16 ธ.ค. 2021 เวลา 03:38 • หนังสือ
✴️ บทที่ 9️⃣ จงพบแสงสว่าง ✴️ (ตอนที่ 2)
การได้พบคนมีชื่อเสียงหรือบุคคลที่มีสถานะสูงส่งระหว่างย้อนจิตสู่อดีตชาติหาแทบไม่ค่อยได้ เฮนรี่เป็นกรณียกเว้น ในชาติภพปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์สอนวิชาวิศวกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยใหญ่โตในมิดเวสเทิร์น ด้วยความเป็นคนที่มีเหตุผลมาก มีหลักมีเกณฑ์มากทั้งความคิดและการกระทำ เขาจึงเข้าเวิร์กชอปของผมแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก คือมาเป็นเพื่อนภรรยามากกว่าจะมาสัมมนาอย่างจริงจัง แต่ด้วยชะตาลิขิตบัญชามา เขาก็ยืนอยู่ต่อหน้าคนสองร้อยคน เป็นอาสาสมัครย้อนจิตเดี่ยวแบบไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่นัก
ในการทำเอ็กเซอร์ไซส์กลุ่มก่อนหน้านี้เขาเจอความทรงจำวัยเด็กที่จริงจังมาก เต็มเปี่ยมทั้งรายละเอียดและอารมณ์ เขาเต็มใจจะสำรวจให้ไกลกว่านั้นแล้ว
เฮนรี่เข้าถึงสภาวะสะกดจิตลึกมากอย่างที่คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึง ผมจำขึ้นใจเลยว่าจงอย่าตัดสินหนังสือจากการดูแค่หน้าปก แม้แต่วิศวกรก็สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เขาภวังค์ลึกมากเลยก็ได้
เขาเข้าลึกมากจนเกิดอาการจำไม่ได้เลย (𝗮𝗺𝗻𝗲𝘀𝗶𝗮) ทั้งกระบวนการย้อนจิตนั้น แต่ถ้าหากได้แนะสักนิด ประสบการณ์ที่เขาได้รับบางเลี้ยวก็กลับมาได้บ้างบางที โชคดีครับที่กระบวนการย้อนอดีตทั้งหมดได้บันทึกเทปไว้ เขาจึงได้ทบทวนทั้งหมดอีกครั้งหลังย้อนจิต
ความทรงจำวัยเด็กของเขาเปี่ยมด้วยรายละเอียดมากมาย ความทรงจำของเฮนรี่ในภวังค์สะกดจิตเข้มข้นและลึกล้ำยิ่งนัก
ขั้นแรกผมนำเขาย้อนไปสู่วัยเด็ก 𝟯 ขวบก่อน ตอนที่แม่ดุเขาที่ปราดเข้าไปตามลูกบอลซึ่งกระเด็นไปอยู่กลางถนน เขาเกือบโดนรถที่ผ่านมาชนเอา เขาสามารถรู้สึกถึงความโกรธของแม่และความโล่งใจของแม่ได้มากจนแปลบหัวอก และยังจำได้ว่าตัวเองมีปฏิกิริยาอย่างไรกับอารมณ์พลิกผันของแม่
แล้วเราก็เข้าไปสู่อดีตชาติ ความทรงจำเดิมไหลย้อนกลับมาสู่เขายามที่นั่งรวมจิตเป็นหนึ่งในภวังค์ลึก ไม่รับรู้กระแสคนดูนับร้อย ติดตรึงอยู่กับความจำเดิมที่จำได้ เขาเป็นนายพลในกองทัพแห่งโรม
ผมถามขึ้น หลังจากนำเขาเข้าสู่สภาวะที่ความทรงจำจากอดีตชาติจะปรากฏขึ้น “คุณรับรู้อะไรบ้างหรือเปล่าครับ❓”
“ได้” เขาตอบเร็วมาก “ผม...ผมอยู่ในสงคราม ผมสู้กัน เอ่อ...ผมแต่งตัวคล้ายนายทหารโรมัน ผมกำลังใส่ชุด...ผมใส่ชุดเหมือนนายพล...ผมอยู่กับทหารของผม กำลังรบ ผมมีพลขับรถศึก กับรถศึก...เรากำลังอยู่ใจกลางสมรภูมิ ผมกำลังขว้างหอก กำลังฆ่าคน แล้วเรา...เรากำลัง...ผมกำลังนำการรบอยู่...เรากำลังขับไล่คนพวกนี้...อีกกองทัพหนึ่ง...เหมือนกองทหารเยอรมัน ดูเหมือนเป็นกองทหารประเทศทางเหนือ...ให้ไป...เราขับไล่พวกเขาไปถึงแม่น้ำมีกำแพงสูงลิ่วอยู่อีกฟากแม่น้ำ...”
เฮนรี่ไม่ต้องใช้คำถามหรือคำแนะจากผมอีกแล้ว เขาพูดต่อไปเรื่อยๆ พูดเหมือนนายทหาร เรื่องกลยุทธ์การทำสงคราม
“ดูเหมือนวันนี้เราจะรบได้ดีมาก” เขาหวนกลับไปบรรยายลักษณะของตน
“ผมกำลังใส่ชุดเกราะ...หมวกเป็นสีบรอนซ์มีขนนกประดับ...มีหน้ากากครอบหน้าติดกับหมวก...บนอกมีเกราะเหล็กคาด...ชุดสั้นเหมือน...เกราะติดตั้งแต่เอวลงไปครึ่งหนึ่งจะถึงเข่า...”
“ตอนที่ผมขว้างหอกก็รู้ตัวว่ามีคนหนึ่งขว้างหอกใส่ผมเหมือนกัน แต่ผมไม่หวาดหวั่นเลย❗” เขาเสริมด้วยความแปลกใจที่ตัวเองไม่กลัวได้ถึงเพียงนี้
“หอกโดนผม ปักเข้าที่ตรงนี้” เขาบรรยายละเอียด ชี้ที่ท้องน้อยด้านขวา “ผมใส่เกราะใหม่เอี่ยม...ผมไม่กลัวหัวหอกที่เป็นหิน...และ...และ...หินฝนจนแหลม เกราะของผมแข็งกว่าหอกมากมายนัก”
“หลังจากนั้นผมก็ขับ...ผมคืนรถศึก...เราย้ายไปกองหลังเพราะไม่ต้องอยู่กลางสมรภูมิอีกแล้ว...เราปล่อยให้รบกันไป เราคอยดูศึกจากบนเนินเขา...ปลอดภัย...ออกัสตัส★ สั่งให้นายพลเข้ารบแต่ไม่จำเป็นต้องอยู่กับสนามรบ...โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังชนะศึกใหญ่”
★ 𝗔𝘂𝗴𝘂𝘀𝘁𝘂𝘀 จักรพรรดิองค์แรกแห่งกรุงโรม : ผู้แปล
ตอนนี้เขาเงียบงันไป แสดงว่าศึกครั้งนี้ชนะแล้ว ผมตัดสินใจพาเขาก้าวข้ามเวลาไปอีก ผมบอกให้เขาก้าวไปถึงวาระสุดท้ายของชีวิตชาติภพนี้เลย ความเงียบเข้าครอบคลุมต่อไปอีกชั่วขณะเขาจึงเริ่มพูดอีกครั้ง
“ผม...ผมเป็นเศรษฐีแล้วแม้จะเริ่มต้นจากเป็นแค่เด็กจนๆคนหนึ่งแต่ก็ได้เป็นเศรษฐี แล้วก็มีที่ดิน...ผมเห็นเสาเยอะมาก ผมอยู่ในสภาแผ่นดิน ผมใส่ชุดคลุมมีแถบคาดสีม่วง ผมเป็นวุฒิสมาชิก”
“งั้นคุณก็มีอำนาจสิครับ” ผมถาม
“ใช่...ใช่...ผมมีอำนาจอยู่บ้าง” เขาเล่าต่อ “แต่ไม่มากเท่ากับ ซี ซาร์ ผมแค่...ผมเกษียณแล้วตอนนี้...ผมไม่รบอีกต่อไปแล้ว... ผมแค่อยู่กับที่ดินในซิซิลี แล้วก็...แค่เลี้ยงแกะทำนา ผมเข้าพบซีซาร์นานทีปีหนตอนท่านเสด็จไซราคิวส์”
“คุณพร้อมจะจากชาติภพนี้มาหรือยังครับ...หรือว่ายังมีอย่างอื่นอีก❓”
“ผมเห็นตัวเองกำลังใกล้จะตาย” เขาตอบ “ผมแก่มากแล้วและ...ผมอยู่บนพื้นแข็งเหมือนๆเตียง...ผมเห็นคนรอบๆตัวเหมือนกำลังรีบ...รีบ...รีบ...ผมเหลือบตาขึ้นมองแต่หัวผมยังอยู่บนเตียง...ผมเห็นเมียผม...แล้วก็ตาย” เขาเงียบนิ่งไป
“คุณรู้สึกอะไรบ้างครับจากนั้น” ผมหยอดคำถาม
“ผมเห็น...เห็นตัวเอง...ผมเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง ผมเห็นตัวเองกำลังมองลงมาที่ห้อง ผมดีใจ...ผมมีความสุขและดีใจ ผมเห็นตัวเองด้วย”
“มีเสียงเรียก...หรือมีใครสักคนเรียกผมอยู่...แล้วก็เห็นแสงสว่างสีเหลืองสุกใส...แสงสีเหลือง แสงแรงมากๆ ผมมองทะลุแสงไม่ได้...มีเสียงในแสงนั้นกำลังเรียกผม ผมเลยเดินเข้าไปหาแสงนั้น...”
“พอเข้าไปอยู่ในแสงแล้วรู้สึกอบอุ่นมากๆเลย เหมือนมีพลังงานอันอุ่นซ่านล้อมรอบตัวเราไปหมด รู้สึกสบายมากเลย รู้สึกเหมือนอากาศดี...อากาศในอุดมคติเลยครับ ผมยังใส่ชุดวุฒิสมาชิกอยู่...แต่ผมกลับหนุ่มขึ้น...เป็นหนุ่มใหม่อีกครั้ง” เขาหยุดพูดอีกครั้งหนึ่ง
“มีอะไรที่คุณจะบอกให้เราฟังจากภาวะนี้อีกไหมครับ❓” ผมถาม
เขาตอบช้าๆ “ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น...ผมไม่รู้...ผมไม่รู้...เป็นเรื่องสุดท้ายที่จำได้ตอนนี้”
ผมจึงนำเฮนรี่กลับออกมาจากภวังค์สะกดจิตลึก
“รู้สึกอย่างไรบ้างครับ” ผมถามเขา
“รู้สึกดีครับ” เขาตอบผม “เราจะเริ่มสะกดจิตได้แล้วใช่ไหมครับ” ความจำสุดท้ายที่เฮนรี่จำได้คือตอนที่ผมเริ่มสะกดจิตเขาเมื่อ 𝟰𝟱 นาทีก่อนหน้านี้เอง
หนึ่งอาทิตย์หลังจากประสบการณ์ย้อนอดีต เพื่อนสนิทของเฮนรี่บอกผมว่าเฮนรี่รู้สึกดีมาก การย้อนอดีตนำความสงบสันติและความสุขมาให้เขาอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย อย่างน้อยก็ในชีวิตชาติภพนี้
🌈 ผมยิ้ม บรรดาความกลัวหายวับไปสิ้นยามที่คุณได้รับการเตือนความจำแบบลึกซึ้งและตรงที่สุดให้รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ในตัวคุณ ความเป็นอมตะที่เป็นของคุณ เฮนรี่ไม่ลังเลสงสัยเลยว่าเขาเคยอยู่ในโรมหลายศตวรรษล่วงมาแล้ว แต่ยิ่งกว่าที่เราจำความจำเดิมจากชาติภพในอดีตได้ คือ เมื่อคนเราจำแสงที่เราได้พบภายหลังจากเราละสังขารไป ความกลัวใช่แต่จะสลายหายไปเลยเท่านั้น แต่กลับได้ความรู้สึกปีติสุขและสบายจนเหมือนหลุดพ้นที่ท่วมท้นจนตื้นตัน แสงนี้เปี่ยมล้นด้วยความรักจริงๆ แสง ช่วยหล่อเลี้ยงบำรุงดวงวิญญาณของเรา เฮนรี่สัมผัสกับแสงนี้เอง
แสงของเขาเป็นสีเหลือง บางครั้งผมได้ยินคนเล่าว่าแสงมีสีทอง ในบางคราก็บอกว่าอธิบายไม่ถูกบรรยายไม่ได้ เพราะมีสีทุกสีผสมผสานกันอยู่ แต่ก็เปี่ยมด้วยรักและความสุขกายสุขใจเสมอมา
🛑 ความตายไม่ใช่อย่างที่พวกเราเคยเชื่อถือกันหรอกครับ ‘ความตาย’ คือ การสลัดกายเนื้อออกแล้วปล่อยให้ดวงวิญญาณอันเป็นอมตะก้าวไปข้างหน้าต่อไปสู่อีกภพหนึ่งต่างหาก ด้วยเหตุนี้ ความตายจึงไม่มี มีแต่ชีวิตกับความรักและแสงสว่างนี้ หรือก็คือการถ่ายทอดความรักอันเป็นสากลจักรวาล ไร้ซึ่งกาลเวลา ความรักที่โอบล้อมเราทั้งปวงเอาไว้ด้วยกันนั่นเอง
. . .
บรรดานักค้นคว้าวิจัยเรื่อง 𝗡𝗗𝗘 อย่างเช่น ดร.เรย์มอนด์ มูดี้ กับ ดร.เอลิซาเบธ คูเบลอร์-รอส์ มักจะเอ่ยถึง “การพิจารณาชาติภพ - 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝗿𝗲𝘃𝗶𝗲𝘄 𝘀𝗲𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻” ให้ได้ยินบ่อยๆ
🛑 “การพิจารณาชาติภพ” คือ การที่มีวิญญาณทรงปัญญาและจิตเปี่ยมรักดวงหนึ่งหรือหลายดวงคอยช่วยเหลือเราให้ได้ทบทวนพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆนานาในชีวิตของเรา เรื่องที่เราต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษคือความสัมพันธ์ที่เรามี ว่าเราปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร
จากการค้นคว้าของผมเองกับคนไข้ที่จำวาระสิ้นใจในชาติที่แล้วได้ ก็พบว่าประสบการณ์การตายของทุกคนเหมือนกันหมด คือมีการพิจารณาชาติภพในวิถีที่เปี่ยมล้นด้วยความรัก ไม่มีการตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ใดๆเลย แต่เราก็ยังรู้สึกลึกถึงขั้วอารมณ์ทั้งของเราและของอีกฝ่าย เราจะได้เรียนรู้ในระดับที่ยิ่งใหญ่ลึกล้ำจริงๆ
ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าคุณได้เข้าไปช่วยผู้อื่นที่เขาตกทุกข์ได้ยากอย่างจริงใจแล้ว คุณก็จะรู้สึกได้ถึงความซาบซึ้งขอบคุณและความรักกลับมาหาตัวคุณจริงๆ
แต่ถ้าคุณทำใครเขาเจ็บ หรือทำร้ายใครไม่ว่าจะทางกายหรือทางอารมณ์ คุณก็จะได้รับรู้ถึงความโกรธแค้นและความปวดร้าวของคนคนนั้นเช่นกัน
เป็นโอกาสให้เรียนรู้ได้ประเสริฐอะไรเช่นนี้
✨ หลังจากนั้นแล้ว คุณกับคณะของคุณ ซึ่งกอปรไปด้วยวิญญาณชี้แนะที่เปี่ยมด้วยความรัก ทูตสวรรค์ และพระเบื้องบน รวมทั้งวิญญาณอื่นที่คอยช่วยเหลือคุณมาตลอดข้ามชาติภพข้ามกาลเวลาจะช่วยคุณวางแผนชีวิตชาติต่อไป เพื่อคุณจะได้แก้ไขความผิดพลาดที่คุณเคยกระทำพลาดมา ✨
เราต่างล้วนเติบโตเสมอและเรียนรู้ได้เสมอครับ
✨ เมื่อใดก็ตามที่เราไม่จำเป็นต้องกลับชาติมาเกิดใหม่อีกต่อไปแล้ว เมื่อเราได้เรียนรู้บทเรียนผ่านทุกบทแล้ว สะสางหนี้ติดค้างจนหมดสิ้นแล้ว เราก็จะได้รับโอกาสเลือก คือเลือกขออาสากลับมาเกิดเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษยชาติด้วยการอุทิศตนด้วยความรัก หรือจะขออยู่ในอีกฝั่งภพคอยช่วยเหลือจากสภาวะนั้นแทน ไม่ว่าจะกรณีไหนเราก็ยังคงเติบโตตามมิติของสวรรค์ไม่หยุดยั้งเช่นกัน ✨
(มีต่อ)
โฆษณา