15 ธ.ค. 2021 เวลา 03:15 • หนังสือ
✴️ บทที่ 9️⃣ จงพบแสงสว่าง ✴️ (ตอนที่ 1)
บทที่ 9️⃣ จงพบแสงสว่าง
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
ณ ขณะนี้ เรารู้สึกได้ถึงความสงบเย็น เป็นเวลาที่จะได้รับความสุขสบาย...ต้องได้รับการดูแลให้แสนสบาย ดวงวิญญาณนั้นเล่า...ดวงวิญญาณได้พบความสงบสุขที่นี่ เจ้าจงทิ้งความเจ็บปวดเศร้าหมองทางกายทั้งหลายไว้เบื้องหลังเถิด ดวงวิญญาณของเจ้าเป็นสุขสันติและร่มเย็น ความรู้สึกอย่างนี้ดีเหลือเกิน...วิเศษเหลือเกิน เหมือนดวงตะวันส่องสว่างอาบตัวเจ้าไม่ห่างหาย แสงสว่างกระจ่างสวยเหลือเกิน❗ ทุกสรรพสิ่งล้วนกำเนิดจากแสงสว่างทั้งสิ้น❗ พลังงานมาจากแสงนี้เอง ดวงวิญญาณของเราตรงไปที่แสงในทันใด ประหนึ่งแสงเป็นดั่งขั้วแม่เหล็กที่ดูดดึงเราเข้าไปหา ดีเหลือเกิน แสงเหมือนกับเป็นแหล่งกำเนิดพลังบางอย่าง รู้ว่าจะต้องเยียวยาอย่างไร
〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️〰️
ในการค้นคว้าวิจัยประสบการณ์ตายแล้วฟื้น (𝗡𝗗𝗘) มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้มีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นเจอมาตลอดและมากที่สุดคือแสงสว่างที่แสน งดงามและแสนสบาย แสงอย่างนี้ไม่ใช่เกิดจากเคมีทางประสาทเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนแต่อย่างใดเลยครับ แต่เป็นการได้สัมผัสกับวูบหนึ่งของภพเหนือโลก ญาติพี่น้องอันเป็นที่รักที่ตายไปก่อนหน้าเรา หรืออาจจะเป็นดวงวิญญาณอื่นที่มักปรากฏตัวขึ้นเพื่อช่วยชี้แนะเรา ให้ความรู้และให้ความรักอันลึกล้ำยิ่งใหญ่แก่เราในแสงนั้น
แล้วผู้ประสบเรื่องอย่างนี้ก็มักจะได้รับรู้เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เขาหรือเธอไม่เคยรู้มาก่อนหน้านี้เลย ญาติที่ตายไปแล้วบอกว่ามีเครื่องประดับของตระกูลเก็บเอาไว้ในที่ที่ไม่เคยมีใครหาพบ เก็บรักษาพินัยกรรมไว้ที่ตรงไหน และความจริงเรื่องอื่น ๆ อีกที่ไม่เคยบอกใคร พอหลังจากผู้มีประสบการณ์ฟื้นจากไข้หรืออาการบาดเจ็บ พวกเขาก็มักจะเจอของพวกนั้นจริง เป็นเครื่องยืนยันว่าสารที่ได้รับตอนโคม่าหรือหมดสติอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง แสงสว่างที่ “เป็นผล” มาจากสมองกระทบกระเทือนอย่างที่ผู้วิพากษ์วิจารณ์ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นมักชอบยกมาว่ากันนั้น ไม่มีทางเลยครับที่จะแม่นยำอย่างนี้ได้
แม้ว่ารายละเอียดของประสบการณ์ 𝗡𝗗𝗘 ในแต่ละวัฒนธรรมอาจผิดแผกจากกันไปบ้าง แต่การได้พบแสงสว่างดูจะเป็นปรากฏการณ์สากล (𝗨𝗻𝗶𝘃𝗲𝗿𝘀𝗮𝗹 𝗣𝗵𝗲𝗻𝗼𝗺𝗲𝗻𝗼𝗻) เลยทีเดียว ในอเมริกาเอง คนที่อยู่ในภาวะ 𝗡𝗗𝗘 มักจะเล่าว่าตนเองท่องผ่านไปในอุโมงค์เพื่อไปหาแสงสว่าง ในญี่ปุ่นมักจะเจอการข้ามแม่น้ำหรือสายน้ำเพื่อไปหาแสงสว่างเป็นประจำ แต่ไม่ว่าจะผ่านอุโมงค์เข้าไปหรือข้ามน้ำไป หรือเดินทางด้วยวิธีการแบบใดก็ตามเป็นต้องพบแสงสว่างเสมอ และความรู้สึกที่ตามมากับแสงก็มักจะเป็นความรู้สึกสงบสุขและสบายยิ่งในแสงนั้น
หลังจากผมจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการฉบับเข้มข้น 𝟮 วันที่นักการอนามัยหลายท่านได้เข้าร่วมอบรมเสร็จแล้ว ผมก็ได้รับจดหมายจากนักการอนามัยท่านหนึ่งที่เข้าเวิร์กชอปด้วย เธอเขียนมาขอบคุณผมที่ช่วยให้เธอกับเพื่อนๆได้รับประสบการณ์แสงสว่างอันสวยงาม ผมเชื่อว่าเป็นแสงเดียวกับที่ผู้พบประสบการณ์ 𝗡𝗗𝗘 กับ 𝗔𝗗𝗘 - 𝗔𝗳𝘁𝗲𝗿 𝗗𝗲𝗮𝘁𝗵 𝗘𝘅𝗽𝗲𝗿𝗶𝗲𝗻𝗰𝗲 #ประสบการณ์หลังความตาย ได้เจอนั่นเอง แน่นอนครับ คนธรรมดาๆก็ มีโอกาสสัมผัสกับแสงนี้ได้เช่นกันใน ‘สภาวะปฏิบัติสมาธิ’ ‘สภาวะสะกดจิต’ ‘ในความฝัน’ ‘ในการพบประสบการณ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ หรือด้วยหนทางอื่นอีกหลายทาง
เธอคนที่เขียนมาปัจจุบันอายุ 𝟯𝟲 ปีแล้ว แต่ประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้เจอแสงตอนอายุแค่ 𝟭𝟰 ปี ยังคงสลักลึกตรึงอยู่ในความทรงจำ แล้วเธอก็อยากแบ่งปันความรู้สึกนี้ร่วมกับผม และผมก็อยากให้คุณได้ร่วมรับฟังถ้อยคำของเธอด้วยกันเพราะว่าถ้อยคำที่เธอบรรยายช่างละเอียดแม่นยำตรงใจเหมาะเจาะอย่างเอกเลยจริงๆ
เธอเล่าเรียนในระบบโรงเรียนคาทอลิกจากลาตินอเมริกา ภาษาสเปนเป็นภาษาแม่ของเธอแต่จดหมายเขียนมาเป็นภาษาอังกฤษครับ
“ดิฉันไม่เคยรู้เรื่องประสบการณ์ตายแล้วฟื้น หรือประสบการณ์หลังความตาย หรือประสบการณ์ตายแล้วเกิดมาก่อนเลยค่ะ ยิ่งเรื่องชาติที่แล้วยิ่งน้อยใหญ่ ดิฉันไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าตอนอยู่มัธยมปีที่ 𝟯 ตัวเองได้เจอเรื่องที่ต้องเขียนมาเล่าให้ฟัง”
ระหว่างที่โรงเรียนพานักเรียนทั้งโรงเรียนไปอบรมจิต พระรูปหนึ่งท่านก็สอนวิธีปฏิบัติสมาธิจิต 𝟮-𝟯 แบบให้ และสอนวิธีจินตภาพ (𝘃𝗶𝘀𝘂𝗮𝗹𝗶𝘇𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻) ให้ด้วย ขั้นแรกท่านให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งนอนลงกับพื้น ผ่อนจังหวะหายใจให้เนิบช้าลง แล้วท่านก็บอกให้เราเห็นภาพตัวเราอยู่ในทุ่งที่สวยงามมาก มีดอกไม้เต็มไปหมด ถึงตรงนี้ ตัวเด็กสาวเริ่มหลุดลอยจากคำพูดนำจิตอันนุ่มนวลของพระแล้ว
“นกกำลังร้องเพลง พวกเราก็กำลังเพลิดเพลินใจไปกับธรรมชาติรอบข้าง เสียงอันรื่นหูของพระท่านบอกให้เราเดินสำรวจทุ่ง แต่ตัวดิฉันเองกลับมัวแต่ขมวดคิ้วขยิบตาเพราะปล่อยตามคำบอกของท่านไม่ได้แล้ว ดิฉันพยายามลองทำดูตั้งสามสี่หนแต่มันไม่ได้ แล้วแทนที่จะเดินดูต่อไปดิฉันกลับเจอแต่บ่อน้ำ ดิฉันรู้สึกเหมือนเสียงของหลวงพ่อห่างออกไปทุกทีๆ ตอนนั้นเสียงบรรยายแต่ทุ่ง ไม่มีบ่อเลย...”
“ตัวของดิฉันเริ่มไหลไปแล้วดิฉันก็ยอมปล่อยให้ไป ตอนนั้นเองที่ดิฉันก้มลงไปดูในบ่อว่ามีอะไรบ้างแต่กลับตกลงไปเลย มันไม่ใช่บ่อแล้วค่ะแต่เป็นอุโมงค์ มือขวาดิฉันมีตะเกียงดวงเล็กๆอยู่ ดิฉันเริ่มเดินเข้าไปในอุโมงค์ ทุกอย่างมืดคลุมเครือไปหมดยกเว้นแต่แสงนวลๆจากตะเกียงของดิฉัน พอเดินไปได้พักหนึ่งก็รู้สึกว่าทางมันเบี่ยงไปทางซ้ายนิดๆ และแล้วพอดิฉันก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้นก็ปรากฏลำแสงเล็กๆส่องออกมา แต่ละก้าวที่ดิฉันก้าวเข้าไปหาแสงก็เริ่มโตขึ้นๆเรื่อยๆ ดิฉันอยากรู้อย่างแรงกล้าว่าอะไรหนอรออยู่ตรงนั้น”
“ดิฉันก้าวไปจนสุดหัวมุม แล้วดิฉันก็เห็นกับตา โอ้...พระเจ้า...ดิฉันแทบเป็นลม❗ เจอแล้ว❗ แสงสว่างที่ใหญ่ไพศาลที่สุด สุกสว่างเรื่องรองที่สุด สวยที่สุดเลยที่เคยเห็นมาในชีวิต❗ เป็นลูกกลมใหญ่อลังการสว่างโชติช่วงเหมือนพระอาทิตย์เลยแต่เป็นแสงสีขาวบริสุทธิ์ สุกสว่างแต่ก็มองเห็นได้ด้วยพร้อมๆกัน เป็นไปได้ยังกัน❓ (ประโยคหลังๆ ดิฉันเขียนเป็นปัจจุบันกาล ก็เพราะดวงวิญญาณของดิฉันรู้ดีว่าแสงล้ำค่านี้ยังอยู่เสมอเพื่อเราทุกคน)”
“ตอนนั้นดิฉันก็นึกกลัวเหมือนกันแต่ก็อยากเข้าไปหาแสงนั้นจนห้ามใจไม่ไหว ตัวเองก็ยังถือตะเกียงไว้กับตัวขณะที่พยายามเดินทะลุแสงที่อยู่ตรงหน้าที่ส่องประกายสวยสดงดงามมาก ดิฉันต้องเข้าไปให้ได้ รู้ให้ได้ว่าอะไรอยู่ข้างในกันแน่ ดิฉันอยากเข้าไปอยู่ในแสงนั้นจังเลย❗ ดิฉันแยกได้เลยว่าแสงนั้นมีกระแสความเป็นเพศชายอยู่ทั่วบรรยากาศ...”
“ดิฉันเกือบจะเข้าไปได้แล้ว แต่แล้วก็มีเสียงดังก้องในหัวว่า อย่านะ...เธอก้าวล้ำแสงนี้ไปไม่ได้❗ ดิฉันยังจำพลังของเสียงได้จนถึงวันนี้ เป็นเสียง ผู้ชายวัยยังเป็นเด็กหนุ่ม แต่ไม่เห็นจะมีใครเลย...”
“มีรั้วล่องหนกั้นดิฉันไว้ไม่ให้เข้าไปในแสง ทันทีที่ได้ยินเสียง ก็เหมือนมีใครมาผลักอกให้ดิฉันถอยหลัง ลอยหมุนวนกลับเข้าไปทางอุโมงค์ใหม่...ทันใดนั้นอุโมงค์ก็กลับกลายเป็นบ่อน้ำอีกครั้ง แล้วดิฉันก็ร่วงลงในบ่อแบบย้อนกลับ ลอยออกมารวดเร็วมาก เห็นท้องฟ้า เห็นท้องทุ่ง แล้วกลับมารู้สึกตัวตรงที่เดิม ข้างในตัวฉันมันเหมือนระเบิดออก เจ็บจี๊ดเลยค่ะ อย่างกับว่าดวงวิญญาณของดิฉันกลับเข้าร่างกะทันหันอย่างนั้นเลย วิญญาณกลับมาก็เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ล่วงล้ำแสงนั้น...”
พอถึงตรงนี้เธอก็ลืมตาขึ้น
“แปลกใจมาก...พระท่านยังบรรยายถึงทุ่งและดอกไม้อยู่เลย เพื่อนนักเรียนก็ยังนอนกันนิ่งตายยังหลับกันหมดเลย ไม่มีใครรู้เห็นการที่ดิฉันกลับเข้าร่างเลยค่ะ”
เธออึ้งไปกับประสบการณ์ที่เจอและกลัวจนไม่กล้าบอกใคร เธอเฝ้าเก็บประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้เห็นลำแสงไว้กับตัวเป็นความลับสุดยอด
𝟭𝟮 ปีต่อมาเธอเกิดไปอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ที่มีเด็กหญิงวัย 𝟰 ขวบคนหนึ่งพบประสบการณ์ตายแล้วฟื้น เธอเล่าว่าอ่านเรื่องนี้แล้ว “รู้สึกตื้นตันไปด้วยความสุขจริงๆ” เพราะเธอได้รู้แล้วว่าแม่หนูก้าวผ่านแสงเข้าไปได้เพราะเด็กน้อยตายไปชั่วขณะ
“ดิฉันร้องไห้โฮเลยค่ะ ดิฉันไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายอีกต่อไปแล้ว แสงนั้นไม่ใช่ดิฉันฝันเพ้อเจ้อไปเองอีกต่อไปด้วย”
“ดิฉันไม่เคยรู้สึกถึงความรักความสงบสุข และรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์สุดใจแห่งแสงนั้นของดิฉันอีกเลยค่ะ เอาของอะไรในโลกของกายเนื้อมาเทียบค่ากันไม่ได้เลย ดิฉันแสนอาลัยแสงนั้นจริงๆ”
ปัจจุบันคุณเธอผู้นี้ทำงานในโรงพยาบาลช่วยคนป่วยที่กำลังจะหมดวาระ แนะทางให้พวกเขาหลุดพ้นไปสู่ภพแห่งวิญญาณอย่างหมดห่วง เธอได้ช่วยปลอบใจ ให้ความมั่นใจกับพวกเขาได้ก็เพราะเธอเจอประสบการณ์นี้กับตัวเอง น่าสนใจมากครับที่เธอเองก็ได้รู้เห็นปรากฏการณ์แบบเดียวกับที่น้องชายคนเล็กของผม ปีเตอร์ กับภรรยาของเขา บาร์บรา ที่เป็นนักวิทยาเนื้องอก (𝗢𝗻𝗰𝗼𝗹𝗼𝗴𝗶𝘀𝘁) ได้เจอจากบรรดาคนไข้ที่กำลังจะสิ้นลมอย่างที่เขียนเล่าไว้แล้วใน 𝗧𝗵𝗿𝗼𝘂𝗴𝗵 𝗧𝗶𝗺𝗲 𝗶𝗻𝘁𝗼 𝗛𝗲𝗮𝗹𝗶𝗻𝗴 เลยครับ
เธอเล่าต่อว่า
“ดิฉันได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับคนไข้ที่กำลังจะหมดลม พวกเขา ‘เห็น’ พ่อแม่ เห็นสมาชิกครอบครัวที่เขารักมากมารับตัวไป หรือมาคอยรอรับอยู่ ณ ปรภพ คนไข้เหล่านี้บรรยายภาพที่เห็นให้ดิฉันฟังก่อนเขาจะจากไป คนไข้มีความสุขมากค่ะเวลาเห็นแม่ เห็นพ่อ หรือเห็นวิญญาณที่สวยงามยิ้มรับเขาอยู่...ดิฉันรู้เลยค่ะว่าพวกเขาจะมีความสุข กับแสงมากเพียงไหน”
“ดิฉันอยากให้...จริงๆแล้วคนเราเองก็อยากจะให้มีการบอกกล่าวให้ได้รู้มากกว่านี้ว่าจะดูแลและช่วยเหลือคนที่กำลังจะตายอย่างไร เพราะว่าแสงมีจริง เรามาจากแสงและจะกลับไปสู่แสงนั้น ด้วยความรักและความสุขที่ดิฉันได้รู้สึกเต็มๆจากแสงของดิฉันและจากที่ได้รับรู้จากคนไข้ แล้ว...ดิฉันรู้แล้วว่าความรักไม่ได้จบสิ้นลงที่วันตาย...”
เธอพูดถูกจริงๆครับ แสงสว่างและความรักไม่มีวันดับจริงๆหรอก ทั้งสองต่างร้อยรัดผูกพันกันไว้อย่างแนบแน่นไร้ที่สิ้นสุด
จากความรู้ที่ผสมผสานมาได้จากอภิวิญญาณท่านถ่ายทอดสู่ผมนั้น ประสบการณ์หลังความตายเองก็ใกล้เคียงกันมากครับ เราจะ ไปหาแสงและได้รับความรู้สึกแสนสบายแบบเดียวกันเลย ได้รับความรัก ความสันติสุขอันปลอบประโลมใจตรงกัน ข้อที่แตกต่างกันมีเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากพบแสง ราย 𝗡𝗗𝗘 เขาจะกลับคืนสู่ร่าง ราย 𝗔𝗗𝗘 ดวงวิญญาณจะไปต่อไปและยังต้องเรียนรู้อีกมากจากอีกฟากหนึ่งของภพในสวรรค์ จนกว่าจะกลับคืนสู่โลกผ่านร่างของทารกน้อย กลับชาติมาเกิดอีกครั้งในรูปสังขารหากว่าเขาจำเป็นต้องกลับมาเกิดหรือนั่นคือหนทางที่เลือกแล้ว
ไม่นานมานี้เองเพิ่งจะมีรายงานแจ้งว่ามีคนเจอประสบการณ์ร้ายในอาการตายแล้วฟื้น ผมเข้าไปสอบสวนเรื่องพวกนี้เองก็พบว่าที่เจอ 𝗡𝗗𝗘 แบบร้ายไม่ใช่ 𝗡𝗗𝗘 แท้ แต่เป็นการที่บุคคลคนนั้นบาดเจ็บอยู่แล้วประสบกับภาวะจิตขึ้นลงระหว่างความเจ็บปวด เขาหรือเธอแทบไม่รู้ตัวว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นจริงๆในระหว่างที่จิตรับรู้อยู่ในภาวะครึ่งๆกลางๆ ผมไม่ได้ฟันธงว่า 𝗡𝗗𝗘 แบบลบไม่มีจริง เพียงแค่กล่าวไว้ว่ากรณีแบบนี้มีรายงานมาน้อยมาก และบางรายในจำนวนน้อยรายนี้ก็ไม่มีน้ำหนักพอ
ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งครับ ผมเคยย้อนจิตตำรวจท่านหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เขาบรรยาย 𝗡𝗗𝗘 ที่ “เลวร้าย” มาก ว่าตัวของเขาทั้งโดนผลัก โดนแทง โดนเสียบด้วยวิญญาณที่ประสงค์ร้าย ความจริงคือ พอย้อนจิตไปเรื่อยๆก็พิสูจน์ได้ว่าเขาครึ่งสลบครึ่งตื่น ระหว่างถูกหามขึ้นรถพยาบาลไปที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ระหว่างทางหน่วยกู้ชีพกำลังช่วยปฐมพยาบาลฉุกเฉิน เสียบเข้มเข้าเส้นเลือดใหญ่เพื่อให้น้ำเกลือ ฉีดยาช่วยชีวิต วัดความดันเลือด หาทางช่วยเปิดช่องทางหายใจให้เขาอยู่เป็นพัลวัน เรื่องจริงที่เกิดขึ้นคือ "วิญญาณประสงค์ร้าย" นั้นคือหน่วยแพทย์กู้ชีพที่ช่วยชีวิตเขาไว้นั่นเอง
เมื่อคุณพบกับแสงสว่าง เท่ากับคุณจะได้พบความสงบสันติ ความสบายกายสบายใจและความรัก ไม่มีอะไรเลวร้ายเลยท่ามกลางประสบการณ์ที่แสนสวยงามนี้
🛑 นรกอเวจีใดๆผมไม่เคยพบพาน มีเพียงความไม่รู้หรืออวิชชา ที่มันจะหนาหรือบางต่างระดับกันเท่านั้น ความไม่รู้ยิ่งหนา แสงสว่างยิ่งน้อย ความชั่วนานาประการก็คือความไม่รู้อย่างชนิดมืดมนที่สุด ดับแสงสว่างลงสิ้นเชิง
(มีต่อ)
โฆษณา