1 ม.ค. 2022 เวลา 14:27 • ปรัชญา
"มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง
ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง"
1
" ... ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่จะเน้นมาที่หลงคิด
จิตมันหลงไปคิดแล้วรู้ หลงไปคิดแล้วรู้
ดูได้บ่อย ยิ่งดูได้บ่อยสติยิ่งเกิดเร็ว สติยิ่งแข็งแรง
เพราะจิตมันจำสภาวะได้แม่น
พอมันเห็นบ่อยมันก็จำแม่น
ไม่เห็นจะเรื่องแปลกอะไรเลย
อย่างเราเห็นหน้าคนนี้บ่อยๆ เราก็จำได้แม่น
ญาติพี่น้องเราแท้ๆ 20 ปีแล้วไม่เคยเห็น
ไปเห็นเข้าจำไม่ได้
สภาวะท่านให้ดูเนืองๆ
สติปัฏฐานถึงบอกให้ดูสภาวะเนืองๆ
คอยดูไปเรื่อยๆ ดูบ่อยๆ แล้วสติเกิดเอง
พอสติเกิดระลึกรู้สภาวะถูกต้องตามความเป็นจริง
ทีแรกมันยังไม่ได้รู้สภาวะตามความเป็นจริงหรอก
สภาวะอะไรเกิด สติรู้ทันสมาธิจะเกิด จิตผู้รู้มันจะเกิด
พอมีจิตผู้รู้แล้ว สติระลึกรู้สภาวะ
คราวนี้จะเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว
สภาวะทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา นี่กระบวนการ
ฉะนั้นเราทำกรรมฐานอันหนึ่งที่เนื่องด้วยกายด้วยใจ
แล้วก็คอยรู้ทันมันไปเรื่อย
ร่างกายหายใจออก รู้สึก หายใจเข้ารู้สึก
ยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก
สุขก็รู้สึก ทุกข์ก็รู้สึก ดี ชั่ว รู้สึกไปเลย
1
พอรู้สึกๆๆ ต่อไปไม่ได้เจตนารู้สึก
พอสภาวะอันนั้นเกิดสติจะเกิดเอง
แล้วพอสติมันเกิดอัตโนมัติ สมาธิอัตโนมัติมันก็เกิด
มันจะเกิดมาทันทีเลย พอมีสติถูกต้อง มีสมาธิถูกต้อง
ต่อไปก็จะเกิดสภาวะที่หลวงพ่อพูดเรื่อยๆ
“มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง”
1
ตามความเป็นจริงนี้เกิดจากอะไร
เกิดจากจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
ฉะนั้นคีย์เวิร์ดจริงๆ คือ ให้เรามีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงไว้
คือหลักของวิปัสสนากรรมฐาน
แต่เราจะรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงได้
มีวลีที่เติมมาเพื่อขยายความ
ก็คือเราต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
“จิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” คือจิตที่มีสัมมาสมาธิ
1
สัมมาสมาธิ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
ถ้าเราไม่มีจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
เราระลึกรู้โน้นรู้นี้ไป ปัญญาไม่เกิดหรอก
ฉะนั้นต้องมีจิตที่ตั้งมั่นด้วย ค่อยๆ ฝึก
ทำสติปัฏฐานค่อยๆ ฟัง
ไปรีรันฟังหลายๆ รอบเดี๋ยวก็เข้าใจ
คงไม่โง่จนกระทั่งฟังไม่รู้เรื่องหรอก
1
มีคนมาส่งการบ้านอยู่เรื่อยๆ
มาบอกหลวงพ่อดูยูทูปนี่ล่ะ
ดูไปดูมาภาวนาได้ ภาวนาเป็น
บางคนก็บอกสงสัยจะได้มรรคผลแล้ว
จะได้มรรคผลหลวงพ่อบอกวิญญูชนก็รู้ด้วยตัวเอง
ดูซิจะได้มรรคผลจริงหรือสังเกตเอา
เวลาสังเกตจิตต้องเป็นสภาวะปกติ
ถ้าจิตทรงสมาธิอยู่สังเกตไม่ได้
อย่างจิตทรงอย่างนี้ มันจะไม่มีอะไรให้เราดูหรอก
กิเลสหยาบๆ อะไรไม่เกิดหรอก
แต่ถ้าจิตปกติอย่างนี้แล้วเห็นสภาวะไป แล้วมันจะรู้
อย่างถ้าเราคิดว่าภาวนาแล้วได้โสดาบัน
ตอนที่จิตใจเราปกติ กระทั่งจิตหลง
หลงๆๆ อยู่แล้วระลึกลงไป มันไม่มีเราหรอก
แล้วจิตของระดับพระสกทาคามี
ก็คล้ายๆ พระโสดาบันแต่ต่างกัน
ความต่างจริงๆ ก็ต่างเยอะ
จิตพระโสดาบันมันยังใกล้เคียงจิตปุถุชนอยู่
จิตพระสกทาคามีมันห่างโลกออกมาอีกชั้นหนึ่ง
แต่ยังไม่หลุดออกจากโลก
ยังเกาะเกี่ยวโลกอยู่นิดๆ หน่อยๆ
แล้วถึงขั้นที่สามจิตของพระอนาคามี
มันไม่เกาะเกี่ยวกับโลกแล้ว
ไปเกาะเกี่ยวกับโลกละเอียด
เกาะเกี่ยวกับรูปโลก อรูปโลกภายใน
ขั้นสุดท้ายจิตไม่เกาะอะไรเลย
ไม่เกาะกระทั่งฌานสมาบัติทั้งหลาย
รูปฌาน อรูปฌานอะไรไม่เกาะหรอก
ถ้าภาวนาแล้วจิตยังเกาะอยู่อย่างนี้ทั้งวันเลย
จิตไม่ไหลไปทางกามแล้ว แต่นี้ (หลวงพ่อทำท่าให้ดู)
ยังติดอยู่ในรูป อยู่ในรูปฌาน รูปภพ
แล้วส่วนใหญ่ของนักปฏิบัติมาจบลงตรงนี้
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกไม่ใช่หลวงพ่อบอก
ส่วนใหญ่ก็คือได้อนาคามีแล้วก็ติดอยู่ในรูปอย่างนี้
รูปฌาน ติดอยู่ในฌาน จิตก็นิ่ง ว่าง สว่างอยู่
ไม่ติดโลก ทำอย่างไรจิตก็ไม่เข้าไปจมอยู่กับโลกอีกแล้ว
วิญญูชนสังเกตเอา
ใช้ความสังเกตเอาก็จะรู้ด้วยตัวเอง. …"
1
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 ธันวาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา