7 ธ.ค. 2021 เวลา 04:21 • หนังสือ
✴️ บทที่ 7️⃣ ด้วยรักและเมตตา ✴️ (ตอนที่ 1)
บทที่ 7️⃣ ด้วยรักและเมตตา
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
รักคือคำตอบสูงสุด รักไม่ใช่นามธรรม หากแต่เป็นตัวพลังงานหรือสเปกตรัมของพลังงาน ซึ่งเจ้า “สร้าง” ขึ้นได้ และดำรงไว้ได้ในความเป็นเจ้า จงเป็นคนที่หัวใจมีแต่รักเถิด เจ้าจึงจะเริ่มสัมผัสกับพระเจ้าภายในตัวเจ้าเอง รู้สึกให้ซึ้งถึงการให้ความรักเถิด แสดงความรักของเจ้าออกมาเลย ความรักละลายความกลัว เจ้าไม่มีวันกลัวเมื่อเจ้ารู้สึกถึงความรัก ในเมื่อทุกสิ่งในหล้าล้วนคือพลังงาน และความรักก็โอบล้อมหมดทุกพลังงาน ทั้งหมดในหล้านี้จึงคือรัก
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
คนอย่างเราส่วนใหญ่ในโลกใช้ชีวิตไปวันๆ เหมือนกับไม่รับรู้เลยว่าธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณของเรานั้นมีอยู่จริง พวกเราทำตัวเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่วัตถุทางกายเนื้อเท่านั้น ไม่ได้เป็นดวงวิญญาณ (𝘀𝗼𝘂𝗹) หรือดวงจิต (𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁) เลย★ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่พากันทำเรื่องชวนเป็นบ้าแบบที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำอยู่อย่างนี้หรอกครับ
★ 𝘀𝗼𝘂𝗹 - ดวงวิญญาณ คือพลังงานที่บรรจุในกายเนื้อ - 𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗯𝗼𝗱𝘆 ของเราให้ทำงานได้ มีชีวิตได้ เหมือนกระแสไฟฟ้าในเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อเราตาย ดวงวิญญาณหลุดจากร่าง ดวงวิญญาณก็เปลี่ยนรูปพลังงานไป
𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁 - ดวงจิต ตัวตนแท้ของทุกสรรพสิ่งที่ไม่มีวันสูญสลาย ไม่มีวันตายของจริง ดวงวิญญาณเปลี่ยนรูปพลังงานไป แต่ดวงจิตหรือ 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁 จะติดตัวเราไปทุกระนาบมิติ การจำได้หมายรู้หรือ ‘สัญญา’ ก็มาจากดวงจิต การเลือกกลับชาติมาเกิดเป็นอะไรก็ประทับพิมพ์เขียวลงไปในดวงจิตนี่เอง ดังนั้น 𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁 จึงเป็น 𝗶𝗺𝗺𝗼𝗿𝘁𝗮𝗹 คือ อมตะชั่วกัลปาวสาน : ผู้แปล
กว่า 𝟵𝟬 เปอร์เซ็นต์ ของคนอย่างพวกเราเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง เชื่อว่าสวรรค์มีอยู่จริง และเชื่อว่าพวกเราต้องไปสู่ภพอื่นจริงๆเมื่อเราตาย ทว่า พฤติกรรมที่เราทำมันคัดง้างกับความเชื่อของเราอย่างสิ้นเชิง เรากระทำต่อกันและกันอย่างโหดร้ายและต่ำช้าที่สุด เรายังจ้องทำลายล้างกัน ยังยกพวกรบสร้างสงครามต่อกันไปไม่รู้จักหยุดเสียที เราฆ่า เราข่มขืน เราทรมาน และเราลักขโมยแย่งชิง เราเอาแต่ประพฤติตนไปสู่ทางที่หยาบช้าและเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้งเรื่อยมา
ความกลัวเป็นตัวกีดกันเราไม่ให้จำธาตุแท้แห่งจิตวิญญาณของเราได้ คนที่เปี่ยมจิตวิญญาณ (𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴𝘀★) เช่นเราควรจะฝึกฝนไปในทางแผ่เมตตาบารมีและทานบารมีต่างหากเล่า ไม่ใช่ฝึกปล้นฆ่าลักชิง เราช่างมีความกลัวฝังอยู่มากมายแท้ๆ
★ 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴𝘀 หากแปลตามศัพท์ธรรมะคือ “สิ่งที่เป็นอยู่ การเป็น” ศัพท์เฉพาะใช้ว่า สัตตภาวะ ส่วน 𝗮𝗻𝗴𝗲𝗹𝗶𝗰 𝗯𝗲𝗶𝗻𝗴 คือเทพ หรือทูตสวรรค์ แทนที่จะใช้คำว่า 𝗔𝗻𝗴𝗲𝗹𝘀 ไปเลย : ผู้แปล
ถ้าคุณเป็นคนชอบคิดในแง่ได้รางวัลกับการลงโทษเป็นการตอบแทนแล้วละก็ ลองคิดดูว่าถ้าคุณคิดดีก็ทำดี คิดและทำด้วยรักและเมตตาแล้ว คุณจะต้องได้รับรางวัลตอบแทนสมบูรณ์เหลือเฟือแน่นอน แล้วถ้าเกิดคิดและทำอะไรด้วยใจเจ็บแค้นเกลียดชังละก็ ไม่มีทางเลี่ยงโทษทัณฑ์พ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ เราก็ยังงงไม่ยอมเข้าใจข้อนี้อยู่ดี ไม่รู้กี่ครั้งที่เรายังคงเห็นว่าการแสดงออกว่าเรารักมันช่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าแสดงว่าเกลียด เรากลัวการถูกปฏิเสธ กลัวตัวเองโดนหัวเราะเยาะ กลัวโดนหยามว่าไร้ค่า กลัวคนเขารับรู้ว่าเรา “อ่อนแอ” กลัวโดนตราหน้า หรือกลัวว่าเรามันโง่สิ้นดี
ความกลัวที่บอกมาทั้งหมดนี้ เท็จทั้งสิ้นครับ เราเป็นที่รักและได้รับการปกป้องคุ้มครองมาตลอดเลย เราคือตัวตนแห่งจิตวิญญาณท่ามกลางห้วงมหรรณพแห่งจิตวิญญาณอันไพศาลมหึมาที่มีตัวตนแห่งจิตวิญญาณอื่นๆอีกมากมายนับอนันต์ บางตัวตนอยู่ในสภาวะกายเนื้อ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่
✨รักก็คือน้ำในห้วงมหรรณพนั่นเอง
💟 รักคือพลังงานรูปหนึ่ง เป็นพลังงานสูงสุดและบริสุทธิ์อย่างที่สุดจริงๆ เมื่อรักไต่ถึงระดับสั่นสะเทือนสูงสุดแล้ว รักจะมีปัญญาธรรมและสติรับรู้อยู่ในรักด้วย รักคือพลังงานที่รวมทุกสิ่งที่เป็นอยู่ทั้งหมดเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรักสัมบูรณ์สูงสุด รักไม่ต้องแอบอิงอาศัยสิ่งใดโดยแท้จริง และความรักไม่มีวันจบสิ้น 💟
ตอนที่นักฟิสิกส์ปฏิบัติการในแล็บเพื่อวัดน้ำหนักของพลังงานที่ 𝗵𝗲𝗮𝗹𝗲𝗿𝘀 - ผู้เยียวยา แผ่พลังออกมาไม่ว่าในยามรักษาโรคให้คนไข้ แผ่พลังไปสลายเชื้อแบคทีเรียในร่างกายหรือที่ไหนๆก็ตาม ตัวผมเองเชื่อว่าพลังรักษาอย่างนี้เกี่ยวพันกับพลังงานความรัก ซึ่งเป็นพลังงานแห่งจิตวิญญาณ (𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆) ทั้งนี้พลังรักษาโรค (𝗵𝗲𝗮𝗹𝗶𝗻𝗴 𝗲𝗻𝗲𝗿𝗴𝘆) เป็นส่วนประกอบหนึ่งของพลังจากจิตวิญญาณเองครับ ด้วยผลการวิจัยในวันหน้าบวกกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นกว่านี้ เราจะเข้าใจความเกี่ยวข้องผูกพันกันของพลังงานเหล่านี้ได้ดียิ่งๆขึ้นไป
เมื่อใดที่แพทย์เอ่ยถึง 𝗺𝗶𝗻𝗱-𝗯𝗼𝗱𝘆 𝗰𝗼𝗻𝗻𝗲𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻 หรือความเกี่ยวพันกันระหว่างจิตกับกาย ผมเชื่อว่ารักคือพลังงานที่ก่อให้เกิดความผูกพันนั้น
เมื่อใดที่ศาสนาเอ่ยถึงธรรมชาติแห่งพระเจ้า จะต้องพูดเรื่องความรักด้วยเสมอ นี่คือความจริงแท้ของทุกศาสนา และหลอมรวมเราทุกรูปนามให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของพลังงานก็คือรูปแบบความสั่นสะเทือนนั่นเอง โมเลกุลของก๊าซสั่นสะเทือนเร็วกว่าโมเลกุลของเหลว โมเลกุล ของเหลวก็สั่นสะเทือนเร็วกว่าโมเลกุลของแข็ง ตัวโมเลกุลเองอาจเป็นตัวเดียวกันได้ เช่น 𝗛𝟮𝟬 (น้ำ) แต่ความถี่ของการสั่นสะเทือนของโมเลกุลจะเป็นตัวกำหนดสถานะ ว่ามันจะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือก๊าซ
🛑 ถึงตอนนี้คงไม่ต้องเดากันไกลแล้วใช่ไหมครับว่าพลังงานบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวก็คือพลังงานที่เราเรียกว่าความรัก เมื่อความสั่นสะเทือนของรักลดน้อยถอยลง สถานะของรักก็จะเปลี่ยนไป มนุษย์อยู่ในสถานะของแข็งครับ
. . .
เป้าหมายที่สำคัญมาก 𝟮 อย่างระหว่างที่เรามีชีวิตเป็นมนุษย์บนโลกนี้ก็คือการแก้ไขกรรม (𝗿𝗲𝗱𝗲𝗺𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻)★ และหาสันติสุขภายใน (𝗶𝗻𝗻𝗲𝗿 𝗽𝗲𝗮𝗰𝗲) ให้พบ ด้วยการปลดแก้กรรมจึงนำไปสู่อิสรภาพ การปลดแก้กรรมหมายถึงการเอาชนะกรรม (𝗸𝗮𝗿𝗺𝗮) ให้ได้โดยผ่านการกระทำของตัวเรา และผ่านการทำกรรมดีมีเมตตากรุณา (𝗴𝗿𝗮𝗰𝗲) เป็นที่ตั้ง หนทางสู่การแก้กรรมนั้นมีหลายเส้นทาง การที่เราปลดแก้กรรมได้แล้ว เราก็จะได้เส้นทาง ลิขิตแห่งดวงวิญญาณของเรากลับคืนมาด้วย
★ 𝗿𝗲𝗱𝗲𝗺𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 ความหมายเดิมของคริสต์คือ ‘ไถ่บาป’ ตรงกับความเชื่อของชาวพุทธบางส่วนว่าเกิดมาใช้หนี้กรรม แต่ความจริงของศาสนาพุทธ และคริสต์หลายนิกายคือมนุษย์เกิดมาเพื่อแก้ไขกรรมเก่าและสร้างกรรมใหม่ที่ดี การแก้ไขกรรมเก่าคือการ 𝗿𝗲𝗱𝗲𝗺𝗽𝘁𝗶𝗼𝗻 หรือการปลดหนี้เก่าที่ติดค้างก่อนด้วยการสำนึกเสียใจ แก้ไขเปลี่ยนแปลง ไม่สานกรรมต่อ ไม่ก่อกรรมใหม่ด้านลบ แต่สานและสร้างกรรมดี : ผู้แปล
การปลดแก้กรรมหรือไถ่บาปนี้ไม่ได้หมายความตามศาสนาคริสต์ หรือในนัยทางศาสนาอื่นใดเลย หากหมายถึงกระบวนการสู่การรู้แจ้งเห็นจริง (𝗲𝗻𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁𝗲𝗻𝗺𝗲𝗻𝘁) และการเป็นอิสระหลุดพ้นไปจากวัฏสงสารของสังขารที่มีเกิดมีตายต่างหาก การปลดแก้กรรมเป็นกระบวนการที่ต้องค่อยๆทำ ค่อยๆไป มุ่งมั่นนำทางเรากลับสู่บ้านแห่งจิตวิญญาณในบั้นปลาย เมื่อเราปลดแอกเป็นอิสระ หลุดพ้นจากวัฏสงสารได้แล้ว ดวงวิญญาณของเราก็อาจจะขอเลือกกลับมาเกิดในรูปสังขารอีกก็ได้เพื่อจะช่วยเหลือผู้อื่นเดินบนเส้นทางสู่การแก้กรรม
การแก้กรรมมาจากการรัก ไม่ใช่การทุกข์ เมื่อหัวใจของเราท่วมท้นไปด้วยรักและรักของเราก็ท่วมท้นสู่ห้วงหัวใจของผู้อื่น เท่ากับว่าเราเข้าไปอยู่ในกระบวนการของการแก้กรรมแล้ว เรากำลังเติมเต็มและหักล้างหนี้กรรม (𝗸𝗮𝗿𝗺𝗶𝗰 𝗱𝗲𝗯𝘁𝘀) ของตัวเองอยู่ ตัวเรากำลังถูกดึงดูดกลับไปหาก้นบึ้งกลางใจอันแสนรักแสนอบอุ่นแห่งพระเจ้า ผู้ซึ่งคือรักแท้สูงสุดนั่นเอง
การได้มาซึ่งสันติสุขภายในด้วยตัวคุณเพียงลำพังยังไม่พอครับ ชีวิตที่ได้บวชเรียนหรือบำเพ็ญสันโดษเองไม่ใช่การจบสิ้น หากแต่เป็นอีกหนึ่งวิถีทางที่จะนำไปสู่การจบสิ้นต่างหาก การที่คุณเข้าถึงสภาวะจิตสงบเย็นยามนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำแห่งแดนทิเบตได้ถือว่าน่าชื่นชม ทว่านั่นแค่ไปถึงฐานแรกเท่านั้นเองครับ
การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งกายเนื้อ (𝗽𝗵𝘆𝘀𝗶𝗰𝗮𝗹 𝗪𝗼𝗿𝗹𝗱) ก็ต้องใช้กายเนื้อเข้าไปสร้างการกระทำนั้น ซึ่งก็คือการยื่นมือไปหาผู้อื่นเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาทุกข์ของพวกเขาแล้วช่วยประคองให้เขาเดินไปบนเส้นทางชีวิตได้ คือการรู้จักสงสารเห็นใจคน รู้จักเมตตาต่อคน รู้จักช่วยเหลือเยียวยาโลกนี้ เยียวยาสรรพสิ่งทั้งหลายที่ร่วมอาศัยอยู่บนโลก และเยียวยาสิ่งที่กอปรกันขึ้นมาเป็นโลกใบนี้ได้ และท้ายสุดคือการได้สอนพอๆกับที่ได้เรียนรู้เช่นกัน
✨ ถ้าคุณได้เข้าร่วมในกระบวนการนี้เมื่อไรคุณก็จะรู้ซึ้งถึงสันติสุขภายในเอง โดยมิพักต้องหาเวลาไปนั่งสมาธิในถ้ำเพียงเดียวดายเลย ✨
(มีต่อ)
โฆษณา