6 ม.ค. 2022 เวลา 04:25 • ไลฟ์สไตล์
"สมุนไพรฝรั่ง" ที่ชอบเจอในจานอาหาร มีชื่อว่าอะไรกันบ้าง ?
ก่อนอื่นเลยพวกเราขออนุญาตกล่าว สวัสดีปีใหม่ 2022 กับเพื่อน ๆ ทุกท่านมาในโพสนี้ด้วยนะคร้าบ
วันหยุดปีใหม่ที่เพิ่งผ่านไป พวกเราก็ได้ไปทานอาหารเลี้ยงทั้งกับครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่โดยมากก็จะพากันไปทานอาหารฝรั่งซะส่วนใหญ่
ทานไปก็พลันสงสัยไปว่า เอ้อ ! เกือบทุกจานอาหารเนี่ย เขาจะต้องมีใส่ผักหรือเครื่องเทศสมุนไพร บ้างก็ประดับตกแต่งให้สวยงาม บ้างก็ใช้ปรุงเพื่อดับกลิ่นคาวของอาหาร หรือ ใช้โรยเพื่อเพิ่มรสชาติความอรอ่ยเนอะ (คือแม้กระทั่งไก่อบ ก็ยังมีผักสมุนไพรอบอยู่ด้วยเลย)
ผักหรือเครื่องเทศสมุนไพรบางอย่างก็คุ้นหน้าคุ้นตามาก แต่กลับนึกชื่อไม่ออกซะงั้น (มีแค่ออริกาโนที่เห็นปั้ป ก็รู้ทันที) ไม่พอนะ บางประเภทที่หน้าตาคล้ายกัน ก็ยังจำสลับกันอีก แห่ะ ๆ ..
งั้นในโพสนี้ พวกเรา InfoStory ก็เลยจะมาไขข้อสงสัยพร้อมหยิบยกตัวอย่างผักหรือเครื่องเทศสมุนไพรฝรั่ง มาเสิร์ฟให้เพื่อน ๆ รับชมกันกับภาพอินโฟกราฟิกสบายตาเช่นเคย
ขอให้ปีใหม่ 2022 นี้ เป็นปีที่งดงามและมีแต่รอยยิ้มสำหรับเพื่อน ๆ ให้มากกว่าปีที่แล้วนะคร้าบผม ^__^
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากอ่านเรื่องราวเพิ่มเติม เชิญทางนี้กันได้เลยย
โดยส่วนตัวจากการสังเกตในเบื้องต้น พืชสมุนไพรเครื่องเทศฝรั่งเนี่ย จะมีความแตกต่างในเรื่องของลักษณะอยู่พอสมควรเลย
แต่โดยสมุนไพรโดยส่วนใหญ่ที่เห็นกันจนชินตา จะมีความคล้ายคลึงกันซ่อนอยู่ 2 อย่าง (ในมุมมองของเรานะ)
1. ต้นกำเนิดที่ส่วนใหญ่จะมีรากฐานมาตั้งแต่ชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งถูกนำมาบริโภคต่อในช่วงสมัยชาวโรมันโบราณ ใช้เป็นยารักษาบ้าง ใช้ประกอบอาหารบ้าง ต่อเนื่องจนกลายเป็นวัฒนธรรมการทานอาหารของชาวยุโรปและตะวันออกกลาง (ยาวจนไปถึงการแพร่หลายไปสู่ทวีปอเมริกา)
และไม่ว่าสมุนไพรเหล่านี้จะมีลักษณะ สายพันธุ์ วงศ์ แตกต่างกัน
ก็จะมีความเหมือนกันที่เราพอจะสังเกตได้ชัดเจนก็คือ สมุนไพรเหล่านี้จะเติบโตได้ดีในแหล่งกำเนิดที่มาจากประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน และในแถบเอเชียที่มีอากาศอบอุ่น
มีหนังสือหลายเล่มมากกก ที่เล่าเรื่องการใช้ชีวิตของชาวอียิปต์โบราณกับสมุนไพร
2. พืชสมุนไพรฝรั่งที่นิยมนำมาปรุงอาหาร โดยส่วนใหญ่จะมาจากวงศ์เดียวกัน ซึ่งก็คือวงศ์กะเพรา (LAMIACEAE) ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ เป็นไม้พุ่มหรือไม้เถา ลำต้นเหลี่ยม เติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่น
ปล.ตรงนี้เป็นเพียงแค่การสังเกตของเราเองน้า
ทั้งนี้ทั้งนั้น พืชสมุนไพรอื่น ๆ ที่ไม่ได้หยิบยกมา อาจมีความแตกต่างออกไปอีกพอสมควรจ้า
จากจุดสังเกตตรงนี้ เลยทำให้เรานึกสงสัยขึ้นมาว่า
เอ้อ ! แล้วสมุนไพรฝรั่งชนิดแรกที่มนุษย์ค้นพบเนี่ย มันเมื่อไรกันนะ ?
โอเค ขอตอบจากแหล่งอ้างอิงในหนังสือ The Herb Book เขียนโดนคุณ John Lust (ฉบับปี 1974)
ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของการค้นพบสมุนไพรฝรั่งที่ใช้เป็นยา ปรุงอาหาร หรือ นำไปทำเป็นสีย้อมผ้า (จะเป็นพวก herbalism)
การค้นพบการใช้งานครั้งแรกที่ถูกบันทึกไว้ ก็จะเกิดขึ้นในช่วง 5,000-7,000 ปีก่อน โดยพบร่องรอบอารยธรรมและการใข้งานของกลุ่มชาวซูเมอร์ (หรือชาวสุเมเรียน) ซึ่งเป็นอารยธรรมโบราณและเขตบริเวณเมโสโปเตเมียตอนใต้
โดยพืชสมุนไพรชนิดแรก ๆ ที่ถูกค้นพบก็จะใช้เป็นยารักษาโรค เช่น ใบไธม์ ใบกระวาน
(ซึ่งพวกเราได้ค้นหาจนเจอบันทึกที่คาดการณ์เอาไว้ว่า นักโบราณคดี เขาได้เจาะลึกลงไปในร่องรอยของงานวิจัย ก็พบว่า ต้นกำเนิดของพืชสมุนไพรฝรั่งเหล่านี้ อาจกำเนิดมาตั้งแต่ 60,000 - 70,000 ปี หรือก็คือในช่วงบรรพบุรุษของชาวยุโรปหรือ มนุษย์โบราณนีแอนเดอร์ทาล กันเลยทีเดียว)
ใบไธม์
ใบกระวาน
งั้นพวกเราขอหยิบเรื่องราวสั้น ๆ สรุปเป็นไทมไลน์ให้เพื่อน ๆ อ่านกันเพลิน ๆ
- 5,000 ปีที่ผ่านมา ถูกพบร่องรอยการใช้งานเป็นยารักษาโรคของชาวซูเมอร์
- 4,000 ปีที่ผ่านมา ชาวจีนมีค้นพบและใช้งานสมุนไพรเหล่านี้ มามากกว่า 365 ชนิดเลยทีเดียว
- 3,000 ปีที่ผ่านมา สมุนไพรฝรั่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ทั้งเป็นยา ปรุงอาหาร และสีย้อมผ้าของชาวอียิปต์โบราณ
- 2,000 ปีที่ผ่านมา ชาวกรีกโบราณและโรมัน เริ่มรู้จักและใช้งานสมุนไพรฝรั่ง
ที่มากไปกว่าการใช้งานทั่วไป
คือ ชาวกรีกและโรมันโบราณ ก็ได้ใส่ความเชื่อทางศาสนาลงไปกับเครื่องเทศและพืชสมุนไพรเหล่านี้ ว่าเป็นของศักสิทธิ์ที่พระเจ้าประทานมาให้ หรือ นำมาใช้เฉลิมฉลองและบูชาพระเจ้า
จนมีตำราออกมาหลายเล่มเลยละ
- 600 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอินเดียเริ่มมีการบันทึกการใช้งานสมุนไพรมากถึง 700 ชนิด ในศาสตร์อายุรเวทหีรือระบบการแพทย์ดั้งเดิมของอินเดีย (ที่กำเนิดมาตั้งแต่ 3 พันปีก่อนแล้วละนะ)
- 400 ปีก่อนคริสตกาล ชาวกรีกก็ได้บันทึกการค้นพบสมุนไพรเหล่านี้ เพิ่มเติมมากถึง 500 ชนิด
จนมาถึงในยุคสมัยใหม่ที่สมุนไพรฝรั่ง เริ่มเป็นที่นิยมและรู้จักไปทั่วโลก
แต่ต่างตำราต่างชาติต่างภาษา มันก็จะเยอะแยะไปหมด
โดยหนังสือเล่มแรกที่มีการบันทึกถึงรายละเอียดของสมุนไพรในโลกเป็นภาษาอังกฤษ ก็มีชื่อว่า “Grete Herball” ซึ่งถูกเขียนและรวบรวมขึ้นในปี ค.ศ. 1526 แต่ไม่ระบุผู้เขียน..
แล้วค่อย ๆ พัฒนามาเป็นตำราสมุนไพรฝรั่ง ที่ปรากฎชื่อของผู้รวบรวม อย่างเช่น ตำรา “The Herball or General Historie of Plantes” เขียนเป็นภาษาอังกฤษโดย John Gerard ในปี ค.ศ. 1597
ตัวอย่างภาพของหนังสือ Grete Herball
ต้องบอกว่าสมุนไพรเหล่านี้ ถูกเขียนและเผยแพร่วิธีการใช้งานมาอย่างหลากหลายมากมายเลย
ไม่ว่าจะเป็นจากมือของชาวยุโรปแล้วเผยแพร่ไปยังอเมริกา
หรือจะมาจากทางฝั่งของอินเดีย (พวกศาสตร์แห่งอายุรเวท ที่มีการบันทึกประเภทของสมุนไพร)
หรือทางฝั่งเอเชียอย่างชาวจีน ที่บันทึกในเรื่องราวของการใช้รักษาโรค
จนไปถึงตำราของแม่มดชาวยุโรป อย่างเช่น The Green Witch หรือเป็นกลุ่มแม่มดสายเขียว (แต่สายเขียวในที่นี้ เขาไม่ได้นั่งสูดกัญชานะ) แต่เป็นกลุ่มแม่มดที่การฝึกฝนจะมุ่งเน้นไปทางธรรมชาติและเชื่อมต่อกับโลก
(จำได้ว่าเคยอ่านตำราสมุนไพรของกลุ่ม Wicca (Wicca Herbal Magic) ก็จะมีพูดถึงเรื่องของการปรุงยา เพื่อเสกคาถาสำหรับทำเวทมนตร์จากสมุนไพรเยอะแยะเลย อ่านเพลิน ๆ ดี)
เราไปหาอ่านในแอปScribd อ่านเพลินสนุกดีเป็นความรู้รอบตัว
โอโห..เยอะแยะมากเลย เครื่องเทศสมุนไพรเหล่านี้ ก็สร้างเรื่องราว สร้างอารยธรรมและวัฒนธรรมความเชื่อต่าง ๆ มากมายเลยทีเดียว
แต่สำหรับพวกเราแล้ว ขอแค่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หน้าตาแบบไหน และเหมาะกับใช้ทำอะไร… แค่นั้นก็เพียงพอแล้วละ อิอิ
ก็พอหอมปากหอมคอกับเรื่องราวเพิ่มเติม
งั้นพวกเราขอตัวไปเดินส่องสมุนไพรเหล่านี้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนดีกว่า !
แหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม
- หนังสือเรื่อง The Herb Book: The Most Complete Catalog of Herbs Ever Published เขียนโดย John Lust
- หนังสือเรื่อง The Green Witch: Your Complete Guide to the Natural Magic of Herbs, Flowers, Essential Oils เขียนโดย Arin Murphy-Hiscock
โฆษณา