22 ม.ค. 2022 เวลา 10:01
“โอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo)” ลัทธิ ศรัทธา ศาสดา และโลกาวินาศ
เช้าวันจันทร์ที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1995...
ผู้คนในมหานครอย่างโตเกียวต่างตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบตามปกติ...
พร้อมรู้สึกไม่ต่างกันว่าวันนี้ก็เป็นวันที่ธรรมดาๆ เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา...
หลายร้อยเท้าต่างพากันย่างกรายเข้าสู่สถานีรถไฟใต้ดิน...
โดยหารู้ไม่ว่าในเวลาไม่กี่นาทีต่อจากนี้ สถานที่ดังกล่าวจะอบอวลไปด้วยความตื่นตระหนก...
ความโกลาหล...
1
ความทรมาน...
1
ความกลัว...
1
และความตาย...
1
ทุกท่านครับ สภาวการณ์อันหฤโหดนี้ได้ก่อกำเนิดขึ้นภายใต้ความศรัทธาของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง...
ความศรัทธาของมนุษย์กลุ่มนั้นได้ผสานจากความเชื่ออันชวนพิศวง...
ซึ่งความเชื่อเหล่านั้นได้ถูกจุดโดยชายธรรมดาเพียงคนเดียว...
ชายที่ผู้คนนับหมื่นมองเห็นเขาเป็นศาสดาผู้มาปลดปล่อยทุกขโลก...
ชายผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้วิเศษ ผู้มีบุญ ผู้ร้าย และอาชญากร...
ชายผู้หลอมรวมความเชื่อและความศรัทธาพร้อมชักใยผู้คนให้สร้างโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น...
ภายใต้ชื่อลัทธิหรือองค์กรอันนับได้ว่าทรงอิทธิพลและยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1990...
"โอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo)”
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
ภาพจาก reddit
หากกล่าวถึงความเชื่อในประเทศเกาะเล็กๆ ทางตะวันออกของเอเชียอย่างญี่ปุ่นแล้วนั้น ความเชื่อที่เป็นกระแสหลักเลยก็คือ "ชินโต"
ไม่ว่าจะเป็นตำนานปรำปรา...
วัฒนธรรม...
ประวัติศาสตร์...
หรือแม้กระทั่งต้นกำเนิดของชนชาติญี่ปุ่น...
เหล่านี้ล้วนผูกโยงเข้ากับชินโต ซึ่งเป็นความเชื่อกระแสหลัก (รองลงมาจะเป็นพุทธ แต่ชินโตจะมีความเข้มข้นกว่ามาก)
ความเชื่อแบบชินโตของญี่ปุ่นเริ่มพีคในช่วงหลังปฏิวัติเมจิลากยาวไปจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลอมรวมให้คนญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นในตนเองว่า "ข้าคือชนชาติพิเศษที่สืบเชื้อสายจากเทพเจ้า"
ความเชื่อมั่นเหล่านี้ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมหลายเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
1
แต่ทว่า อย่างที่ทุกท่านได้ทราบกันดี ในท้ายที่สุดญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้ปราชัยในสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมถูกควบคุมและจัดระเบียบใหม่แทบยกแผงโดยผู้ชนะอย่างสหรัฐอเมริกา...
1
การเข้ามาเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นของสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงเปลี่ยนแค่การเมืองหรือการทหาร แต่กลับเปลี่ยนความเชื่อทั้งหมดของคนญี่ปุ่น
1
เทพเจ้า...
1
ชนชาติพิเศษ...
ความเชื่อเหล่านี้เริ่มดรอปและลดความสำคัญลงไปเมื่อญี่ปุ่นเริ่มหันหน้าเข้าสู่วงจรแห่งทุนนิยมตามแบบฉบับสหรัฐอเมริกา
อีกทั้งในช่วงหลังสงคราม เป็นช่วงเวลาที่ทรหดและยากลำบาก สภาวะจิตใจของคนญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้แพ้ย่อมย่ำแย่สุดๆ
การพยายามก่อร่างสร้างประเทศขึ้นใหม่จากซากปรักหักพัง...
สภาวะจิตใจอันมืดมนหลังสงคราม...
พร้อมความเชื่อหลักที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างชินโตได้หดหายไป...
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ได้ผลักดันให้คนญี่ปุ่นควานหาและสรรค์สร้างความเชื่อใหม่ที่จะช่วยเยียวยาจิตใจของตนเองขึ้นมา
กลายเป็นกระแสของสิ่งที่เรียกว่า "ลัทธิพิธี (Cult)" ซึ่งเริ่มผุดเป็นดอกเห็ดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนมาถึงปัจจุบัน
ซึ่งลัทธิพิธีเหล่านี้ มีทั้งเป็นลัทธิที่เยียวยา ยึดเหนี่ยว หรือแม้แต่แก้ปัญหาให้กับคนที่เชื่อได้จริงๆ...
และมีทั้งที่เป็นลัทธิแปลกประหลาด ต้มตุ๋น หรือแม้กระทั่งล้างสมอง
โดยในบรรดาลัทธิแปลกประหลาดทั้งมวลนั้น ชื่อของ "โอมชินริเกียว" เป็นชื่อที่โด่งดังและสร้างความหวาดผวาให้กับคนญี่ปุ่นมากที่สุด
ซึ่งผู้ที่ก่อกำเนิดเรื่องราวของโอมชินริเกียว เป็นเพียงชายธรรมดาคนหนึ่งนามว่า...
"ชิสูโอะ มัตสึโมโตะ"
ภาพจาก Japan Times (คนญี่ปุ่นได้ยินข่าวการยอมแพ้สงครามของญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2)
ภาพจาก Ranker (ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2)
คราวนี้เรามาทำความรู้จักกับชิสูโอะ มัตสึโมโตะคนนี้กันซักหน่อย...
ณ เมืองคุมาโมโตะบนเกาะคิวชู ชิสูโอะได้กำเนิดลืมตาดูโลกเมื่อ ค.ศ.1955 แต่คงจะเรียกว่าลืมต่าดูโลกได้ไม่เต็มปากเต็มคำซะทีเดียว เนื่องจากชิสูโอะเกิดมาในสภาพที่ตาข้างหนึ่งแทบจะมองไม่เห็น ส่วนตาอีกข้างคือบอดสนิท
ซึ่งเมื่อชิสูโอะอายุอานามได้ 5 ขวบ ก็ถูกส่งเข้าไปเรียนโรงเรียนสำหรับคนพิการทางสายตา และเรียนจบหลักสูตรเมื่อ ค.ศ.1975 ขณะที่ชิสูโอะอายุได้ประมาณ 16 ปี
3
ช่วงเวลาในวัยเด็กย่างเข้าวัยรุ่นของชิสูโอะค่อนข้างเป็นปริศนาครับ แต่หากเทียบช่วงเวลาแล้ว ชิสูโอะเกิดมาในช่วงหลังสงครามโลกที่สภาพสังคมกำลังย่ำแย่ และเติบโตในช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังดิ้นรนสร้างตนเองขึ้นมาใหม่ พร้อมๆกับการบูมของลัทธิพิธีที่กำลังผุดขึ้นมาทั่วญี่ปุ่น ผนวกกับความไม่สมประกอบของชิสูโอะ ที่อาจทำให้ชีวิตวัยเด็กที่เขาเติบโตขึ้นมามีความลำบากและไม่ค่อยแฮปปี้ซักเท่าไหร่...
1
ระหว่างที่เรียนอยู่โรงเรียนคนพิการทางสายตา ชิซูโอะมีความใฝ่ฝันอย่างเต็มเปี่ยมที่จะสอบเข้าโทได ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งพอเรียนจบแล้วก็ใช้เวลาทุ่มเทให้กับการสอบเต็มที่...
1
แต่ทว่า ชิซูโอะไม่ใช่คนที่เรียนเก่งหรือหัวดีอะไรมากมาย สอบยังไงก็สอบไม่ติด ทำให้ในท้ายที่สุดโทไดเป็นได้เพียงความฝันอันไกลเกินเอื้อม
ชิสูโอะจึงตัดสินใจทิ้งความฝันนั้นไว้ข้างหลังพร้อมเศษซากความผิดหวัง แล้วเบนหน้าไปเรียนการฝังเข็มและยาจีนแผนโบราณแทนในที่สุด...
1
ระหว่างการศึกษาเคล็ดวิชาการฝังเข็มและยาจีนนั้น ชิสูโอะก็ได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง คือ โทโมโกะ อิชิอิ ซึ่งทั้งคู่ก็เกิดปิ๊งกันจนตกลงปลงใจแต่งงานอย่างรวดเร็วใน ค.ศ.1978
ทั้งชิซูโอะและโทโมโกะได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่โตเกียว และคู่ข้าวใหม่ปลามันนี้ก็ได้เริ่มสนใจเรื่องราวของศาสนา จึงพากันเริ่มหันมาศึกษา พร้อมกับมีการเข้าร่วมกับลัทธิอะกอนชูที่อยู่ในโตเกียว ซึ่งเป็นลัทธิที่มีการสอนเรื่องการหลุดพ้นโดยการนั่งกรรมฐาน
1
ชิซูโอะหลงไหลในหลักคำสอนและการนั่งกรรมฐานของอะกอนชูมากและมีแนวคิดอยากเปิดสำนักเป็นของตัวเอง
ว่าแล้วชิซูโอะก็ได้ก่อตั้งสำนัก "โอมชินเซน โนไค (Aum Shinsen no-kai)" ซึ่งลอกเอาคำสอนและการปฏิบัติมาจากอะกอนซู
ระหว่างนั้นชิซูโอะก็มีการเปิดคลินิกฝังเข็มและร้านยาจีน (แต่เหมือนจะยังเรียนไม่จบ) ซึ่งชิซูโอะและโทโมโกะก็มีการขายการรักษาและยาที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้เว่อวังเกินจริง...
1
ด้วยบุคลิกส่วนตัวที่นิ่งๆสุขุม เป็นทั้งหมอ และเจ้าสำนัก ทำให้มีคนเลื่อมใสและหลงเชื่อในการรักษาและสรรพคุณยาของชิซูโอะจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวครับ!
1
และถึงแม้ในท้ายที่สุดจะโดนแฉใน ค.ศ.1984 แต่ชิซูโอะก็ได้เงินจากการโกงในครั้งนี้จำนวนมหาศาลพอตัว ซึ่งทั้งชิซูโอะและโทโมโกะก็ได้พากันหอบเงินเดินทางไปอินเดียและเนปาลพร้อมปลีกตัวไปปฏิบัติธรรมบนเขาหิมาลัย...
1
ไม่รู้ว่าระหว่างที่อยู่บนหิมาลัยกว่า 3 ปี ชิซูโอะได้ร่ำเรียนเคล็ดวิชารูปแบบไหนมาบ้าง แต่ใน ค.ศ.1987 เขาก็ได้กลับมาที่ญี่ปุ่นแล้วก่อตั้งสำนักทางความเชื่อขึ้นมาใหม่อีกครั้ง..
ซึ่งสำนักที่ว่านี้คือ "โอมชินริเกียว" นั่นเอง...
ภาพจาก The Independent (ชิสูโอะ มัตสึโมโตะ)
ภาพจาก Before After Aum (ชิซูโอะและโทโมโกะ)
หลังจากก่อตั้งโอมชินริเกียวขึ้นมา ชิซูโอะก็ต้องการที่จะชำระตัวตนเก่าและสร้างตัวตนแบบใหม่ขึ้นมา โดยการเปลี่ยนชื่อจาก "ชิซูโอะ มัตสึโมโตะ" เป็น "โชโก อาซาฮาร่า" (ตั้งแต่ตอนนี้ผมขอเรียกชื่อใหม่แล้วกันนะครับ)
1
แน่นอนว่าหลักคำสอนและการปฏิบัติหลักๆ ของโอมชินริเกียว ยังคงยึดตามแบบโอมชินเซน โนไค แต่มีการเพิ่มเติมโดยการนำแนวคิดพุทธ ฮินดู หรือแม้แต่คริสต์มายำรวมกัน
รวมถึงการสร้างให้ผู้นำอย่างโชโก อาซาฮาร่าเป็นศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ที่จะมาปลดปล่อยมวลมนุษยชาติ...
ซึ่งด้วยเครดิตจากสำนักเก่าที่ยังคงมีผู้ศรัทธาจำนวนไม่น้อย โอมชินริเกียวจึงเติบโตได้แบบไม่ยากเย็นอะไร...
อีกทั้งกลยุทธ์การหาผู้ศรัทธาใหม่ที่จะเจาะจงผู้ที่มีปมและปัญหาทางด้านจิตใจเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจเหมือนกันครับว่าสมาชิกที่เข้ามาศรัทธาโอมชินริเกียวนั้นมีทั้งหมอ วิศวะ นักวิชาการ อาจารย์ นักกฎหมาย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นระดับปัญญาชนแทบทั้งสิ้น (แต่แทบทุกคนมีปมปัญหาทางจิตใจ)
1
อีกทั้งในทศวรรษ 1980 ญี่ปุ่นเริ่มผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ต้องแลกคือความเหนื่อยล้าของผู้คนที่ต้องทำงานภายใต้ความกดดันและการแข่งขันสูงสุด ทำให้สภาวะจิตใจของหลายๆ คนเริ่มไม่มั่นคง
3
บ้างก็หาทางออกโดยการฆ่าตัวตาย...
บ้างก็หาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่สั่นคลอนนั้น...
และมีจำนวนมากที่หันหน้าเข้าหาศาสดาหน้าใหม่ไฟแรง ผู้มีคำพูดและบุคลิกอันน่าเลื่อมใสอย่างโชโก อาซาฮาร่า
ซึ่งตัวของโชโกผู้สำเร็จเคล็ดวิชาจากหิมาลัย ก็สามารถเจาะเข้าไปในจิตใจของผู้คนเหล่านี้จนสร้างความเชื่อและก่อเกิดความศรัทธาในตัวของโชโกและโอมชินริเกียวอย่างสุดหัวใจ...
ภาพจาก Kyoto News (เหล่าผู้ศรัทธาในโอมชินริเกียวและโชโก อาซาฮาร่า)
ภาพจาก Kyoto News (เหล่าผู้ศรัทธาในโอมชินริเกียวและโชโก อาซาฮาร่า)
โอมชินริเกียวสร้างผู้ศรัทธาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ขนาดของลัทธิมีการขยายตัวเป็นวงกว้าง...
ด้วยแรงศรัทธาจากศาสนิกแห่งโอม เงินบริจาคและทรัพย์สินก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้การจัดระบบลัทธิมีความเป็นองค์กรมากยิ่งขึ้น มีแผนกและสายงานที่แบ่งแยกอย่างชัดเจน...
1
อีกทั้งตัวของโชโกเริ่มที่จะสร้างสตอรี่และความแฟนตาซีให้กับตัวเองมากยิ่งขึ้น
ทั้งการที่โชโกมีพลังจิตที่กล้าแกร่งมาก สามารถลอยตัวในอากาศได้!
2
โชโกสามารถบำบัดและรักษาโรคภัยได้แทบทุกชนิด!
หรือแม้กระทั่งโชโกสามารถมองเห็นอนาคตได้!
ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าศาสนิกผู้ศรัทธาสามารถรับพลังจิตจากโชโกได้อีกด้วยครับ!
ซึ่งวิธีการมีอยู่หลากหลายวิธี ตั้งแต่การทำกรรมฐานตามฉบับโอมชินริเกียว...
การสวมหมวกเหล็กกระแสไฟฟ้าเพื่อสื่อสารรับพลังจากสมองของโชโก...
หรือแม้แต่การดื่มเลือด เหงื่อ อสุจิ สารคัดหลั่งทุกชนิด และน้ำที่โชโกอาบ เหล่านี้จะสามารถรับพลังจากศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ได้...
3
แต่แน่นอนครับ พลังอันยิ่งใหญ่นั้นมีมูลค่าที่สูงลิบลิ่วทีเดียว
เมื่อของเหลวในตัวของโชโกมีราคาเป็นหลักล้านเยน! ซึ่งมีผู้ศรัทธาหลายคนถึงขนาดยอมนำทรัพย์สินของตนเองมาแลก โดยบางคนแทบหมดสิ้นเนื้อประดาตัวเลยล่ะครับ...
แต่แรงศรัทธาต่อโชโกใช่ว่าจะลดน้อยถอยลง กลับกันจำนวนผู้ศรัทธาทยานขึ้นเป็นหลักหมื่นคนภายในระยะเวลา 2 ปี
และโอมชินริเกียวก็เริ่มส่งสมาชิกของตนเข้าไปแทรกซึมและควบคุมแทบทุกองคาพยพในญี่ปุ่น เพื่อควานหาผู้ศรัทธารายใหม่ที่จะมาร่วมอุดมคติและอุดมการณ์ของโชโกให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม...
ภาพจาก South China Morning Post (ภาพการลอยตัวในอากาศของโชโก อาซาฮาร่า ซึ่งเป็นที่ฮือฮาและทำให้คนเชื่อจริงๆ ว่าเขามีพลังวิเศษ)
ภาพจาก Nikkei Asia (การสวมหมวกกระแสไฟฟ้าเพื่อรับพลังจากโชโก)
มาถึงจุดนี้แล้ว เมื่อมีผู้ศรัทธา ก็ย่อมมีผู้ที่ต่อต้านครับ...
ซึ่งผู้ต่อต้านโอมชินริเกียวและโชโก อาซาฮาร่ามีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว...
มีการพยายามโจมตีว่าโชโก เป็นเพียงสิบแปดมงกุฏที่ต้มตุ๋นหลอกลวงเอาความศรัทธาของคนมาเป็นเครื่องมือในการหาเงิน
1
โดยในที่สุดก็มีทนายคนหนึ่งชื่อสึซึมิ ซากาโมโตะ ได้ทำการขุดคุ้ยเรื่องราวของโอมชินริเกียว
1
ซึ่งพอสืบและคุ้ยไปเรื่อยๆ สึซึมิก็เริ่มพบเรื่องราวอันไม่ชอบมาพากล
ไม่ว่าจะเป็นการบังคับคนให้เข้าเป็นสมาชิก ถึงขนาดมีการใช้กำลังอย่างรุนแรง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีสมาชิกบางส่วนที่เข้าร่วมกับโอมด้วยความไม่เต็มใจ...
3
ทั้งการรุมทำร้ายคนที่พยายามจะออกจากลัทธิ...
1
หรือคดีคนหายหลายคดีที่อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับโอมชินริเกียว...
คราวนี้แหละครับ ทำให้สึซึมิต้องการที่จะทลายโอมชินริเกียวให้ย่อยยับ
ซึ่งสิ่งแรกที่สึซึมิทำคือทำลายความศรัทธาของผู้คนที่มีต่อโชโก โดยการพยายามโน้มน้าวและท้าทายโชโกให้เอาเลือดไปตรวจเพื่อพิสูจน์ความพิเศษที่อยู่ในร่างกายของโชโก
1
แต่เหมือนสึซึมิจะประมาทโอมชินริเกียวมากเกินไป เพราะในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ.1989 สึซึมิ ซากาโมโตะ พร้อมภรรยาและลูกน้อยอายุ 14 เดือนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!
1
แน่นอนครับว่าตำรวจย่อมพุ่งเป้าไปที่โอมชินริเกียว แต่ทว่ากลับไม่พบหลักฐานใดๆ ที่จะสาวไปถึงโอมชินริเกียว...
เห็นได้ชัดเจนครับว่า ใครที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโอมชินริเกียวหรือโชโก อาซาฮาร่า ย่อมพบจุดจบที่ไม่สวยงามซักเท่าไหร่ (เรื่องราวของครอบครัวซากาโมโตะ ผมขอไปเฉลยในภายหลังนะครับว่าพวกเขาหายไปไหน)
อำนาจของโอมชินริเกียวเริ่มขยายกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ตัวของโชโกเริ่มเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ และเขาเริ่มคิดแล้วครับว่า "แค่ผู้ศรัทธาในญี่ปุ่นมันไม่พอหรอก เราต้องขยายความศรัทธาออกไปสู่ในระดับสากล!"
1
ว่าแล้วแนวคิดของโอมชินริเกียวก็มีการส่งออกไปสู่ต่างประเทศทั้งจีน เกาหลี หรือแม้กระทั่งรัสเซีย ว่ากันว่าในช่วงนี้มีศาสนิกผู้ศรัทธาในโอมชินริเกียวกว่า 40,000 คนเลยทีเดียว!
ผู้ศรัทธาต่อโอมที่ทวีคูณขึ้น ทำให้ตัวของโชโกเริ่มมีความมั่นใจและมีความทะเยอทะยานอยากก้าวขึ้นไปอีกขั้น โดยการตั้งพรรคการเมืองของตนเองชื่อว่า "ชินริโตะ" และส่งสมาชิกของโอมชินริเกียวลงเลือกตั้ง...
ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้ของโชโก มีจุดประสงค์คือต้องการกระจายคำสอนของโอมชินริเกียวสู่สาธารณชนให้ได้มากที่สุดอันจะนำไปสู่จุดหมายที่ยิ่งใหญ่ คือญี่ปุ่นทั้งประเทศจะต้องตกอยู่ภายใต้โอมชินริเกียวและโชโก อาซาฮาร่า
แต่ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว โอมชินริเกียวไม่ได้เป็นที่นิยมขนาดนั้น ผลการเลือกตั้งคือพรรคชินริโตะแพ้กระจุย ไม่มีสมาชิกคนใดของโอมชินริเกียวได้รับเลือกเข้าสู่สภา!
1
จุดนี้แหละครับ เป็นจุดที่สร้างความผิดหวังให้กับโชโกเป็นอย่างมาก และทำให้โอมชินริเกียวดำดิ่งลงสู่ด้านมืดแบบเต็มตัวจนเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม....
ภาพจาก Medium (การปราศรัยของโชโก อาซาฮาร่า)
ภาพจาก Medium (การหาเสียงของชินริโตะ)
หลังความพ่ายแพ้อันยับเยิน ในช่วง ค.ศ.1990 โชโกได้ทำการประกาศกับสาวกและสาธารณชนคนญี่ปุ่นว่า ตัวของเขาได้เดินทางไปยังอนาคตช่วง ค.ศ.2016 และได้พบว่ายุคสมัยนั้นได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้น และโชโกได้มีการพูดคุยกับผู้คนในยุคนั้นแล้วพบว่าตัวการที่ก่อสงครามและเป็นศัตรูสำคัญของญี่ปุ่นคือสหรัฐอเมริกา อีกทั้งโชโกยังพบว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 3 โลกจะเข้าสู่วันโลกาวินาศ!
และโชโกยังบอกอีกครับว่า สัญญาณของมหาสงครามและวันโลกาวินาศจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน ผู้ที่ศรัทธาและเชื่อมั่นในโอมชินริเกียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอด...
ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าสลดครับ เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1995 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่โกเบ คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 6,000 คน!
จากเหตุการณ์ครั้งนี้มีคนเริ่มย้อนคิดไปถึงคำพูดของโชโกเกี่ยวกับวันโลกาวินาศ จนผู้คนจำนวนไม่น้อยเริ่มเชื่อและศรัทธาในโอมชินริเกียวมากยิ่งกว่าเดิม!
โดยทางด้านโอมชินริเกียวที่ก่อนหน้านั้นมีการขยายสาขาไปต่างประเทศ ซึ่งสาขาเหล่านั้นก็ได้มีการติดต่ออย่างลับๆ กับองค์กรใต้ดินของรัสเซีย และทุ่มเงินซื้ออาวุธสงครามอย่างปืนกล รวมถึงอาวุธเคมีและอาวุธชีวภาพจำนวนมาก
อีกทั้งยังมีการสร้างที่หลบภัยจากอาวุธนิวเคลียร์ สงคราม และวันโลกาวินาศ...
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ผู้ที่เชื่อและศรัทธา ทางด้านผู้ที่ไม่เชื่อก็พากันโจมตีโชโกว่าลวงโลก เป็นผู้ร้ายที่ทำตัวเป็นผู้วิเศษ และโอมชินริเกียวก็ไม่ใช่ลัทธิอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นองค์กรก่อการร้ายที่อันตรายที่สุดในญี่ปุ่น!
เนื่องจากใน ค.ศ.1994 ก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ปล่อยแก๊สพิษที่อำเภอมัตสึโมโตะ จังหวัดนางาโนของญี่ปุ่น ซึ่งมีคนตาย 8 คน และได้รับผลกระทบจากแก๊สพิษกว่า 600 คน!
โดยได้มีการพบว่าแก๊สพิษในเหตุการณ์นี้คือ "ซาริน (Sarin)" ซึ่งเป็นของเหลวที่ไร้สีและกลิ่น เป็นอาวุธเคมีที่เริ่มใช้ในช่วงสงครามโลก
1
อาวุธมหากาฬนี้หากมีการสูดดมเข้าไป จะถูกทลวงทางเดินหายใจทำให้กล้ามเนื้อและปอดเป็นอัมพาตและตายได้ภายในเวลา 15 นาที หากล้างพิษไม่ทัน!
ซึ่งหลายคนได้พุ่งเป้าไปที่โอมชินริเกียวว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรมครั้งนี้...
1
แต่ทว่า ก็ยังไม่พบหลักฐานมากพอที่จะเอาผิดโอมชินริเกียวได้!
และหลังแผ่นดินไหวในโกเบเดือนมกราคม ค.ศ.1995 สาธารณชนเสียงแตกเป็น 2 ข้าง ระหว่างผู้ที่เชื่อในโอมชินริเกียวกับผู้ที่ต่อต้านโอมชินริเกียว
ซึ่งกระแสการต่อต้านเริ่มหนักหน่วง พร้อมๆกับมีการเริ่มขุดคุ้นการกระทำลวงโลกและด้านมืดของโอมชินริเกียว
และแล้วอาชญากรรมสะเทือนขวัญกลางกรุงโตเกียวก็เกิดขึ้น...
ภาพจาก Wall Street Journal (เหตุการณ์แก๊สซารินในมัตสึโมโตะ ค.ศ.1994)
ภาพจาก Storymap (แผ่นดินไหวที่โกเบ ค.ศ.1995)
ภาพจาก The Japan Times (แผ่นดินไหวที่โกเบ ค.ศ.1995)
เช้าวันจันทร์ที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1995...
ผู้คนในมหานครอย่างโตเกียวต่างตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบตามปกติ...
พร้อมรู้สึกไม่ต่างกันว่าวันนี้ก็เป็นวันที่ธรรมดาๆ เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา...
หลายร้อยเท้าต่างพากันย่างกรายเข้าสู่สถานีรถไฟใต้ดิน...
พร้อมคนธรรมดา 5 คน ที่ขึ้นขบวนรถไฟคนละสาย...
ทั้ง 5 คนนั้นได้ถือถุงที่ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้น...
พวกเขาทั้ง 5 วางถุงนั้นลง แล้วใช้ร่มเจาะถุงจนของเหลวปริศนาได้ไหลออกมา พร้อมหลบหนีออกจากรถไฟแล้วหายเข้ากลีบเมฆ...
ทิ้งของเหลวปริศนาซึ่งรู้ภายหลังว่าคือซารินเจิ่งนองอยู่บนพื้นรถไฟ แน่นอนครับว่าไม่มีใครซักคนที่สงสัยว่าของเหลวนั้นคือแก๊สพิษ เนื่องจากมันไร้ทั้งสีไร้ทั้งกลิ่น
และแล้วในเวลาไม่ถึง 10 นาที ผู้คนบนขบวนรถไฟทั้ง 5 สายก็เริ่มเกิดอาการ...
บ้างก็ล้มลงไปชักกระตุกกับพื้นอย่างรุนแรง...
บ้างก็นั่งน้ำลายฟูมปากอย่างน่าสยดสยอง...
บ้างก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด...
บัดนี้ ขบวนรถไฟทั้ง 5 อบอวลไปด้วยความตื่นตระหนก...
ความโกลาหล...
ความกลัว...
ความทรมาน...
และความตาย...
เมื่อรถไฟได้หยุดลง ผู้คนก็ต่างพากันวิ่งหนีออกมาจากรถไฟและพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากสถานีใต้ดิน ซึ่งผู้ที่ขึ้นมาแล้วก็ล้มลงกองบนถนนอย่างทุรนทุราย...
โศกนาฏกรรมในครั้งนี้มีคนตาย 13 คน และได้รับผลกระทบจากซารินกว่า 5,000 คน ซึ่งหลายคนไม่กี่ปีต่อมาก็เสียชีวิต และอีกหลายคนที่มีปัญหากับทางเดินหายใจต่อเนื่องไปตลอดชีวิต...
1
ภาพจาก Asia Nikkei (เหตุการณ์แก๊สซารินที่โตเกียว ค.ศ.1995)
ภาพจาก NPR (เหตุการณ์แก๊สซารินที่โตเกียว ค.ศ.1995)
ภาพจาก South China Morning Post (เหตุการณ์แก๊สซารินที่โตเกียว ค.ศ.1995)
ภาพจาก The Times (เหตุการณ์แก๊สซารินที่โตเกียว ค.ศ.1995)
ภาพจาก mainishi (เหยื่อจากเหตุการณ์แก๊สซารินในโตเกียว)
เหตุการณ์สะเทือนขวัญกลางมหานคร ทำให้ทั้งสื่อและตำรวจต่างเพ่งเล็งโอมชินริเกียวอย่างจริงจัง มีการบุกค้นสำนักของโอมชินริเกียวทั่วประเทศ ซึ่งปรากฏว่าพบสารเคมีต้องห้ามและสารอันตรายจำนวนมาก ทั้งโพแทสเซียมคลอไรด์ โซเดียมไซยาไนด์ วัตถุระเบิด บ่อเพาะเชื้อแบคทีเรีย และแน่นอนครับว่าพบซารินและสารประกอบที่ใช้ทำซาริน!
สมาชิกของโอมชินริเกียวถูกรวบตัวทันทีกว่า 200 คน รวมถึงมีการควานหาตัวโชโกแทบพลิกแผ่นดิน จนในที่สุดก็มีการตรวจค้นที่นามิกูอิชิซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการหลักของโอมชินริเกียว และพบโชโกซ่อนตัวอยู่ในผนังของห้องๆหนึ่ง...
ศาสดาอย่างโชโกและศาสนิกต่างถูกสอบสวนอย่างหนักหน่วง ซึ่งแน่นอนครับว่าโชโกย่อมปากแข็งและปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ทว่ามีศาสนิกจำนวนไม่น้อยที่สารภาพการกระทำทั้งหมดของโอมชินริเกียว!
1
ทั้งโศกนาฏกรรมแก๊สซารินในรถไฟใต้ดินโตเกียวและอำเภอมัตสึโมโตะ...
1
รวมถึงคดีคนหายหลายคดี โดยเฉพาะการหายตัวไปของครอบครัวซากาโมโตะซึ่งโอมชินริเกียวเป็นผู้กระทำเอง เพราะทนายสึซึมิขุดคุ้ยลัทธิพวกเขาจนเกินไป!
2
ซึ่งมีการสารภาพฉากฆาตกรรมอันหฤโหด ที่สมาชิกโอมชินริเกียวได้ลอบบุกเข้าไปในอพาร์ตเมนท์ของครอบครัวซากาโมโตะ ทุบศีรษะของสึซึมิพร้อมกับรุมซ้อมสึซึมิและภรรยาอย่างทารุณ แล้วทำการฉีดโพแทสเซียมคลอไรด์ใส่ลูกน้อยวัย 14 เดือนต่อหน้าต่อตาสึซึมิและภรรยา จากนั้นสมาชิกโอมก็ทำการรัดคอสองสามีภรรยา แล้วนำศพพ่อแม่ลูกใส่ถังละศพ แล้วนำไปซ่อนไว้ในสถานที่ที่แตกต่างกัน
1
โดยตำรวจก็ได้ติดตามจนค้นพบศพในสถานที่ทั้งสามและทำการตรวจสอบจนผลปรากฏว่าคือครอบครัวซากาโมโตะจริงๆ!
ในที่สุดโชโก อาซาฮาร่าและเหล่าผู้นำโอมชินริเกียวก็ได้ถูกตั้งข้อหาทั้งฆาตกรรม ลักพาตัว ทรมาน ต้มตุ๋น ทำร้ายร่างกาย ผลิตยาผิดกฎหมาย และมีอาวุธสงครามในครอบครอง...
1
ภาพจาก Time Magazine
ภาพจาก NHK.JP (เหล่าผู้นำโอมชินริเกียว)
ภาพจาก Mainichi (การจับกุมโชโก อาซาฮาร่า)
ภาพจาก Medium (ครอบครัวซากาโมโตะ)
หลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญและการบุกจับพร้อมเปิดโปงโอมชินริเกียว ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีการออกกฎหมายควบคุมเหล่าลัทธิพิธีอย่างเข้มงวด พร้อมมีการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของแต่ละลัทธิอยู่เสมอ
เหล่าผู้ก่ออาชญากรรมของโอมชินริเกียวต่างถูกจับกุม แต่อุดมการณ์และอุดมคติของลัทธิยังคงอยู่ภายใต้การนำของไรกะ มัตสึโมโตะซึ่งเป็นลูกสาวของโชโก แต่มีการเปลี่ยนชื่อลัทธิเป็น "อเลฟ (Aleph)" ซึ่งต้องการล้างตราบาปที่โอมชินริเกียวได้ทำเอาไว้ในอดีต และทั้งตำรวจและรัฐบาลสามารถตรวจสอบอเลฟได้ตามต้องการ...
คดีอาชญากรรมของโอมชินริเกียวได้ดำเนินไปอย่างล่าช้ากินระยะเวลายาวนานถึง 23 ปีเลยล่ะครับ!
แต่ท้ายที่สุดศาลก็ได้ตัดสินประหารชีวิตโชโก อาซาฮาร่า พร้อมเหล่าผู้นำอีก 6 คน อันได้แก่...
โยชิฮิโระ อิโนะอุเอะ
โทโมมิตสึ นีมิ
โทโมมาสะ นาคางาวะ
คิโยฮิเดะ ฮายากาวา
มาซามิ ทสึจิยะ
และเซอิจิ เอนโด
ทั้ง 7 คน ถูกแขวนคอในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ.2018 ซึ่งเป็นการปิดฉากศาสดาและลัทธิอันยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่นในทศวรรษ 1990 ในที่สุด...
ภาพจาก Al Jazeera (โชโก อาซาฮาร่าและเหล่าผู้นำที่ถูกแขวนคอ)
ปฏิเสธไม่ได้ทีเดียวครับว่า การที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีความศรัทธาในอะไรบางสิ่งบางอย่างเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ...
6
บางคนอาจเป็นศาสนา...
บางคนอาจเป็นลัทธิ...
บางคนเป็นอุดมการณ์บางอย่าง...
บางคนเป็นทุนนิยม...
1
บางคนเป็นประชาธิปไตย...
บางคนศรัทธาในตัวบุคคล...
หรือบางคนก็แค่เพียงศรัทธาในตัวเอง...
ความศรัทธาเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยึดมั่นหรือแม้กระทั่งเยียวยาจิตใจของมนุษย์...
แต่ทว่า หากความศรัทธาในอะไรก็แล้วแต่ที่มากจนเกินไป ย่อมส่งผลให้มนุษย์อาจมองข้ามเหตุและผลบางอย่าง จนถึงขั้นพร้อมที่จะสละทุกสิ่งเพื่อตอบสนองความศรัทธานั้น...
โชโก อาซาฮาร่าหรือชิสูโอะ มัตสึโมโตะ ผู้ซึ่งเป็นเพียงชายธรรมดาที่มีสายตาเกือบมืดบอด...
แต่ชายคนนี้กลับมองเห็นความหวั่นไหวในจิตใจของมนุษย์อย่างชัดเจน จนสามารถก่อเกิดและขับเคลื่อนความศรัทธาจากจิตใจอันอ่อนไหวนั้นไปสู่การสร้างโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่อันยากที่จะลืมเลือน...
และนี่ คือเรื่องราว “โอมชินริเกียว (Aum Shinrikyo)” ลัทธิ ศรัทธา ศาสดา และโลกาวินาศ
ภาพจาก The Japan Times (การไว้อาลัยเหยื่อผู้ล่วงลับในเหตุการณ์แก๊สซาริน
References
Lifton, Robert. Destroying the World to Save It : Aum Shinrikyo, Apocalyptic Violence, and the New Global Terrorism : Metropolitan Books, 2000.
Kimura, Rei. Aum Shinrikyo : Japan's Unholy Sect : Smashwords Edition, 2011.
Reader, Ian. Religious Violence in Contemporary Japan : Routledge, 2000.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา