24 พ.ย. 2021 เวลา 14:02 • การศึกษา

พระเจ้ามีจริงหรือ ?

ชวนคุณมาค้นหาคำตอบ พระเจ้ามีจริงหรือ
ในโลกของเรานี้มีหนังสืออยู่หลายเล่ม แต่มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อมนุษยชาติมากที่สุด และเป็นหนังสือที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดในโลก นั่นก็คือพระคริสตธรรมคัมภีร์ (BIBLE) ซึ่งพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่สำแดงให้มนุษย์รู้ว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริง แต่ถ้ามีคน ๆ หนึ่งบอกว่า...
“พระเจ้าไม่มีหรอก” โดยที่เขายังไม่ได้วิเคราะห์เลย คนนั้นก็คงจะไม่ฉลาดเท่าไหร่ เพราะในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกอย่างตรงไปตรงมาว่า “คนโง่พูดกับตัวเองว่าไม่มีพระเจ้า” (พระธรรมสดุดี14:1) เพราะเหตุไรพระคัมภีร์จึงดูเหมือนบันทึกข้อความที่รุนแรงเช่นนี้นั่นก็เพราะว่า
ก่อนที่คนเราจะสรุปหรือตัดสินอะไรลงไปนั้นมันต้องมีการค้นคว้า ตรวจสอบหรือผ่านการวินิจฉัยไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนจึงค่อยสรุป เช่นนี้จึงนับว่าเป็นคนฉลาด
เหมือนกับถ้าคุณเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองหนาประมาณ 300 หน้า พอผมเจอหนังสือที่คุณเขียนผมยังไม่ทันอ่านเลยก็สรุปว่า “คุณเป็นคนที่ใช้ไม่ได้” ซึ่งการที่ผมด่วนสรุปชีวิตของคุณเช่นนี้ก็กำลังชี้ให้เห็นว่าผมเป็นคนโง่สิ้นดีเลย เพราะถ้าผมจะสรุปชีวิตคุณว่าเป็นอย่างไรนั้นผมก็ต้องนั่งอ่านเรื่องราวชีวิตของคุณตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายก่อน จึงค่อยหาข้อสรุป เช่นนี้จะนับว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด...
เช่นเดียวกัน จักรวาลของเรานี้กว้างใหญ่ขนาดไหน ถ้าใครยังไม่เคยไปทั่วทุกมุมของจักรวาลนี้แลว้ มาด่วนสรุปว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาก็คงจะเป็นคนที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่เลย!..
จักรวาลนี้ใหญ่ขนาดไหน?
นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่า จากจุดเริ่มต้นของจักรวาลไปจนถึงปลาย (ซึ่งกำลังขยายออกไปเรื่อย ๆ ) แสงจะใช้เวลาเดินทางถึง 120 ล้านปีแสง (แสงเดินทาง 186,000 ไมล์/วินาที) ท่านทราบไหมว่าในท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้มีกาแล็คซี่อยู่ประมาณ 50-100 พันล้านกาแล็คซี่...
ในท่ามกลาง 50-100 พันล้านกาแล็คซี่นั้น มีกาแล็คซี่เล็ก ๆ อยู่กาแล็คซี่หนึ่งซึ่งหนึ่งเรียกว่า “ทางช้างเผือก”และกาแล็คซี่ทางช้างเผือกนี้มีดวงดาวอยู่ประมาณ 200,000 ล้านดวง
ในท่ามกลางดวงดาวน้อยใหญ่200,000 ล้านดวงนี้ มีระบบดาวเล็ก ๆ อยู่ระบบหนึ่งเรียกว่า “ระบบสุริยจักรวาล” ซึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง และดวงอาทิตย์นั้นมีดวงบริวารอยู่ 8 ดวงในท่ามกลาง ดาวบริวาร 8 ดวงนั้น มีดวงหนึ่งอยู่อันดับ 3 เรียกว่า “โลก” (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ 1.3 ล้านเท่า และมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ 93ล้านไมล์ ซึ่งถ้าจะขับรถ 80 ไมล์ / ชั่วโมงไปยังดวงอาทิตย์ จะต้องใช้เวลาถึง 423 ปี)
ในโลกใบเล็ก ๆของเรานี้ยังแบ่งออกเป็น 6 ทวีปใหญ่ ซึ่งในท่ามกลาง 6 ทวีปใหญ่ก็มีทวีปหนึ่งเรียกว่า “ทวีปเอเชีย”...ในท่ามกลางทวีปเอเชียก็มีหลายประเทศ และในท่ามกลางหลายประเทศ มีประเทศหนึ่งเรียกว่า“ประเทศไทย” ประเทศไทยของเราก็แบ่งออกเป็น 4 ภาคใหญ่ ๆ
ในท่ามกลาง 4 ภาคใหญ่ มีภาคหนึ่งในจังหวัดที่มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งในท่ามกลางจังหวัดที่เขาอาศัยอยู่ก็มีหลายอำเภอ... ในท่ามกลางหลายอำเภอก็แบ่งออกเป็นตำบล... ในท่ามกลางตำบลก็มีตำบลหนึ่ง ที่เขาอาศัยอยู่ในตำบลที่เขาอาศัยอยู่มีหลายถนน ในหลายถนนก็มีหลายบ้าน และมีบ้านหนึ่งที่เป็นบ้านของเขา ในบ้านหลังนั้นชายคนนี้กำลังนั่งอยู่ และถ้าเขามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วบอกว่า “โลกนี้ไม่มีพระเจ้า?”...
คุณคิดว่าเขาฉลาดไหม?...เพราะฉะนั้นคนที่ฉลาดจริง ๆ เมื่อมาถึงคำถามที่ว่า “มีพระเจ้าไหม?” ถ้าเขายังไม่เคยวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เขาก็จะตอบว่า “ไม่ทราบ” ถ้าเช่นนั้นเราจะทราบได้อย่างไรว่ามีพระเจ้า...
ก่อนอื่นเราต้องทราบกันก่อนว่า มนุษย์เราไม่มีทางที่จะพิสูจน์พระเจ้าได้เลย.เพราะอะไรน่ะหรือ? นั่นก็เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่เหนือความคิดของเรา พระองค์ทรงใหญ่กว่าเรา และเราไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้แต่เพราะพระองค์ทรงสร้างมนุษย์เราให้มีขีดความสามารถที่จะรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้าได้ ซึ่งในพระ คริสตธรรมคัมภีร์บันทึกไว้ว่า
“เท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจของเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลยว่า สรรพสิ่งทั้งปวงนี้มีพระเจ้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา” (โรม1:19-21) เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงใส่บางอย่างอยู่ในสมองของมนุษย์เราที่ทำให้เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในสมองของมนุษยก็คือ “ดวงตา” (ปัญญาจารย์ 2:14) แล้วดวงตาที่อยู่ในสมองนี้คืออะไรกัน?... เมื่อคนฝรั่งเขาเข้าใจบางสิ่งเขาก็จะพูดว่า “I see!” ซึ่งถ้าคุณถามเขาว่า “What do you see”? เขาก็ตอบว่า... “No!.. I don’t see anything”. แล้วคุณก็ถามว่า...“Why don’t you say,’I understand.” เขาก็ตอบว่า “Yes!... I see!..I see!..”
จากตัวอย่างนี้เราจะเห็นว่า คนฝรั่งมีความคิดที่ว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องมองเห็นหรอก ถ้าฉันเข้าใจก็เท่ากับตาของฉันมองเห็นแล้ว”
ดังนั้น “ตาในสมอง” ก็คือ “ความเข้าใจหรือสติปัญญาในการเข้าใจ” นั่นเอง ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้มนุษย์เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีพระเจ้าจริง... ถ้าหากเราเดินเข้าไปในป่า แล้วพบกระดาษยับ ๆ แผ่นหนึ่งที่มีรูปวาดที่ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ (สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของเด็กไม่เกิน 10 ขวบ) ซึ่งเป็นภาพวาดวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติ มีดวงอาทิตย์ มีนก.. ภูเขา.. ต้นไม้ ฯลฯ
ซึ่งเมื่อเราเห็นภาพนี้แล้ว ศักยภาพในการเข้าใจที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในตัวของเราก็จะทำงานของมันโดยอัตโนมัติทันที โดยมันจะผลักดันให้เราเชื่อทันทีว่ารูปนี้ต้องมีคนวาด
ถึงแม้เราจะมองไม่เห็นคนวาดก็ตามและเราก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ถ้าจะเอาแผ่นกระดาษขาวเปล่า ๆ มานั่งจ้องสัก 10 ปี หรือร้อย ๆ ปีก็ไม่มีทางที่เกิดรูปวิวเหล่านี้ได้ ถ้ามันจะเกิดรูปวิวได้ นั่นแสดงว่าจะต้องมีคนวาดมันขึ้นมาอย่างแน่นอน และถ้ามีคนพยายามเถียงกับเราว่ารูปนี้ไม่มีคนวาดแต่มันบังเอิญเกิดขึ้นเอง เราจะเชื่อเขาหรือ! ซึ่งคนที่เถียงว่ารูปนี้เกิดขึ้นเองก็มีแต่คนที่ไม่มีเหตุผลหรือเถียงเพื่อเอาชนะเท่านั้น
ผู้อ่านที่รัก นี่ขนาดรูปที่ไม่สวยในกระดาษคุณพบนั้นยังเกิดขึ้นเองไม่ได้ แต่ต้องมีคนวาดขึ้นมา แล้วจักรวาลและธรรมชาติอันงดงามที่สวยกว่ารูปที่คุณเห็นหลายร้อย4หลายพันเท่ามันจะเกิดขึ้นเองได้อย่างไร? เราได้ทราบแล้วว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่ไพศาลจริง ๆ ทั้งยังมีระบบระเบียบอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงต้องมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นผู้สร้างขึ้นอย่างแน่นอน คุณ see แล้วหรือยัง?
ผมเชื่อว่าคุณสามารถวิเคราะห์และเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน.
ผมเคยถามเด็กผู้ชายคนหนึ่งว่า “หนูเชื่อไหมว่าโลกนี้กำลังหมุนอยู่”... เด็กคนนั้นตอบว่า ... “ผมไม่เชื่อครับ” “ทำไมหนูถึงไม่เชื่อล่ะว่าโลกหมุนอยู่?” ผมถามต่อ... “ถ้าโลกนี้มันกำลังหมุน ตัวผมก็ต้องหมุนตามซิครับ นี่ผมอยู่เฉย ๆ แสดงว่าโลกนี้มันก็อยู่เฉย ๆ ด้วย”... สุดท้ายไม่ว่าผมจะอธิบายอย่างไรเด็กคนนั้นก็ไม่เชื่อว่าโลกกำลังหมุนอยู่
ซึ่งทำให้ผมได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่าถึงแม้เด็กคนนนั้ จะไม่เชื่อว่าโลกกำลังหมุน แต่โลกก็ยังหมุนอยู่ดี...เช่นเดียวกันมนุษย์เราสามารถเข้าใจได้ว่าสรรพสิ่งทั้งปวงในจักรวาลนี้รวมถึงมนุษย์เรานั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ซึ่งนี่เป็นความจริงที่มันแจ้งอยู่ในความเข้าใจของมนุษย์ทุกคน ถึงแม้คนคนนนั้ จะปฏิเสธว่า “ไม่มีพระเจ้า” แต่ความจริงก็ยังคงเป็นจริง...
พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงขึ้นมานี้ ทรงเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้และเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นมาอย่างยอดเยี่ยม แต่สิ่งยอดเยี่ยมที่สุดในการทรงสร้างของพระเจ้าก็คือมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงให้มนุษย์มีจิตวิญญาณที่สามารถมีสัมพันธภาพกับพระองค์ได้
ทรงให้มนุษย์มีความสามารถในด้านต่าง ๆ มีนโนธรรมที่สามารถรู้ผิดชอบชั่วดี ทั้งยังให้มนุษย์มีสติปัญญาอันล้ำเลิศ และอีกอย่างก็คือพระองค์ทรงให้มนุษย์มีความสามารถในด้านต่าง ๆ มีนโนธรรมที่สามารถรู้ผิดชอบชั่วดี ทั้งยังให้มนุษย์มีสติปัญญาอันล้ำเลิศ และอีกอย่างก็คือพระองค์ทรงให้มนุษย์มีอิสระที่จะตัดสินใจได้เอง
ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่แต่พระองค์ก็ปรารถนาให้มนุษย์เชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามกฏเกณฑ์ที่ดีงามของพระองค์ ซึ่งถ้าเขาเชื่อฟังพระเจ้าชีวิตของเขาก็จะมีแต่ความสุข แต่เรื่องน่าเศร้าก็ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เราทุกคนไม่ยอมทำตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ทั้งยังปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขาอีกด้วย
ตั้งแต่นั้นมามนุษย์เราก็เริ่มสูญเสียทิศทางที่ถูกต้อง และเดินทางไปสู่ทางแห่งความบาป เราจะเห็นว่ามนุษย์ทุกชาติทุกภาษาต่างก็มีพฤติกรรมที่เป็นคนบาปที่เหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการโกหกหลอกลวงใส่ร้ายป้ายสี แก่งแย่งชิงดีนินทาว่าร้ายอิจฉาริษยา ทุจริตคดโกง ทะเลาะวิวาท เย่อหยิ่งจองหอง ฯลฯ
นอกจากนั้นมนุษย์เรายังสามารถทำความบาปที่เหี้ยมโหดอีกมากมาย... ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บอกชัดเจนว่า มนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่อความบาปที่เขาได้กระทำลงไป ซึ่งก็คือหลังจากที่เขาจากโลกนี้ไปแล้วจิตวิญญาณของเขาก็จะต้องไปรับการพิพากษาโทษจากพระเจ้าตามการกระทำของแต่ละคน
และในที่สุดก็ต้องรับโทษในบึงไฟนรกเป็นนิจนิรันดร์ แต่ถึงมนุษย์เราจะทำผิดทำบาป พระเจ้าก็ไม่ได้ทอดทิ้งมนุษย์เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์เราเหมือนกับคุณพ่อที่รักลูก พระองค์ปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์เราให้พ้นจากการพิพากษานั้น
เพราะพระองค์ทรงทราบว่า ถ้าหากไม่ทรงช่วยมนุษย์แล้วมนุษย์ก็จะต้องพินาศในนรกอย่างแน่นอนพระองค์จึงได้ทรงต้องมีผู้หนึ่งมารับโทษแทนเขา ซึ่งผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ไม่มีบาปเลย แต่พระองค์ก็ทรงเห็นว่า ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่สามารถรับโทษแทนผู้อื่นได้ เพราะทุกคนล้วนแต่มีบาปและต้องรับโทษของตัวเองอยู่แล้ว
ดังนั้นเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์จึงได้ทรงให้พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ในขณะทพี่ ระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกพระองค์ไม่เคยทำความผิดบาปเลย แต่พระองค์ทรงยอมถูกตรึงจนกระทั่งสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก็เพื่อเป็นการรับโทษความผิดบาปแทนมวลมนุษยชาติ
ดังนั้นหากผู้ใดที่สารภาพต่อพระเจ้าและยอมให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้ไถ่บาปให้แก่เขา พระองค์ก็จะทรงรับโทษบาปแทนเขาทันทีดังนั้นเมื่อเขาจากโลกนี้ไปวันใด เขาก็จะไม่ต้องรับการพิพากษาโทษอีกต่อไป แต่พระเจ้าจะให้เขาได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์...
ผู้อ่านที่รัก บัดนี้ท่านได้ทราบแล้วว่าพระเจ้ามีจริงซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างและใช้ชีวิตแก่ท่าน ขอให้ท่านทราบเถิดว่า พระเจ้าทรงรักท่านจนได้ประทานพระเยซูคริสต์มาเพื่อรับโทษบาปแทนท่าน บัดนี้ท่านมีโอกาสที่จะรอดพ้นจะการพิพากษาโทษบาปแล้ว ขอเชิญท่านกลับมาหาพระองค์ และทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์เดี๋ยวนี้เถิด ท่านสามารถอธิษฐานทูลต่อพระองค์ดังนี้...
“ข้าแต่พระเจ้า... ข้าพระองค์ยอมรับว่าข้าพระองค์ได้ทำความผิดบาปหลายอย่าง และไม่เชื่อฟังพระองค์ข้าพระองค์สมควรรับการลงโทษ แต่ขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษบาปให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ในวันนี้ข้าพระองค์ขอกลับมาหาพระองค์ และขอเชื่อพึ่งในพระองค์ตลอดไปขอบคุณพระองค์ที่ทรงให้พระเยซูคริสต์มาเป็นผู้รับโทษบาปแทนข้าพระองค์บนไม้กางเขน ข้าพระองค์ขออธิษฐานในนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”...
ถ้าท่านได้อธิษฐานตามข้างต้นนี้ด้วยความจริงใจแล้วก็ขอให้ท่านมั่นใจเถิดว่า พระเจ้าได้ทรงอภัยโทษความผิดบาปให้แก่ท่านแล้ว และพระองค์จะทรงประทานชีวิตใหม่ให้แก่ท่าน ซึ่งเป็นชีวิตที่มีกำลังที่สามารถจะเอาชนะความผิดบาปได้อย่างแท้จริง
ผู้เขียน : อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
สารบัญ Blockdit christianthai
ซีรีส์ หนังสือเสียงคริสเตียน
 
ซีรีส์ แบ่งปันข้อพระคัมภีร์โดย ChatGPT
ซีรีส์ ใบปลิวคริสเตียน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา