12 มี.ค. 2022 เวลา 01:11 • ไลฟ์สไตล์
“การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คือ …​ ”
“ … ทีนี้เราเห็นปัญหาละ ถ้าชีวิตประกอบด้วยกายกับใจ ความรู้สึกนี้คือปัญหาทั้งหมดเลย ท่านบังคับให้มันกลับไปมีสภาพสักแต่เห็นได้มั้ย ?
ฟังดูเหมือนได้ แต่ถ้าท่านทำได้มันจะเกิดตัวตนตัวใหม่ขึ้นมา ที่เป็นตัวคอยบอก
สมมติว่าเห็นรูปแล้ว “สักแต่เห็นเว้ย” ใครพูด ? ทีนี้ มันจะซ้อนขึ้นมาอีกตัวนึง ทีนี้เริ่มซับซ้อนขึ้นละ
บางคนทำสำเร็จนึกว่าตัวเองจบ แต่มันกลายเป็นสักแต่เห็นภายใต้อำนาจของ “กู” อำนาจของวิญญานที่เข้มแข็งขึ้นอีกระดับนึง จึงไปผิดทางอีก
ทีนี้จะเห็นว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามเพื่อจะกลับไปอยู่ที่นี่(สภาพสักแต่ว่า)เนี่ย เราจะทำไม่สำเร็จสักทาง เราจะทำไม่สำเร็จสักทางเลย มันไม่ง่ายอย่างที่พูดหรอก จะบอกให้
วันไหนก็ตามที่คนเห็นความจริงที่ผมพยายามจะอธิบายให้ฟัง ต่อให้เรารู้ปัญหาทั้งหมดว่าเกิดที่ไหน แล้วเราพยายามจะเดินไปแก้ปัญหา เมื่อนั้นเราจะสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก เราจะสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ
แล้ววันไหนที่เดินตามมรรคจริง ๆ จนเข้าสู่ทางสายกลาง แล้วตัวตนทั้งหมดดับลง โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะถ้าเมื่อไรพยายามจะทำอะไรกับมันเนี่ย เมื่อนั้นก่อตัวตนตัวใหม่ทันที
แต่ถ้าจะมีคนที่ไปถึงจริง ๆ
“ดูก่อนโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติ พิจารณาโลกโดยความเป็นของว่างเถิด
จงถอนความตามเห็นว่าเป็นตัวตนเสีย จะพึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอาการอย่างนี้
บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น”
ทำไมพอถึงท่านโมฆราช พระพุทธเจ้าบอกว่าเธอจงมีสติมองโลกโดยความเป็นของว่าง เราทำได้ไหมล่ะ ?​
ถ้าเรามีสติมองโลกโดยความเป็นของว่าง เราจะมีตัวตนในการเข้าไปทำให้มันเป็นของว่าง แต่สำหรับท่านโมฆราช ทันทีที่ท่านวางตัวตนลง ท่านเห็นโลกเป็นของว่างเลย มันกลับข้างกัน
คนพยายามจะทำเพื่อให้ไปถึง
แต่การปฏิบัติธรรมที่แท้จริง เป็นการถอนการมุ่งมั่นที่จะกระทำ
มันจึงพูดยาก มันจึงไม่ใช่ศาสตร์ เพราะขณะที่เรากำลังก้าวเดินไปเพื่อจะเอาชนะ เราจะแพ้ เราจะก่อตัวตนทันที แต่เมื่อไหร่เราวางตัวตนลง เมื่อนั้นจะพบความจริง
ถ้าเมื่อไหร่เรารู้สึกว่า ทำไมเรา …​ เร่งขึ้นไปอีก ก็พังเลย
ทำไมพระอานนท์ก็ดีที่เดินจงกลมมาทั้งคืนแล้วไม่สำเร็จ “พอละ” วินาทีที่หมดบวก หมดลบ นั่นแหละ ถึงได้เข้าไปถึงความจริง
เพราะฉะนั้นวันนี้มีอยู่อย่างเดียว ทำไมผู้ที่ถึงธรรมจึงรู้แจ้งอริยสัจ ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติ ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติว่าเราจะทำยังไงให้ถึงซึ่งความหลุดพ้น ไม่มี
มีอย่างเดียวคือ แล้วทำไมผู้รู้แจ้งอริยสัจถึงได้หลุดพ้น
เพราะเขาเห็นความจริงที่เชื่อมโยงกันทั้งหมดว่า
ผลที่กำลังเกิดขึ้นมันมาจากเหตุ
เพราะฉะนั้นการเจริญมรรคทั้งหมด
เป็นการค่อย ๆ ไปตัดเหตุ ตัดเหตุ ตัดปัจจัย
ที่จะก่อให้ผลนี้กลายเป็นเหตุต่อไป
มันจึงเกิดการเข้าไปสู่จุดที่ เป็นความว่าง สงบ เย็น ว่ากันไป
มันไม่มีการกระทำให้อะไรไปเป็นอะไร
ดังนั้นเมื่อเราพอจะโฟกัสเข้ามาได้
๑ สิ่งที่เราทำ หยุดการปรุงแต่งความคิดซะ ด้วยการอยู่กับกายคตาสติ
ขณะที่เรากำลังคุยกับเพื่อนออกรสออกชาติ
นั่นคือ เราสร้างภพชาติแล้ว
ไอ้ออกรสออกชาติน่ะ เราสร้างชาติเรียบร้อย
เพราะฉะนั้นมนุษย์ทั้งหลายจึงแสวงหาความสุขใส่ตัว
นั่นคือแสวงหาตัณหาใส่เข้าไปเพิ่ม
จิตก็จะวิ่งไล่ล่าเสพความสุข เสพความสุข
เสพความเป็นตัวตนต่อไปเรื่อย ๆ
ไม่มีที่จบ ไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้นทำไมเราถึงมาหยุด
เราถึงมาอยู่สงบ เราถึงต้องอยู่คนเดียว
เราถึงต้องพรากออกจากเรือน
แล้วไม่พรากได้มั้ย
ก็ถ้าเขาเข้าใจความจริง มันก็ทำได้
แต่ในระดับต้น ๆ มันไม่ยาก
พอระดับเดินทางต่อไปมันยากขึ้น
แต่สำหรับวันนี้แม้จะระดับต้น ๆ ก็ยากสุดขีดเลย ถ้ายังอยู่นะ เนื่องจากว่าเหตุปัจจัยที่เข้ามารุมเร้าชีวิตนี้ ที่เข้ามาสอนจนคนโงหัวไม่ขึ้น คือราคะมากมายก่ายกอง
ราคะมากมายก่ายกอง ผมว่าท่านนึกออก …”
.
จากซีรีส์การบรรยายพิเศษ
ตอน ชีวิตของเรา
โดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๔
ณ สวนยินดีเกาะพะลวย จ.สุราษฏร์ธานี
รับฟังการบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา