง สองก็คือบรรพบุรุษของเรานั่นเองและเป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า กว่าที่เด็กคนหนึ่งจะลืมตาออกมาดูโลกนั้น
เขาจะต้องอยู่ในครรภ์มารดาเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งผู้ที่เป็นมารดาจะให้ความรัก เฝ้าทะนุถนอมและให้การดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เกรงว่าบุตรนั้นจะได้รับความกระทบกระเทือน จะรับประทานอะไรก็คิดถึงลูกเสมอ
แต่ลูกน้อยซึ่งอยู่ในครรภ์มารดาไม่รู้หรอกว่ามีผู้หนึ่งที่รักเขา และไม่รู้เลยว่าอาหารที่เขาได้รับอยู่ทุกวันนั้นมาจากไหน ดวงตาของเขาปิดสนิท เขาคอยแต่รับการเลี้ยงดูจากมารดาเท่านั้น ซึ่งผู้ที่เป็นมารดาได้แต่รอคอยวันที่ลูกน้อยจะคลอดออกมา เพื่อจะได้เห็นหน้า ได้สัมผัสโอบกอด ได้อุ้ม.และเพื่อที่จะบอกกับลูกน้อยว่า.. “ลูกรัก! ลูกไม่ได้เกิดขึ้นเองนะจ๊ะ แม่นี่แหละเป็นผู้ที่ให้กำเนิดลูกแม่รักลูกมากเหลือเกิน...”
และมารดาก็หวังว่าเมื่อลูกน้อยลืมตาออกมาดูโลกแล้วเขาจะได้เห็นหน้าผู้ที่ให้กำเนิดเขาได้รู้จักผู้ที่รักและเอาใจใส่เขาขณะที่เขายังอยู่ในครรภ์ เขาจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาไม่เคยรู้ และยิ่งนานวันเขาก็จะยิ่งรู้ถึงความรักของมารดาว่า แม่รักเขามากเพียงไร เช่นเดียวกัน. มนุษย์เราทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ต้องพึ่งพาพระเจ้าเปรียบเสมือนกับทารกที่อยู่ในครรภ์ของมารดานั้นต้องพึ่งพาอาศัยทุกสิ่งทุกอย่างจากมารดาพระเจ้า
อยากให้เราทราบว่า ถึงแม้เราไม่รู้จักพระองค์และไม่เคยรู้เลยว่าพระองค์ทรงมีความรักต่อเรามากเพียงไร แต่พระองค์ก็ยังทรงให้ความรัก ให้การเอาใจใส่เลี้ยงดูเราเป็นอย่างดี ซึ่งพระองค์เป็นผู้ที่ประทานอาหาร น้ำ พืชผัก ผลไม้ รวมไปถึงอากาศ ก็เพื่อให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มาจากไหน ซึ่งการที่พระเจ้าทรงให้มนุษย์เกิดมาในโลกก็เพื่อที่จะได้รู้จักกับพระองค์
พระองค์อยากให้มนุษย์สำนึกว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้ชีวิตแก่มนุษย์ ทั้งยังอยากให้เขาทราบว่าพระองค์ทรงรักเขามากเพียงใด
แต่สิ่งที่ขวางกั้นระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ก็คือความผิดบาปที่มนุษย์ได้กระทำ แท้จริงแล้วพระเจ้าปรารถนาที่จะให้มนุษย์เรากระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและดีงาม แต่มนุษย์เราทุกคนกลับตัดสินใจทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ผิดบาป ดังนั้นมนุษย์เราผู้เป็นคนบาปจึงไม่สามารถที่จะอยู่ใกล้พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ได้เลย
พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า “แต่ความบาปชั่วของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้า และบาปของเจ้าทั้งหลายได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า” (พระธรรมอิสยาห์ 59:2) ซึ่งพระเจ้าทรงทราบดีว่า ความบาปไม่เพียงแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ถูกแยกจากพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังจะทำให้มนุษย์ต้องพบกับ “ความตาย” ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวสำหรับมนุษย์ทุกคน
แต่ที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือ มนุษย์เราจะต้องรับการลงโทษบาปจากพระเจ้าหลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป และในที่สุดก็ต้องอยู่ในบึงไฟนรกเป็นนิจนิรันดร...
แต่อย่าเพิ่งตกใจกลัวนะครับ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักเรา พระองค์ไม่อยากให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานั้นต้องพินาศในนรก แต่พระองค์ก็ทรงทราบดีว่ามนุษย์ไม่มีกำลังที่จะต่อสู้และเอาชนะบาปได้เลย และไม่ว่ามนุษย์จะพยายามสักเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ความบาปออกไปจากชีวิตของเขาได้ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงต้องได้รับโทษอย่างแน่นอน โดยเหตุนี้พระองค์จึงได้ทรงจัดเตรียมหนทางที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นโทษบาปนั้น
โดยการให้พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็น พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มารับสภาพเป็นมนุษย์ในโลกนี้เมื่อประมาณ 2,000 ปี ที่แล้ว เพื่อมาเป็นผู้รับโทษบาปแทนมวลมนุษย์ ดังนั้นเหตุผลเดียวที่พระเยซูคริสต์ได้เข้ามาในโลกก็เพื่อมาเป็นผู้ไถ่บาปให้แก่มนุษย์ พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่ทำลายกำแพงบาปที่กั้นระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าให้พังทลายลง....เวลานี้มนุษย์เรามีช่องทางที่จะได้พบกับพระเจ้าผู้สร้างเขาแล้ว
โดยทางของพระเยซูคริสต์ แต่ขึ้นอยู่กับเขาเองว่าจะต้องการพบกับพระองค์หรือไม่เท่านั้นเอง
ผู้อ่านที่รัก.. อยากให้ท่านได้ทราบว่า พระเจ้าทรงรักท่าน จนได้ทรงให้พระเยซูคริสต์มารับโทษแทนท่านเพื่อท่านจะไม่ต้องรับการลงโทษบาปอีกต่อไป แต่พระองค์จะให้ท่านได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดไป บัดนี้ท่านมีโอกาสที่จะรอดจากบาปแล้ว อย่ารีรออีกต่อไปเลยครับรีบหันกลับมาหาพระเจ้าผู้สร้างท่านและทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์เดี๋ยวนี้เถิด ถ้าท่านปรารถนาที่จะรับการยกโทษบาปจากพระเจ้า ขอให้ท่านอธิษฐานต่อพระองค์ดังนี้
“ข้าแต่พระเจ้าข้าพระองค์ได้ทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งในโลกรวมทั้งชีวิตของข้าพระองค์ด้วยซึ่งพระองค์ปรารถนาให้ข้าพระองค์ทำแต่สิ่งที่ดีและถูกต้องแต่ข้าพระองค์ได้ทำความผิดบาปมากมายขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษความบาปให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิดขอขอบคุณพระองค์ที่ทรงให้พระเยซูคริสต์มาตายเพื่อรับโทษบาปแทนข้าพระองค์บนไม้กางเขน ข้าพระองค์ขอเชื่อพึ่งในพระองค์ตลอดไปอธิษฐานขอในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
ถ้าท่านได้อธิษฐานต่อพระองค์ด้วยความจริงใจแล้ว ก็ขอให้มั่นใจเถิดว่าความผิดบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว
ผู้เขียน : อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
สารบัญ Blockdit christianthai
ซีรีส์ หนังสือเสียงคริสเตียน
 
ซีรีส์ แบ่งปันข้อพระคัมภีร์โดย ChatGPT
ซีรีส์ ใบปลิวคริสเตียน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา