คนแรกคือ George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ผู้นำพาอาณานิคมทั้งสิบสาม (Thirteen Colonies) ต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากอังกฤษ และก่อตั้งชาติขึ้นมาจนสำเร็จ
คนที่สองคือ Abraham Lincoln ประธานาธิบดี ผู้นำสหรัฐอเมริกาก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก รวมชาติไว้เป็นหนึ่งเดียวและช่วยปกปักษ์รักษาคุณค่าและหลักการของชาติไว้ได้
1
และคนสุดท้ายคือ Franklin D. Roosevelt ผู้นำพาชาติฟันฝ่าช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยใช้นโยบายที่*แปลกใหม่ และสุดโต่งอย่างมากในยุคนั้น ซึ่งได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนถึงทุกวันนี้
1
นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำพาสหรัฐฯ ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนคว้าชัยชนะมาได้สำเร็จ ทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่ได้รับการไว้วางใจจากประชาชนอเมริกันให้ดำรงตำแหน่งถึง 4 สมัยอีกด้วย สมดังที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นรัฐบุรุษเคียงคู่กับ George Washington และ Abraham Lincoln
4
สำหรับเรื่องราวของประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt จะเป็นอย่างไร วันนี้ Bnomics จะมาเล่าให้ฟัง
📌 เส้นทางชีวิตที่เพียบพร้อมของ Franklin D. Roosevelt
โดยเขาได้วางเส้นทางไว้ว่าเขาจะต้องเข้าสู่การเมืองโดยการเป็น State Assembly ก่อน จากนั้นขยับไปเป็นผู้ช่วยเสนาธิการกองทัพเรือสหรัฐฯ และผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก (เพราะว่าในช่วงนั้น ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ล้วนมาจากนิวยอร์ก ทั้งสิ้น)
2
📌 จากหนุ่มไฮโซเข้าสู่ชีวิตการเมือง
ผลก็คือเมื่อเขาเริ่มเข้าการเมืองจริงๆ เขาก็สามารถทำได้เช่นนั้นจริงๆ โดยช่วงปี 1910 FDR ได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมืองครั้งแรกในฐานะ New York State Senator (ผิดแผนเล็กน้อย เพราะตำแหน่ง New York State Assembly นั้นไม่ว่าง)
หลังจากนั้น ก็ได้รับการสนับสนุนโดยประธานาธิบดี Woodrow Wilson ให้ดำรงตำแหน่ง Assistant Secretary of the Navy หรือผู้ช่วยเสนาธิการกองทัพเรือ ตามที่เขาเคยวางแผนไว้จริงๆ
หลังจากนั้น ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 1920 James M. Cox ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ได้เลือก FDR เป็นรองประธานาธิบดีลงแข่งในศึกดังกล่าวคู่กับเขา
เขาได้ใช้ช่วงเวลา Gap Year ดังกล่าวไปกับการรักษาอาการป่วยของเขา โดยการทำกายภาพบำบัด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังพยายามรักษาคอนเนคชั่นในวงการการเมืองอยู่ตลอด เพื่อเตรียมตัวในการกลับเข้าสู่วงการ
จุดเปลี่ยนสำคัญนั้นเกิดขึ้นไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ฟองสบู่ที่สะสมมานานหลายปีแตกออก ตลาดหุ้นร่วงอย่างมาก ธุรกิจและธนาคารต่างๆ ล้มระเนระนาด
เสียงแห่งความหวังของ FDR ได้ดังกึกก้องไปจนทำให้เหล่าผู้นำพรรคเดโมแครตเล็งเห็นว่า หากจะมีใครที่สมควรได้ลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับ Herbert Hoover ก็คงหนีไม่พ้น Franklin D. Roosevelt อย่างแน่นอน และทำให้สุดท้าย FDR ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนพรรคในการชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในการเลือกตั้งที่กำลังจะเข้ามาถึง
สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า ในงาน Democratic National Convention ซึ่งเป็นงานที่ทำหน้าที่เลือกผู้ที่จะเป็นตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคนั้น มีธรรมเนียมมาตั้งแต่โบราณว่า ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อนั้นจะต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องจนกว่าจะมีผู้แทนจากพรรคไปแจ้งข่าวให้อย่างเป็นทางการ ซึ่งโดยปกติก็ใช้เวลาหลายสัปดาห์อย่างมาก
ในสุนทรพจน์ดังกล่าว เขายังมอบความหวังโดยให้คำมั่นสัญญากับสมาชิกพรรคเดโมแครตและประชาชนชาวอเมริกาอีกว่า จะนำพาประเทศชาติกลับมายืนได้อีกครั้งหนึ่ง (“I pledge myself, I pledge you to a new deal for the American people”)
2
เสียงแห่งความหวังเหล่านี้ก็ได้ลอยไปทุกที่ที่ FDR ได้เดินทางไปหาเสียงในพื้นที่ต่างๆ ในเวลาต่อมา พร้อมกับการเปิดเพลง Happy Days Are Here Again เพื่อเรียกขวัญกำลังใจในทุกที่ที่เขาเดินทางไป
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ Franklin D. Roosevelt ผู้นำพาชาติฟันฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ เรียกความหวังผู้คนกลับมาอีกคน และนำพาชาติคว้าชัยชนะเหนือสงครามโลกได้สำเร็จ สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามประธานาธิบดีที่ดีที่สุดของสหรัฐฯ อย่างแท้จริง