23 ธ.ค. 2021 เวลา 04:07 • หนังสือ
✴️ บทที่ 🔟 ผู้เยียวยา ✴️ (ตอนที่ 4)
‘หลักจิตวิเคราะห์’ (𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝗮𝗻𝗮𝗹𝘆𝘀𝗶𝘀) กับ ‘หลักการบำบัดจิต’ (𝗣𝘀𝘆𝗰𝗵𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿𝗮𝗽𝗶𝗲𝘀) ที่เน้นแต่วิธีวิเคราะห์จิตอย่างเดียวกำลังพลิกผันถึงจุดอวสานของตัวเองเสียแล้ว เทคนิคกลายเป็นเรื่องพ้นสมัย ช้าและไม่มีประสิทธิภาพ ภาษาหรือก็ต้องตีความหลายชั้น เป็นทางการและเข้าไม่ถึง
จิตบำบัดทุกวันนี้ไม่มีเลือดไม่มีเนื้อเลย มีแต่โครงที่แห้งแล้ง แข็งทื่อเป็นเสาหินมีแต่ฝุ่นจับเท่านั้น มันเข้าถึงคนได้ไม่มากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเดียวยังเอาไม่ค่อยจะอยู่เลยครับ แล้วจำนวนแค่ไม่กี่คนที่เจาะเข้าไปถึง ด้วยวิธีการที่มันเหนื่อยหนักเชื่องช้าจนน่าปวดใจ แถมยังเหินห่างจากกันอีก มันก็เลยไม่พอ วิธีรักษาแบบเก่าคือพอหายจากโรคประสาทเรื่องนี้ก็ไปเจอเรื่องนั้นต่อเรื่อยไป การรักษาให้ “ภายนอกดูมีชีวิตอยู่ได้เป็นปกติ” กลายเป็นเครื่องวัดว่ารักษาได้สำเร็จ แทนที่จะวัดจากที่คนไข้เกิดสันติสุขภายในและพบความสุขหรือยัง ไม่มีการเปลี่ยนจิตเปลี่ยนชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนคนหนึ่งเปลี่ยนหรือสังคมเปลี่ยนทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดเลยว่าเศรษฐกิจกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ คนไม่มีเงินพอจะมาบำบัดกับคลินิกไหนก็ได้ครั้งละ 𝟱𝟬 นาที 𝟰-𝟲 ครั้งต่อสัปดาห์อีกแล้ว เรียกว่าห่างจากการรักษาถึง 𝟯-𝟭𝟱 ปีโน่นเลย ส่วนใหญ่แล้วแค่มาสัปดาห์ละครั้งยังหาเงินมาจ่ายค่าหมอไม่ได้เลย นโยบายประกันสุขภาพกลับยิ่งจำกัดการจ่ายค่าหมอหนักเข้าไปใหญ่
ฟรอยด์และศิษย์ของท่านได้สร้างคุณูปการที่สำคัญยิ่งที่ทำให้คนเราได้เข้าใจว่าเรามี ‘จิตไร้สำนึก’ (𝘂𝗻𝗰𝗼𝗻𝘀𝗰𝗶𝗼𝘂𝘀) ได้รู้จักว่ามีปมเรื่องเพศตั้งแต่วัยเด็ก และ ‘การวิเคราะห์ความฝัน’ (𝗱𝗿𝗲𝗮𝗺 𝗮𝗻𝗮𝗹𝘆𝘀𝗶𝘀) แต่การวิเคราะห์จิตช่างไร้รากเหง้าแห่งจิตวิญญาณเอาเสียจริง และไม่สามารถปลดปล่อยธรรมชาติแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์ออกมาได้ ตัวฟรอยด์เองอาจจะไม่ได้ถือว่าทฤษฎีของท่านเป็นเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ผู้สืบทอดวิชาของท่านต่างหากที่ตั้งทฤษฎีให้เป็นหินผาไปเสียแล้ว
ยุง (𝗝𝘂𝗻𝗴) ถือเป็นมาเวอริก-ปัจเจกชนอิสระและก้าวหน้ากว่ากาล ท่านเข้าใจเรื่องลึกลับ เรื่องจิตวิญญาณและอภิธรรมชาติ★ (𝘀𝘂𝗽𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹) ถ่องแท้ แต่ก็ถูกแวดล้อมไปด้วยบรรดาช่างสลักหินเต็มไปหมด
★ 𝗦𝘂𝗽𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹 มักจะแปลกันจนติดว่า "เหนือ...ธรรมชาติ" ซึ่งไม่ตรงเสียทีเดียว เพราะคำว่าเหนือควรจะเป็น 𝗽𝗮𝗿𝗮 มากกว่า คือพ้นเลยไปแล้ว ทำให้เราสับสนระหว่างคำว่า 𝘀𝘂𝗽𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹 กับ 𝗽𝗮𝗿𝗮𝗻𝗼𝗿𝗺𝗮𝗹 ว่ามันเหมือนกันหรือต่างกันตรงไหน พารานอร์มัลแปลตรงตัวว่า ‘เหนือปกติ’ ซึ่งก็คือประดา "เรื่องผิดปกติ" ทั้งหลายนั่นเอง เช่น 𝘅-𝗳𝗶𝗹𝗲 เป็นต้น
𝗦𝘂𝗽𝗲𝗿𝗻𝗮𝘁𝘂𝗿𝗮𝗹 ความหมายตรงตัวตามดิกชันนารีเว็บสเตอร์คือ "เรื่องที่อธิบายด้วยหลักธรรมชาติ ธรรมดาไม่ได้ แต่ต้องอธิบายด้วยหลักของพระเจ้า วิญญาณ และเวทมนตร์เท่านั้น คำนามจะหมายความว่า ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังลึกลับและวิญญาณ" ที่บอกว่าไม่ตรงก็เพราะเรื่องพระเจ้า, วิญญาณ ก็เป็นเรื่องธรรมชาตินั่นแหละ เพียงแต่ใช้หลักธรรมชาติพื้นๆที่เรียนมาให้คำตอบไม่ได้เพราะจนปัญญา ต้องใช้ธรรมชาติที่สูง ละเอียดซับซ้อนกว่านี้ คำว่า ‘อภิ’ จึงตรงความหมายที่สุดและตรงตามรากศัพท์ 𝗦𝘂𝗽𝗲𝗿 ด้วย หากใช้ภาษาโบราณก็คือ "อภินิหาร" นั่นเอง : ผู้แปล
ช่องโหว่ข้อใหญ่ข้อหนึ่งของการวิเคราะห์จิตและวิธีบำบัดจิตแบบเก่าที่อิงวิชานี้เหมือนกันคือแนวคิดว่าด้วยเรื่องการซ่อมแซมอีโก้ – ความเป็นอัตตาตัวตน อีโก้ก็คือ “ตัวเรา” เป็นหน้าที่สำคัญ เป็นส่วนหนึ่งของเราที่เข้าสังคม ที่ใช้ชีวิตประจำวัน มันเป็น 𝗺𝗶𝗻𝗱 หรือจิตปกติธรรมดาแบบ “จิตประจำวัน” นั่นเอง
“จิตประจำวัน” เป็นจิตที่มีตรรกะ คิดเป็นเหตุเป็นผล ต้องใช้การตัดสินใจ คิด จำ วางแผนไว้เพื่อพรุ่งนี้ ไว้คอยกลุ้มกับอนาคตและเศร้าซึมอยู่กับอดีต มันคอยตัดสิน คอยใส่ความคิดเข้าหัว คอยพิจารณาดูอดีต ตั้งคำถามแบบ “แต่ถ้าเกิดว่า...❓” และ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้า...❓”
เคราะห์กรรมจริงๆที่นักจิตบำบัดทุกวันนี้คอยแต่พยายามซ่อมแซมอีโก้ที่เสียหายอยู่นั่นแล้วไม่เลิกรา เขามองว่าอีโก้ของเราเป็นแผลเกิดจากการที่พ่อแม่ซึ่ง 𝗱𝘆𝘀𝗳𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝗮𝗹 – คือไม่ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ คอยเอาแต่ติเตียนลูกตลอดเวลา เกิดเป็นบาดแผลที่ชอกช้ำจิตใจตั้งแต่วัยเด็ก จากการมีข้อจำกัดทางกายภาพที่เลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่ยังเป็นทารก และอื่นๆอีกมากมาย นักจิตบำบัดเหล่านี้พยายามจะปลอบโยนอีโก้ ซ่อมแซมหรือส่งเสริมอีโก้ให้สูงขึ้นอีก ทั้งที่ในความจริงแล้วเราต้องเรียนรู้ที่จะหลุดพ้นจากอีโก้ให้ได้ต่างหาก
ถ้าทำอย่างนั้นเราต้องแย่แน่เลย❗ เราจะใช้ชีวิตและจะอยู่รอดได้อย่างไรถ้าเราคุมอีโก้ คุมจิตประจำวันไม่ได้น่ะ คำตอบเรียบง่ายอย่างยิ่งครับ ด้วยว่านักจิตบำบัดแผนเก่ายังยึดติดอยู่กับภาพลวงตาว่าการมีชีวิตได้ตามปกติ (𝗳𝘂𝗻𝗰𝘁𝗶𝗼𝗻𝗶𝗻𝗴) คือเป้าหมายสูงสุด ทั้งที่จริงๆแล้วสันติสุขภายในและความสุขใจต่างหากที่สำคัญกว่าเยอะ
หากแค่เราค่อยๆ ลดทอนความคิด ที่ผูกอยู่กับว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างไร จะเข้ากับสังคมที่ป่วยพอกันนี้ได้แค่ไหน ลดความอยากได้อยากมี ความกลัดกลุ้มกังวลแต่ว่าคนเขาจะคิดกับเราอย่างไร ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วเราก็จะค่อยๆสามารถเพิ่มพูนความสุขภายในได้เสียที
จิตของเรานี้แหละที่เป็นตัวติดกับดักอยู่ในอดีตและอนาคต เอาแต่กังวล เอาแต่วิเคราะห์ คิด จนอีโก้ของเรานี้เองเป็นตัวกั้นไม่ให้เราได้อยู่กับ ณ ปัจจุบันได้อย่างแท้จริง กีดกันเราไม่ให้ป่ายปืนพ้นจากนิสัยเก่าๆ สถานภาพเดิมๆเสียที เราจะเห็นทุกเรื่องราวอย่างที่มันเป็นจริง ณ ปัจจุบันได้อย่างไรเล่า ในเมื่อสภาพกับความคิดแบบอดีต อีกทั้งการคิดไปเองล่วงหน้า อคติผสมกับความลำเอียงมาคอยขวางทางอยู่เสียอย่างนี้❓ เราต้องคุมเจ้าอีโก้นี้ไว้ให้ได้เพื่อที่จะช่วยชีวิตตนเองและช่วยโลกของเราได้ในท้ายสุด
(มีต่อ)
โฆษณา