Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
God Journey (การเดินทางของเหล่าพระเจ้า)
•
ติดตาม
10 ม.ค. 2022 เวลา 02:27 • หนังสือ
✴️ บทที่ 1️⃣3️⃣ สารอัศจรรย์ ✴️ (ตอนที่ 6)
ผมได้ไปนั่งเป็นผู้ชมรายการ มอรี โพวิชโชว์ ปลายเดือนสิงหาคม ปี 𝟭𝟵𝟵𝟳 ผมดูผู้เยียวยาและคนทรงชื่อก้องจากอังกฤษ โรสแมรี่ อัลเชีย บอกเล่ารายละเอียดที่เป็นเรื่องส่วนตัวและเจาะจงมากให้กลุ่มแขกรับเชิญที่กำลังเศร้าเสียใจกับการจากไปของญาติมิตรที่รัก แคโรลกับผมเดินทางมาที่นิวยอร์กซิตี้ และแวะทักทายโจนี่ อีแวนส์ เอเยนต์งานเขียนของผมก่อนหน้าวันบันทึกเทปรายการหนึ่งวัน โจนี่เป็นเอเยนต์ให้โรสแมรี่ด้วย เธอเลยเชิญเราสองคนนั่งดูรายการในหมู่คนดูเสียเลย ตัวโรสแมรี่เองไม่รู้เลยว่าเราจะไปนั่งชมด้วย
โรสแมรี่เป็นเจ้าของงานเขียน 𝗧𝗵𝗲 𝗘𝗮𝗴𝗹𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗧𝗵𝗲 𝗥𝗼𝘀𝗲 และ 𝗣𝗿𝗼𝘂𝗱 𝗦𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁 เธอเก่งมากเรื่องการถ่ายทอดสารจากปรภพเหมือน ซีเลีย และเจมส์ แวน ปราห์ เพื่อจะได้ใช้พรสวรรค์ที่ฟ้าประทานให้เพื่อยกระดับโลกนี้ เธอจึงก่อตั้งสมาคม 𝗥𝗼𝘀𝗲𝗺𝗮𝗿𝘆 𝗔𝗹𝘁𝗲𝗮 𝗔𝘀𝘀𝗼𝗰𝗶𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗼𝗳 𝗛𝗲𝗮𝗹𝗲𝗿𝘀 – สมาคมผู้เยียวยาโรสแมรี่ อัลเชีย หรือ 𝗥𝗔𝗔𝗛 เป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรที่ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ แม้ตัวผมเองจะชอบอ่านผลงานหนังสือของเธอมากและเคยดูเธอออกทีวีมาก่อน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้ดูงานของเธอแบบเจอตัวจริง เพราะผู้มีญาณหรือร่างทรงวิญญาณน้อยรายมากที่เก่งจริงแม่นยำจริงในสายงานของตัวเอง ผมเลยกระโดดเข้าใส่โอกาสที่ยื่นมาให้เลยทันที
เสียดายจริงๆที่ในวงการโทรทัศน์อเมริกาทุกเรื่องมันกลายเป็นการทดสอบไปเสียหมด โรสแมรี่ต้องบอกรายละเอียดชนิดแม่นยำเฉียบขาดเรื่องญาติมิตรที่ตายไปแล้วของแขกรับเชิญที่เธอเพิ่งมีโอกาสได้เจอหน้าเป็นครั้งแรก กลุ่มคนที่เธอไม่เคยรู้เรื่องราวชีวิตของพวกเขามาก่อนเลยสักเรื่อง แล้วต้องทำต่อหน้าคนดูในห้องส่งและออกโทรทัศน์อีกด้วย
ผมคิดว่านี่มันกดดันกันน่าดู เธอควรจะได้มีโอกาสพบปะกลุ่มคนที่มาออกรายการเป็นการส่วนตัวแบบไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิก่อนบ้างก็ยังดี แต่ตัวโรสแมรี่เองก็ไม่ได้ว่าอะไรที่เขาจัดมาให้แบบนี้ ส่วนตัวผมก็เข้าใจดีว่าโทรทัศน์อยากจะจับภาพปฏิกิริยาของคนดูแบบสดๆ ในใจผมเองเอาใจช่วยขอให้เธอทำได้ดีแม้จะมีอุปสรรคมากมาย รู้ดีว่านี่เป็นการประเมินความสามารถของเธอในเชิงวิทยาศาสตร์แบบไม่ยุติธรรมนัก
แต่โรสแมรี่กลับเอาชนะข้อจำกัดได้หมดแล้วให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแม่นยำจนน่าตกใจให้กับครอบครัวผู้ตายเรื่องแล้วเรื่องเล่า เธอได้ให้ความปลอบประโลมใจ คลายทุกข์ และความหวังแก่ครอบครัวเหล่านั้น ซึ่งคนดูเห็นกับตา คนดูทั้งห้องส่งได้ร่วมรับรู้ประสบการณ์อันยิ่งใหญ่และซึ้งใจนี้ไปตามๆกัน
แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมรู้จักสองคนที่ขึ้นเวทีกับโรสแมรี่ด้วย ราล์ฟ กับ แคธี โรบินสันเข้าอบรมสัมมนากับผมเมื่อปีที่แล้ว เราสามคนยังเคยนั่งคุยกันยืดยาวถึงโศกนาฏกรรมการตายของลูกชายวัยรุ่นของสามีภรรยาคู่นี้คือ ไรอันกันอยู่เลย ไรอันถูกเพื่อนยิงตายโดยไม่เจตนา
ไรอันกับเพื่อนกำลังอยู่ในงานปาร์ตี้ที่เพื่อนวัยรุ่นจัดสังสรรค์กัน ตอนที่เด็ก 𝟮 คนไปเจอปืนพกรัสเซียเข้า พวกเขานึกว่าปืนไม่ได้ใส่ลูกเพราะใส่เซฟแล้วขึ้นและดังคลิกอยู่เลย เด็ก 𝟮 คนเหนี่ยวไกดูหลายครั้งปืนก็ไม่มีลูก แต่ปรากฏว่าเซฟปืนเกิดปลดออกโดยบังเอิญ ในรังปืนเหลือกระสุนอยู่แค่นัดเดียวเท่านั้น ในคืนอันเยียบเย็นของเดือนตุลาที่เพิ่งผ่านวันเกิดของไรอันมาไม่กี่วัน ไรอันก็โดนยิงทะลุศีรษะตายคาที่
โลกของครอบครัวโรบินสันย่อยยับลงกับตา ทั้งสองสามีภรรยาโศกเศร้าหัวใจสลาย
ผมรู้รายละเอียดการตายของไรอัน รู้ข้อมูลเรื่องชีวิตอันแสนสั้นของเขาดี โรสแมรี่ที่ไม่เคยรู้อะไรมาก่อนเลยหันหน้าไปหาทั้งสองแล้วพูดเสียงดังมาก “ปัง❗ เขาพูดแต่ว่า ปัง❗” เธอยังบรรยายรายละเอียดถึงกลิ่นห้องตอนเกิดอุบัติเหตุสยองขวัญ แล้วเธอยังเพิ่มข้อมูลอีกหลายอย่างด้วย
พ่อแม่ของไรอันทั้งสองคนเป็นคนในวงสังคมระดับผู้ดีถึงกับอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้เลยว่าการที่พวกเขาได้เจอกับโรสแมรี่จะช่วยเยียวยาแผลใจให้พวกเขาได้ดีกว่าผมจะช่วยเขาได้แน่นอน
“เขาเซี้ยวมากเลยนะ” โรสแมรี่บรรยายถึงไรอันได้ถูกต้องแล้ว แต่ทำเอาคนเป็นแม่งงไปเลย คำว่า ‘เซี้ยว’ เป็นคำที่คนอังกฤษซอบใช้เรียกคนซุกซน ชอบแกล้งคนแต่เป็นแบบน่ารัก แล้วไรอันก็ตรงกับคำนี้ทุกอย่าง พอได้รับคำอธิบายแม่ของเขารีบพยักหน้าเห็นด้วยสุดจิตสุดใจ
สองสามวันต่อมา ราล์ฟก็เขียนจดหมายหาผมใจความว่า :
“ไม่ว่าทีมงานรายการจะเป็นคนให้ข้อมูลกับโรสแมรี่เรื่องที่เราเสียไรอันไป หรือจะเป็นเพราะเธอเก่งเหนือมนุษย์ก็ตามเถอะครับ แต่วิธีที่เธอปฏิบัติกับเราสองคนช่างงดงามเหลือเกิน เธอเข้ามาในห้องพักแขกก่อนถ่ายรายการ ได้พูดคุยกับเราแล้วบอกว่าวิธีทำงานของเธอเป็นแบบไหน พอถ่ายรายการเสร็จเธอยังอยู่กับกลุ่มของพวกเราต่อเพื่อดูให้แน่ใจว่าเราทุกคนรู้สึกเต็มอิ่มที่สุด...เรียงตัวเลย มันเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากเลยครับ แล้วเราสองคนก็ดีใจจริงๆที่ได้มาร่วมรายการด้วย”
การตายของไรอันกับประสบการณ์ที่ต้องผ่านพบเจอหลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นตัวก่อให้เกิดการเติบโตทางจิตวิญญาณ (𝘀𝗽𝗶𝗿𝗶𝘁𝘂𝗮𝗹 𝗴𝗿𝗼𝘄𝘁𝗵) อย่างมหาศาลในครอบครัวโรบินสัน ซึ่งต่อมาพวกเขาได้พัฒนาโครงการขึ้นเพื่อช่วยเหลือองค์กร 𝗖𝗼𝗺𝗽𝗮𝘀𝘀𝗶𝗼𝗻𝗮𝘁𝗲 𝗙𝗿𝗶𝗲𝗻𝗱𝘀 องค์การระดับชาติที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัวที่ประสบทุกข์จากการตายของคนใกล้ชิด
สำหรับผม ผมว่าไม่มีคำว่าบังเอิญ ครอบครัวโรบินสันได้เป็นฝ่ายให้แก่เพื่อนมนุษย์คนอื่นมามากมายแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่โรสแมรี่จะได้ให้บางสิ่งบางอย่างตอบแทนพวกเขาทั้งคู่บ้าง ส่วนตัวผมเอง ในฐานะคนที่ต้องหาสมดุลก็ต้องมาเป็นพยานเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ราล์ฟแนบบทกลอนที่ลูกชายเขาเป็นคนแต่งเองมาในจดหมายด้วย “เราสองคนไม่รู้เลยว่าลูกเคยเขียนกลอนจนกระทั่งเราค้นเจอสมุดบันทึกหลังจากที่แกตายจากไปแล้ว”
𝗙𝗼𝗹𝗹𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗶𝗻𝗱
จงมุ่งตามสายลมไปเถิด
𝗙𝗼𝗹𝗹𝗼𝘄 𝘁𝗵𝗲 𝘄𝗶𝗻𝗱
จงตามสายลม
𝗧𝗼 𝗼𝘁𝗵𝗲𝗿 𝘀𝗶𝗱𝗲𝘀
ไปสู่ภพหน้า
𝗧𝗵𝗮𝘁 𝗰𝗮𝗹𝗹 𝗳𝗼𝗿 𝘆𝗼𝘂
อันเพรียกหาแต่เจ้า
𝗖𝗮𝗻 𝘆𝗼𝘂 𝗰𝗮𝗽𝘁𝘂𝗿𝗲
เจ้าจะไขว่คว้ายึดชีวิต
𝗧𝗵𝗲 𝗹𝗶𝗳𝗲 𝘁𝗵𝗮𝘁 𝗵𝗮𝘀
ที่เจ้าเองยังไม่เคยใช้
𝗬𝗲𝘁 𝘁𝗼 𝗯𝗲 𝗹𝗶𝘃𝗲𝗱❓
ได้หรือเล่า❓
𝗧𝗵𝗮𝘁 𝘀𝘁𝗮𝗶𝗻𝗲𝗱 𝘀𝗼𝘂𝗹
ดวงวิญญาณอันแปดเปื้อน
𝗖𝗮𝗻 𝗯𝗲 𝗰𝗹𝗲𝗮𝗻𝗲𝗱
มีแต่ต้องใช้กาลเวลา
𝗪𝗶𝘁𝗵 𝘁𝗶𝗺𝗲 𝗮𝗻𝗱 𝗳𝗮𝗶𝘁𝗵
กับศรัทธาไปชำระเท่านั้น
𝗕𝘆 𝗥𝘆𝗮𝗻 𝗝. 𝗥𝗼𝗯𝗶𝘀𝗶𝗼𝗻
แต่งโดย ไรอัน เจ. โรบินสัน
จดหมายอีกหนึ่งฉบับ ราล์ฟเขียนมาว่า “ผมได้เรียนรู้กับตัวแล้วว่าการที่เรารักใคร จงบอกเขาไปเถอะว่ารัก มันสำคัญมากแค่ไหน เพราะคำว่าพรุ่งนี้ก็บอกได้ มันเป็นแค่ใจเราคิดไปเอง”
ระหว่างออกรายการเดียวกันนี้เอง โรสแมรี่ได้ฝากข้อคิดที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งเรื่องการฟัง เธอพูดเลยว่า พวกเราพากันขอกันเหลือเกิน ขอกับขออยู่นั่นแล้วว่าขอสารมาบอกที (𝗺𝗲𝘀𝘀𝗮𝗴𝗲𝘀) ขอสัญญาณมาให้ที (𝘀𝗶𝗴𝗻𝘀) ช่วยบอกลูกที แต่เรากลับหยุดแล้วใช้เวลาฟังกันน้อยนัก เราจะได้ยินได้อย่างไรเล่าถ้าเราไม่ยอมหยุดฟังกันเสียบ้าง เราต้องรู้จักมีขันติคือทนรอได้ และเราต้องหัดใส่ใจเป็นพิเศษยามที่เราได้รับสารจากเรื่องที่เราว่า “บังเอิญ"
จริงๆแล้วเป็นเรื่องธรรมชาติและปกติวิสัยมนุษย์ผู้ตั้งตารออย่างเราท่านที่อยากได้สัญญาณ “เดี๋ยวนี้” อยากได้รับสารตอนนี้ให้ทันอกทันใจ ▪️ทั้งที่การรู้จักฟังเป็นทักษะที่เราต้องใช้เวลาในการฝึกฝนพัฒนาให้ฟังจนเป็นให้ได้▪️
✨ เมื่อเราเริ่มฝึกฝนการเป็นคนเงียบให้เป็น ดิ่งเข้าหาภายในตัวเราเอง ใช้เวลาในการฟัง และสร้างโอกาสให้ตัวเองนิ่งฟังได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็จะได้ยิน แล้วเราถึงจะมองเห็นสัญญาณและรับข่าวสารได้สำเร็จ แล้วในตอนนั้นเองที่เราได้พัฒนาศิลปะอย่างหนึ่งไปด้วยในตัวที่ชื่อว่า ศิลปะแห่งขันติ การรู้จักอดกลั้นในการรอนั่นเอง ✨
(จบ — บทที่ 13)
หนังสือ
บันทึก
2
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
𝗠𝗲𝘀𝘀𝗮𝗴𝗲𝘀 𝗙𝗿𝗼𝗺 𝗧𝗵𝗲 𝗠𝗮𝘀𝘁𝗲𝗿𝘀
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย