ชีวิตตอนเด็กของ Ike เติบโตขึ้นที่เมือง Abilene รัฐ Kansas (อันที่จริงเขาเกิดที่เมือง Dension รัฐ Texas แต่มาเติบโตขึ้นที่นี่) มีพี่น้องรวมตัวเขาทั้งหมด 7 คน โดยที่ Ike เป็นลูกคนที่สาม ฐานะทางครอบครัวของ Ike ถือว่าค่อนข้างยากจน กล่าวคือ รายได้ที่มีแต่ละวันก็มีเพียงพอแค่ให้ใช้ชีวิตเท่านั้น ครอบครัวของเขาไม่สามารถที่จะก้าวพลาดได้แม้แต่ก้าวเดียวเลย
นอกจากนี้ ครอบครัวของ Ike ยังเป็นครอบครัวที่เคร่งศาสนามาก พวกเขาจะเข้าโบสถ์และสวดภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งลักษณะส่วนนี้ก็ส่งต่อมาถึงช่วงที่เขาเป็นประธานาธิบดีด้วย ที่ Ike จะเข้าโบสถ์ทุกๆ สัปดาห์เช่นกัน
พอ Ike เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น Ike ได้ตัดสินใจที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ (West Point) ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่สร้างความเสียใจให้กับคุณแม่ของเขาอย่างมาก เนื่องจากตัวเธอนั้นไม่ชื่นชอบในสงคราม
แน่นอนว่า Ike ก็เป็นหนึ่งในสองคนในรุ่น ที่ได้รับยศนี้ จากผลงานการนำทัพเข้าบุก French North Africa และการเป็นผู้บังคับบัญชาการสูงสุดของกองทัพสัมพันธมิตรในทวีปยุโรป ในวันที่เข้าบุกชายหาดนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเข้าต่อสู้กับกองทัพนาซี
ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญของ Ike โดยเฉพาะทักษะการทูต ที่ไม่ว่าเขาจะเจอกับใคร เขาก็มักจะสร้างความประทับใจ และทำให้ผู้คนชื่นชอบในตัวของเขาอยู่เสมอ จนความชื่นชอบเหล่านี้ ถูกนำมาใช้เป็นแคมเปญในตอนสมัยที่เขาลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯด้วย ในชื่อแคมเปญที่ว่า “I like Ike”
อีกหนึ่งความโดดเด่นที่ถูกแสดงออกมาในยุทธวิธีครั้งนี้ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ ความสามารถในการใช้ภาษาและการประชาสัมพันธ์ ผ่านถ้อยแถลงเพื่อปลุกใจนายทหารก่อนวันเข้าบุกนอร์มังดี หนึ่งประโยคอมตะตอนท้ายของถ้อยแถลง ได้ถูกรังสรรค์ไว้ว่า “เราจะไม่ยอมรับสิ่งอื่นใด ที่ยิ่งหย่อนไปกว่าชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (We will accept nothing less than full victory)”
"We will accept nothing less than full victory"
📌 สงครามไม่ใช่คำตอบเสมอไป
ก่อนหน้าที่ Ike จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลายคนปรามาสว่า Ike เป็นคนที่ไร้ประสบการณ์ทางการเมือง และอาจจะสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นได้จากที่เติบโตมาจากกองทัพ
แต่ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป Ike ก็ยิ่งได้พิสูจน์ตัวเองมากขึ้นว่า ตัวเขามีแนวทางในการจัดการปัญหาอย่างประนีประนอม และไม่ต้องการที่จะทำสงครามกับใคร ถ้าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายจริงๆ สะท้อนออกมาผ่านการนำประเทศฝ่าวิกฤติความขัดแย้งระดับนานาชาติหลายครั้ง
หรือการแถลงการณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ในการประชุม UN พร้อมไปกับ การแถลงการณ์ของประธานาธิบดีนอกที่ประชุม หนึ่งในประโยคสำคัญที่แสดงว่าพวกเขาจะไม่ร่วมเข้าบุกอียิปต์อย่างแยบยลคือ “กฎต้องควบคุมรัฐชาติ ไม่ต่างจากที่ควบคุมประชาชน (Law must govern nations just as it must govern free people)” เป็นการสื่อว่าพวกเขาจะใช้กฎมากกว่าที่จะใช้ความรุนแรง
แต่ถึงในยุคของ Ike จะไม่มีการนำทัพอเมริกาเข้าสู่สงครามโดยตรง แต่พวกเขาก็ใช้จ่ายงบพัฒนาอาวุธและป้องกันประเทศสูงมากถึงเกือบ 10% ต่อ GDP เทียบกับประมาณ 3% ในปัจจุบัน
ซึ่งเหตุผลของการใช้จ่ายในอาวุธมากขนาดนี้ แท้จริงแล้วก็เพื่อนำอาวุธมาเป็นส่วนหนึ่งบนโต๊ะเจรจา ว่าถ้าพวกเขาจำเป็นต้องมีสงครามจริงๆ พวกเขาก็พร้อมเสมอ และทาง Ike ก็คิดว่านี่เป็นสิ่งที่จำเป็นพวกควบคุมการเติบโตของลัทธิคอมมิวนิสต์
แนวทางการประนีประนอมของ Ike ยังแสดงออกมาผ่านนโยบายภายในประเทศ หนึ่งในเรื่องสำคัญคือ การประนีประนอมในนโยบาย New Deal ที่ถือเป็นตัวชูโรงของพรรคเดโมแครตที่เป็นพรรคฝ่ายตรงข้ามมาอย่างยาวนาน
อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นโครงการที่เหมือนจะมีรัฐเป็นศูนย์กลางออกมาบ้าง แต่ในแง่ของงบดุลของประเทศ Ike ก็ยังเชื่อว่าควรจะรักษาให้อยู่ในระดับสมดุล และไม่ยอมลดอัตราภาษีเมื่อมีคนร้องขอในภาวะที่เศรษฐกิจชะงักเล็กน้อย
ซึ่งที่เป็นแบบนี้ ก็เพราะว่า Ike เชื่อว่า การใช้จ่ายหรือวางแผนจากศูนย์กลางที่มากเกินไปเป็นสิ่งไม่ดี และมีความคล้ายคลึงกับโซเวียดในขณะนั้น ซึ่งมันสะท้อนต่อมาในการบริหารงานด้านอื่นด้วย ที่หลายครั้งตัว Ike เลือกที่จะคอยยืนมองอยู่ด้านหลัง และปล่อยให้คนที่เกี่ยวข้องเป็นคนจัดการกันเอง
แต่ทว่า ก็มีเหตุการณ์ที่ Ike ได้แสดงถึงความเด็ดขาดเช่นกัน เมื่อถึงคราวจำเป็น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีกฎหมาย “Brown vs. Board of Education ออกมา โดยกฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ทำให้ยกเลิกการแบ่งแยกโรงเรียนสำหรับคนผิวสีและผิวขาว
ประเด็นเกิดขึ้นที่เมือง Little Rock, Arkansas เมื่อผู้ว่าการรัฐในขณะนั้น ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายที่จะอนุญาตให้คนทุกเชื้อชาติเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกัน จนส่งทหารเข้าไปปิดโรงเรียนไว้ว่า ห้ามนักเรียนผิวสีเข้าไปเรียน
ซึ่งทาง Ike ก็ได้ทำการตอบโต้ โดยการส่งทหารจากทางการเข้าไปเช่นกัน เพื่อเป็นการยืนยันเด็กผิวสีที่เลือกเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้น จะได้เข้าเรียนจริงๆ