13 ม.ค. 2022 เวลา 11:56 • การศึกษา

ที่พึ่งแห่งชีวิต

คำพยานของ คุณหมอศึกษา เทพอารีย์
เมื่อเรามองดูชีวิตของตัวเราเองในแต่ละวันแล้ว บางทีเราอาจจะพูดกับตัวเองว่าชีวิตนั้นน่าอภิรมย์จริง ๆ เพราะเราได้กิน ได้ดื่ม ได้ใช้ ได้เที่ยวเตร่ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากมาย ซึ่งเบื้องหลังคำพูดนี้ก็มาจากการที่เรามีความรู้สึกว่าชีวิตของเรามีความสุขดี
แต่ความเป็นจริงแล้ว วันพรุ่งนี้ของเราอาจจะไม่เป็นเหมือนกับวันนี้ของเราก็ได้ เพราะคนเราไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ใดใดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เลย บางคนอาจจะประสบกับอุบัติเหตุที่ร้ายแรง บางคนอาจจะพบกับการพลัดพรากจากคนที่เขารัก บางคนอาจจะมีความเจ็บป่วยที่ร้ายแรงเกิดขึ้นในชีวิตของเขาหรือคนในครอบครัวซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนกับมรสุมต่าง ๆ ที่พัดกระหน่ำเข้ามาในชีวิต
ถ้าเราต้องพบกับมรสุมเหล่านี้เราจะเผชิญกับมันได้อย่างไร? ใครจะเป็นผู้ที่ให้กำลังแก่เราและช่วยเราในการเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้...และใครสามารถที่จะเป็นที่พึ่งแห่งชีวิตและเป็นความหวังให้กับเราได้?
ต่อไปนี้เป็นคำพยานของคุณหมอท่านหนึ่ง ที่ท่านได้มีประสบการณ์กับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่ท่านได้ฝากชีวิตไว้กับบุคคลผู้หนึ่ง จึงทำให้ท่านสามารถที่จะเผชิญกับมรสุมที่เข้ามาในชีวิตของท่านอย่างมีกำลัง... บุคคลผู้นั้นก็คือพระเยซูคริสต์
คำพยานของ คุณหมอศึกษา เทพอารีย์
ผมเกิดในครอบครัวที่เป็นคริสเตียน แต่ในช่วงแรก ๆ นั้นชีวิตผมก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนทั่วไปนัก เพราะผมไม่ได้เคร่งครัดกับคำสอนที่ได้เรียนรู้มาเกี่ยวกับศาสนาคริสต์เลย
หลังจากที่ผมจบการศึกษามาแล้วผมได้เป็นทันตแพทย์ ซึ่งเป็นอาชีพที่สามารถสร้างชื่อเสียงและเงินทองให้กับผมได้อย่างมาก... เวลานั้นชีวิตของผมดูเหมือนว่าจะไปได้สวยและก็มีความสุข แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงสภาพภายนอกเท่านั้น เพราะถ้าดูถึงสภาพจิตวิญญาณในตอนนั้นแล้ว ก็เปรียบเหมือนกับคนตาบอดที่กำลังเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ถึงอันตรายและความไม่แน่นอนของชีวิตที่รออยู่เบื้องหน้า
จนกระทั่งปี ค.ศ.1990 ผมเกิดมีก้อนเนื้อก้อนหนึ่งขึ้นที่หน้าขาข้างขวา ตอนแรกที่ผมพบ ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากนักในใจคิดว่าคงไม่มีอะไรมาก แต่ต่อมาผมก็ได้ไปตรวจเช็คให้ละเอียดว่ามันเป็นก้อนอะไรกันแน่ ซึ่งผลการตรวจออกมาก็คือ มันเป็นก้อนมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
เวลานั้นชีวิตของผมเหมือนชนกับก้อนหินที่ใหญ่มากจนล้มลง และผมไม่สามารถที่ข้ามมันไปได้ทำให้ชีวิตที่เคยสนุกกับงานเคยสบายเพราะรายได้ที่ดีกับความภูมิใจที่มีอาชีพที่ได้ช่วยคน รวมทั้งการวาดฝันถึงอนาคตที่คิดว่ามันคงจะสวยหรูนั้นได้หยุดลงอย่างกระทันหัน
เวลานั้นความคิดเกี่ยวกับความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้เข้ามาในความคิดของผมผมต้องเข้าไปรักษาโดยการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งนั้นออก และฉายแสงเพื่อฆ่าเชื้อมะเร็ง ซึ่งคุณหมอที่รักษาผมนั้นก็ได้พยายามที่สุดเพื่อช่วยชีวิตผม ผมอยากหาย เพราะในตอนนั้นลูกของผมอายุเพียงแค่ 2ขวบ ผมคิดว่าภรรยาของผมจะดูแลตัวเองและลูกเพียงลำพังได้อย่างไร?
คิดถึงชีวิต
ขณะที่ทำการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นเอง ผมได้มีเวลาย้อนทบทวนคิดถึงชีวิตของตัวเองอีกครั้งหนึ่งและถามตัวเองว่า
“ฉันอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร?
อะไรคือความหมายของการมีชีวตอยู่ในโลก?
ฉันเข้ามาในโลกเพื่อจะกิน ดื่ม สนุกสนาน ใช้ชีวิตไปวัน ๆ และสุดท้ายก็ต้องพบกับความตาย ชีวิตของมนุษย์มีเพียงเท่านี้หรือ?”
ในที่สุดผมก็คิดถึงพระเจ้า ซึ่งผมได้ทราบมาก่อนแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างและเป็นผู้ให้ชีวิตมนุษย์เราทุกคนรวมทั้งผมด้วย ผมเริ่มคิดได้ว่า แท้จริงแล้วการที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น พระองค์ปรารถนาให้มนุษย์มีแต่ความสุข ไม่ต้องมีความทุข์
แต่มนุษย์เราจะต้องเชื่อฟังและดำเนินชีวิตตามทางของพระองค์ แต่น่าเศร้าที่มนุษย์เรากลับปฏิเสธพระเจ้า และไม่เดินในทางที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ มนุษย์อยากเดินตามทางของตนเอง ในขณะที่เรากำลังเดินหลงไปจากทางของพระองค์นั่นเอง มรสุมหรือความทุกข์บางอย่างก็ได้เกิดขึ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมาจากการทรงอนุญาตของพระเจ้าทั้งสิ้น เพื่อให้เราคิดถึงความหมายของการมีชีวิต ให้เราสำนึกว่าชีวิตของคนเรานั้นไม่เที่ยงเพียงไร และเพื่อเราจะได้กลับมาหาพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน
เวลานั้นผมจึงได้อธิษฐานกับพระเจ้าว่า “ผมขอโทษพระองค์ เพราะที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้คิดถึงพระองค์เลยเวลานี้ผมขอฝากชีวิตของผมไว้กับพระองค์ ถ้าพระองค์ทรงเห็นว่าชีวิตของผมสามารถที่จะช่วยคนอื่น ๆ ให้กลับมาหาพระองค์ได้ ก็ขอช่วยผมด้วยเถิด!”
มรสุมซ้ำสอง
หลังจากการรักษาตัวในโรงพยาบาลไม่นาน อาการของผมก็ดีขึ้นจนดูเหมือนว่าหายเด็ดขาดและหลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็ตกลงกับภรรยาของผมว่าผมจะไปเรียนเกี่ยวกับพระคริสตธรรมคัมภีร์ เพื่อที่จะทุ่มเทชีวิตในการทำงานเพื่อพระเจ้า...
แต่ใครจะไปทราบว่ามรสุมชีวิตนั้นไม่ได้มาครั้งเดียว มันมีมรสุมอีกลูกที่รุนแรงกว่าลูกแรกได้เกิดขึ้นกับผมอีกแล้ว ซึ่งมรสุมลูกนี้มันทำให้ผมยืนอยู่ที่ปากทางแห่งความตายทีเดียว
ครั้งแรกนั้นก้อนเนื้อมะเร็งได้เกิดขึ้นที่หน้าขาขวาแต่ครั้งที่สองนี้มันเกิดขึ้นในบริเวณลำคอ ผมต้องเข้ารับการรักษาแบบรุนแรงที่สุดก็คือ การรักษาแบบปลูกถ่ายไขกระดูกที่โรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งครั้งนี้ทรมานมากกว่าครั้งแรกหลายเท่านัก...วันที่ผมนอนอยู่ในห้องปลอดเชื้อที่ห้ามคนเข้าเยี่ยมนั้น ร่างกายผมมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด และผลข้างเคียงของการรักษาก็มีมากมาย คือทำให้เลือดออกทางจมูกทั้งสองข้างตลอดเวลา
จะดื่มน้ำหรือกินอาหารก็ไม่ได้ เพราะทั่วทั้งปากเจ็บปวดไปหมด ทำให้คุณหมอต้องการเจาะหน้าอกเพื่อให้อาหารเหลวในการทำให้ผมมีชีวิตอยู่ได้ ปัสสาวะทุกครั้งก็มีเลือดอยู่ในนั้น และไม่มีแรงแม้แต่นิดเดียว...
แต่ความทรมานทางร่างกายยังไม่รุนแรงเท่ากับความทรมานในจิตใจ ผมเชื่อว่าคนที่เคยนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็คงไม่ต่างอะไรกับผมมากนัก มันมีความเหงา วุ่นวายใจ อึดอัด มีความกดดันและซึมเศร้า ความทรมานในเวลานั้นมันทำให้ผมอยากจะฆ่าตัวเองให้ตาย ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป และยิ่งเมื่อได้ยินว่าคนป่วยที่นอนอยู่ข้าง ๆ ห้องผมนั้นมีบางคนต้องเสียชีวิต ก็ยิ่งทำให้ผมซึมเศร้าและรู้สึกแย่ลงเรื่อย ๆ
ผ่านแล้ว...พร้อมแล้ว...
ขณะที่ผมกำลังเฉียดความตายเช่นนี้... เวลานั้นผมได้อธิษฐานมอบชีวิตของผมให้กับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง เพราะผมทราบดีว่า... เมื่อคนหนึ่งมอบชีวิตให้กับพระองค์ พระองค์ก็จะทรงให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่เขา บางครั้งพระองค์อาจจะรักษาให้เขาหายจากโรคร้ายที่เขาเผชิญอยู่ หรือบางทีพระองค์ก็อาจจะให้เขาจากโลกนี้ไป แต่ไม่ว่า “หาย” หรือ “ตาย” ต่างก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนเหล่านั้นที่มอบชีวิตให้กับพระองค์อย่างแท้จริง
ในที่สุดการรักษาอันแสนทรมานก็ได้ผ่านไปโดยการทรงช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้าที่ประทานความสามารถให้กับคุณหมอในการรักษาผม
(บางทีท่านอาจจะมีคำถามในใจว่า... การที่ผมหายจากมะเร็งนั้นเป็นการช่วยเหลือจากคุณหมอไม่ใช่หรือทำไมถึงอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า?ซึ่งผมเชื่อว่าสติปัญญาและความสามารถทุกอย่างที่มนุษย์เรามีนั้นล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์คนนั้นจะสำนึกว่ามาจากพระเจ้า หรือนึกเหมาเอาว่ามาจากตัวของเขาเอง)
จวบจนถึงวันนี้ ผมก็ยังคงมีชีวิตอยู่ และทำงานได้ดีเหมือนคนปกติทั่วไป บัดนี้ผมพร้อมที่จะใช้ชีวิตและเรื่องราวของผมในการหนุนใจคนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายหรือกำลังแสวงหาคำตอบชีวิต...หลายคนคิดว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์เรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย
แต่จริง ๆ แล้วมันก็มีส่วนที่ดีเพราะจะทำให้คนเรานั้นได้หยุดนิ่งและหันกลับมาพิเคราะห์ดูชีวิตของตนเอง มันทำให้เราคิดถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ และมันทำให้เราแสวงหาคำตอบของชีวิต ซึ่งถ้ามนุษย์เราไม่รู้จักพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่แล้ว เขาก็จะไม่สามารถพบกับคำตอบที่แท้จริงของชีวิตได้เลย...
บัดนี้ผมได้ผ่านมาแล้วและผมก็ได้สัมผัสแล้วว่า มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะเป็นที่พึ่ง เป็นความหวัง และเป็นกำลังให้แก่มนุษย์เราในการเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ได้...
ผู้อ่านที่รัก ชีวิตคนเราก็ต้องเจอทั้งทุกข์และสุข เจ็บป่วยและสุขสบายปะปนกันไป แต่เราก็อยู่ในโลกนี้เพียงไม่กี่สิบปี ช้าหรือเร็วเราก็ต้องจากโลกนี้ไป
แต่ความตายนั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตเพราะหลังจากที่มนุษย์จากโลกนี้ไปแล้ว จิตวิญญาณของมนุษยเ์รายังต้องไปเผชิญหน้ากับการพิพากษาโทษบาปจากพระเจ้า
และในที่สุดก็ต้องรับการลงโทษบาปตามการกระทำของแต่ละคน ถึงแม้ลึก ๆ ในใจของมนุษย์จะรู้สึกกลัวที่จะต้องรับการลงโทษ และพยายามหาทางขจัดบาป แต่ก็ไม่มีทางที่มนุษย์จะช่วยตนเองให้พ้นจากบาปได้เลย
ดังนั้นพระเจ้าจึงได้จัดเตรียมวิธีที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาปของเขาโดยทรงใช้พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มารับสภาพเป็นมนุษย์ในโลกเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูคริสต์ทรงยอมถูกตรึงจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเป็นการรับโทษบาปแทนมวลมนุษย์
ดังนั้นหากผู้ใดยอมสารภาพบาปต่อพระเจ้าและทูลขอการทรงช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์พระองค์ก็จะเป็นผู้รับโทษบาปแทนเขาทันที และเมื่อเขาจากโลกนี้ไป เขาก็จะไม่ต้องรับการพิพากษาโทษบาปจากพระเจ้า แต่เขาจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดไป...
ผู้อ่านที่รัก... ท่านมีผู้หนึ่งที่สามารถจะเป็นที่พึ่งและมอบชีวิตให้ผู้นั้นดูแลทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของท่านหรือยัง? อยากให้ท่านทราบว่า พระเจ้าทรงห่วงใยท่านพระองค์สามารถเป็นที่พึ่งในยามที่ท่านต้องเจอกันมรสุมในชีวิต และพระองค์ทรงรักท่านจนกระทั่งยอมให้พระเยซูคริสต์มาตายเพื่อรับโทษแทนท่าน
พระองค์ปรารถนาที่จะช่วยท่านอย่างแท้จริง ท่านสามารถที่จะทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ได้ เพียงแต่อธิษฐานทูลต่อพระองค์ดังนี้...
“ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ทราบแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งแห่งชีวิต บัดนี้ข้าพระองค์ขอพึ่งในพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานกำลังให้แก่ข้าพระองค์ในการเผชิญความทุกข์ยากต่าง ๆด้วยเถิด และขอพระองค์ทรงโปรดยกโทษความผิดบาปให้แก่ข้าพระองค์ด้วย ขอขอบคุณที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงรับโทษบาปแทนข้าพระองค์แล้ว ขออธิษฐานในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
ถ้าท่านได้อธิษฐานตามข้างต้นนี้ด้วยความจริงใจแล้ว ขอให้ท่านมั่นใจเถิดว่า พระเจ้าทรงอภัยโทษความผิดบาปให้แก่ท่านแล้วอย่างแน่นอน และพระองค์จะทรงดูแลชีวิตของท่านตลอดไป
“ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟีลิปปี 4:13)
ถ้าท่านใดปรารถนาจะรู้วิธีปฏิบัติตัวเมื่อมีความทุกข์หรือความเจ็บป่วยท่านสามารถติดต่อมายัง
ศจ.ดร.ศึกษา เทพอารีย์
ปัจจุบัน 2022
ศิษยาภิบาลอาวุโส คริสตจักรไมตรีจิต
ผู้เขียน : อาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์
สารบัญ Blockdit christianthai
ซีรีส์ หนังสือเสียงคริสเตียน
 
ซีรีส์ แบ่งปันข้อพระคัมภีร์โดย ChatGPT
ซีรีส์ ใบปลิวคริสเตียน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา