19 ม.ค. 2022 เวลา 08:14 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รวม 15 หนังคอมเมดี้ที่ในที่นี้หมายถึง แอ็คชั่น-คอมเมดี้ ไปจนถึง โรแมนติก-คอมเมดี้ มาให้เลือกชมในวันหยุดสำหรับใครที่อยากจะพักสมองไว้ซักพักบ้าง
15. The Hustle (2019)
เอาจริงๆ หนังฮามากนะ อยู่ในระดับที่บันเทิงเลยแหละ ยังเสียดายอยู่ที่ไม่ได้ไปดูในโรง
เป็นการจับคู่ระหว่าง เรเบล วิลสัน กับ แอนน์ แฮทธาเวย์ ที่สร้างพาร์ทคอมเมดี้ได้โดดเด่นมากๆ ในแบบที่ว่าอยากเห็นภาคต่อ พล็อตเรื่องไม่ได้มีอะไรมากไปว่าสองสาวนักต้มตุ๋มที่ด้านของ โจเซฟินน์ (Anne Hathaway) เป็นมืออาชีพในวงการนี้อยู่แล้ว หลอกล่อพวกคนรวยหากินได้อย่างแยบยล และเหมือนเป็นการทำงานของเธอที่ลื่นไหลมาโดยตลอด
วันนึงได้พบกับ เพ็นนี (Rebel Wilson) ที่เข้ามาเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าแม่แห่งการปล้นนี้ไปต่อหน้าต่อตา
จึงเป็นการแข่งขันกันระหว่างนักต้มตุ๋มตัวแม่กับมือใหม่ฝึกหัดที่ต้องช่วงชิงกันโดยมีเงินเป็นเดิมพัน ส่วนใครที่แพ้ก็ต้องย้ายออกจากเมืองไป พอทั้งคู่ได้มาเจอกันแล้วหนังก็ใส่มุกเด็ดๆ จังหวะสนุกๆ มาเรื่อยๆอยู่ตลอดเรื่อง มันเหมือนคู่กัดกันที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ใส่อาวุธที่ตัวเองมีออกมากันอย่างจัดเต็มทั้งในบริบทของตัวละครและนักแสดง บุคลิก ท่าทางของทั้งคู่นั้นได้มากๆ
รับขมได้ทาง HBO GO
14. Game Night (2018)
หนังเล่าเรื่องคู่รักสายบอร์ดเกมที่ชื่นชอบในการแข่งขันเป็นชีวิตจิตใจ และมักจะชวนเพื่อนๆ มาจัดปาร์ตี้เล็กๆ กันที่บ้านอยู่ทุกสัปดาห์ วันหนึ่งต้องพบเจอกับเกมไขปริศนาลักพาตัว ซึ่งนำมาด้วยความอลเวงสุดวายป่วง เมื่อการลักพาตัวที่อยู่ในเกมครั้งนี้ดันเป็นเหตุการณ์จริง
จุดนี้เองจึงเป็นการที่หนังใส่พาร์ททริลเลอร์เข้ามาอย่างมีสีสันและลงตัวมาก ทำให้ความตลกบนเรื่องราวความเป็นความตายนี้ไม่ใช่ตลกแบบเลอะเทอะหรือแถไปเรื่อย
หนังพาสถานการณ์ทั้งหมดนี้ไปรอดตลอดฝั่งได้อย่างไม่ติดขัด แถมยังดูชาญฉลาด ประกอบกับความแม่นยำของจังหวะการเล่นมุก กระทั่งจังหวะที่มีดราม่าก็ไม่ได้น้ำเน่าจนเกินไปอีกด้วย ความจริงส่วนตัวคิดว่ามันสนุกตั้งแต่พล็อตเรื่องแล้วล่ะ ถึงแม้จะไม่ได้สดใหม่อะไรมาก พอรู้อยู่แล้วว่าหนังต้องเล่นตามสูตร แต่ถึงอย่างนั้นโดยรวมมันก็ทำให้เราแฮปปี้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
13. We’re The Millers (2013)
เรียกว่าเป็นหนังครอบครัวเรื่องหนึ่งนั่นแหละ หลายๆประเด็นที่สอดแทรกเข้ามามันเป็นเรื่องของวัย วุฒิภาวะ ทัศนคติ เพศ ไปจนถึงคำว่าครอบครัวภายใต้เส้นเรื่องคอมเมดี้ที่ใส่มาแบบล้นๆ เลย ชอบการที่เอาเนื้อเรื่องไปผูกกับการลักลอบขนยาข้ามชายแดน เพราะบางทีหนังมันจะบันเทิงได้มันก็ต้องคาบเกี่ยวกับความฉิบหายระดับนี้แหละ มันถึงจะบันเทิง ซึ่งภาพรวมมันก็คือความฮาที่มาพร้อมกับจังหวะอบอุ่นที่เกินคาดมากๆ เลย
รับชมได้ทาง HBO GO
12. Long Shot (2019)
เป็นหนังรอมคอมที่ต้องยอมรับว่าพล็อตเรื่องเจ๋งมากเลยนะ เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของ เฟร็ด และ ชาร์ล็อตต์ ที่เมื่อครั้งก่อนฝ่ายหญิงเธอเคยเป็นพี่เลี้ยงให้กับฝ่ายชายมาก่อน จนมาถึงวันที่เธอตัดสินใจลงสมัครตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ (รวมถึงเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอเมริกา)
ความบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อจึงเกิดขึ้นเมื่อเธอได้กลับมาพบกับ เฟร็ด อีกครั้ง และมีโอกาสได้จ้างเขามาเป็นผู้ช่วยร่างสุนทรพจน์ให้ (หรือจะมองว่าเป็นมือขวาก็ได้) ตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่จะบอกว่าโคตรน่ารักก็ได้ โคตรทะเล้นก็ได้ ชวนยิ้มตามได้อยู่ตลอดเลย
แน่นอนว่าหนังยังสอดแทรกประเด็นการเมืองเข้ามาอย่างน่าสนใจ ไปจนถึงการเหยียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมได้แบบมีสีสัน นับว่าเป็นรอมคอมที่เราชอบมากๆ อีกเรื่องหนึ่งเลย
11. Blockers (2018)
ชอบที่หนังพูดถึงการเติบโตทั้งฝั่งของวัยรุ่น และผู้ใหญ่ ที่ต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ด้วยความเข้าอกเข้าใจอย่างแท้จริง เล่าเรื่องคืนงานพรอมของสามสาวที่กำลังจะเข้ามหาลัย ตกลงปลงใจจะเสียตัวพร้อมกันเป็นการส่งท้ายชีวิตไฮสคูล ความป่วนขั้นสุดจึงเกิดขึ้นเมื่อพ่อแม่ของพวกเธอที่โคตรจะหวงลูกได้รับรู้เรื่องนี้ และตามบุกเพื่อไปหยุดแผนการทั้งหมดนี้ถึงงานพรอม
โดยรวมคือเราชอบไปแล้ว ชอบตั้งแต่หน้าหนัง พล็อตเรื่อง นักแสดง บรรยากาศมันเลยดูดี สนุก และตลกไปหมดเลย การพูดถึงการมีเซ็กส์ครั้งแรกยังไงก็ไม่เก่านะ ถ้าหนังจับทางถูก หรือมีวิธีสื่อสารให้ไม่เชยจนเกินไป
ซึ่งเรื่องนี้คือโอเคมากๆ หลายครั้งที่มุกตลกถึงจะติดเรทแต่เราก็ยังมองว่าอยู่ในโซนที่น่ารักอยู่ เหนือสิ่งอื่นใดคือตอนท้ายนี่จบแบบอบอุ่นนี่แหละ ได้ใจเราไปเต็มๆ อยากให้ดูกันจริงๆ (จอห์น ซีน่า ตลกกว่าที่คิดไว้เยอะเลยแฮะ)
10. Jumanji: The Next Level (2019)
จริงๆ แฟรนไชส์นี้เราอินตั้งแต่ภาคแรกแล้วแหละ ตอนแรกมีความกลัวอยู่ว่ามันจะจำเจมั้ยในภาคต่อนี้ กลัวจะเบื่อไปซะก่อนที่หนังจะจบ แต่ไม่เลย ไอเดียสลับล่างมันยังเจ๋งอยู่ในระดับหนึ่ง หัวใจสำคัญอย่างการผจญภัยก็มาอย่างครบถ้วน เสน่ห์จริงๆ ของหนังคือการพัฒนาของตัวละครทั้งในเกม และโลกจริง ที่ต้องเดินไปพร้อมๆ กับการผ่านด่านสุดโหดไปให้ได้
อย่างไรก็ตาม ภาคนี้รู้สึกว่าเนื้อเรื่องดร็อปลงไปหน่อยนะ เงื่อนไขต่างๆ ที่โยนเข้ามาให้ตัวละครก็น้อยกว่าภาคแรก จะมีก็แต่แอ็คชั่นมันส์ๆ นั่นแหละ ที่ดึงเราอยู่กับหนังได้จริงๆ กับความฮาที่ยังคงทำให้เราบันเทิงได้อยู่ เพียงเท่านี้ก็อยากให้มีภาคต่อแล้วล่ะ
รับชมได้ทาง HBO GO
9. Instant Family (2018)
เรื่องนี้จัดอยู่ในหมวด feel good อบอุ่นหัวใจมากๆ เรื่องหนึ่ง คำว่าหัวใจพองโตนั้นมีอยู่จริงเมื่อได้สัมผัสกับเรื่องนี้ ภายนอกมันคือหนังแฟมมิลี่-คอมเมดี้ทั่วไป แต่ลึกลงไปแล้วปมดราม่าสะท้อนอะไรหลายอย่างในเรื่องของความรักในครอบครัวได้เกินคาด อีกทั้งแง่คิดที่แฝงมายังดีมากด้วย
1
เป็นผลงานสร้างของ ฌอน แอนเดอร์ (Sean Anders) ที่เคยทำหนังคอมเมดี้ที่เราชอบมากอย่าง Daddy Home ทั้งสองภาค มาเขียนบทและกำกับ ดังนั้นรับประกันความดีต่อใจ
รับชมได้ทาง Netflix
8. Central Intelligence (2016)
ถือว่าเป็นคู่หูที่เวิร์คมากนะ พอจับมาอยู่ในหนังแอ็คชั่น-คอมเมดี้ แบบนี้ ระหว่าง ดเวย์น จอห์นสัน กับ เควิน ฮาร์ท จะบอกว่าหนังแนวนี้นอกจากจะต้องพึ่งพาเนื้อเรื่องที่น่าสนใจแล้ว นักแสดงก็ต้องแบกอยู่พอสมควรนั่นแหละถึงจะไปรอด (เรื่องนี้ถือว่าผ่าน)
มาในบทสายลับ CIA กับหน่วยข่าวกรองช่วยกันคลี่คลายปมปัญหาให้กับฝั่งรัฐ กลายเป็นว่าดูง่ายๆ เพลินๆ ไม่ซับซ้อน แต่สนุกเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ผูกปมเพื่อนเก่าสมัยมัธยมของทั้งคู่ก็เพิ่มความฮาให้มีมิติเข้าไปอีก
7. Easy A (2010)
ความแสบสันของ เอ็มม่า สโตน คือสีสันของหนังจริงๆ แสบตั้งแต่อยู่ในโครงสร้างวัยรุ่นไฮสคูล และจิกกัดประเด็นสังคมซุบซิบนินทาได้แบบมันส์มือคนเขียนบทมาก ความวุ่นวาย ปั่นป่วนทั้งหมดนี่แหละที่หนังหยิบมาเล่าเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้อย่างน่าสนใจ (เป็นเรื่องแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการของ เอ็มม่า สโตน ด้วย ห้ามพลาดเลยนะ)
รับชมได้ทาง Netflix
6. Logan Lucky (2017)
โดยส่วนตัวชอบหนังปล้นอยู่แล้ว Logan Lucky คือเข้าทางมากๆ เลย เหนือชั้นตรงที่เอาปล้นมาทำคอมเมดี้ได้แบบสนุกสุดๆ ไปเลย ยิ่งไปกว่านั้นบทไดอะล็อกค่อนข้างเพลินเลยทีเดียว คือสถานการณ์มันสมจริง ไม่ง่ายหรือเปิดทางให้ตัวละครจนเกินไป จริงๆ หนังปล้นก็ควรต้องเป็นแบบนี้แหละ คอยทำให้คนดูลุ้นอยู่ตลอดเวลา
ชอบการเอา อดัม ไดรเวอร์ กับ แชนนิ่ง เททัม มาเล่นประกบคู่กันนะ เวลาโยนสถานการณ์ยากๆ มาให้แก้ไขมันสนุกแบบมีคลาสดี
รับชมได้ทาง Netflix
5. Good Boys (2019)
จากหน้าหนังคิดว่าไม่มีอะไรซะแล้ว เอาเข้าจริงคือฮาใช้ได้เลย ซึ่งภายใต้ความไร้เดียงสาของเด็กนี่แหละที่เป็นตัวจุดไฟทุกอย่าง เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากไปกว่าแก๊งเด็กที่หวังจะแอ้มสาว ซึ่งเพื่อนในแก๊งก็ไม่มีใครเคยมีประสบการณ์มาก่อนเลย จึงวุ่นวายหาทางรอดกันแบบวายป่วงสุดๆ
ประเด็น first kiss นี่ไม่คิดว่าจะเล่าออกมาได้น่ารักขนาดนี้นะ คือมุกตลกมันก็มาในแนวทะลึ่งๆ นั่นแหละ ที่ตลกปนความน่ารักไปกับเรื่องราวมิตรภาพของทั้งสาม (ซึ่งประเด็นมิตรภาพนี่ชวนอบอุ่นอยู่ไม่น้อย) จะว่าไปก็ไม่ใช่หนังสำหรับเด็กซะทีเดียว หนังยังมีแก่นสาระในการสำรวจจิตใจของเด็ก ที่บางครั้งถ้าหากผู้ใหญ่ได้รับรู้ก็คงจะดีนะ
รับชมได้ทาง Netflix
4. Guns Akimbo (2019)
จำได้ว่าภาพ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ ถือปืนนี้เป็นที่ฮือฮากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่หนังจะได้นำมาเปิดตัวฉายจริงๆ ซึ่งก็ค่อนข้างพอใจตรงที่สลัดคราบแฮร์รี่พอร์ตเตอร์ไปได้อย่างดีเยี่ยม ถ้ามีผลงานประมาณนี้มาอีกติดๆ กันหลายเรื่อง ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ไม่เลวทั้งสำหรับคนดูอย่างเรา รวมถึงแดเนียล แรดคลิฟฟ์เอง (ที่ไม่อยากให้คนพูดถึงเขาในบทบาทเก่าๆ อีกแล้ว) เพราะหนังมันออกมาสนุกเกินคาดอยู่พอสมควร
หนังเล่าเรื่องของพนักงาน IT เมื่อเจอกับอาชญากรรมจอมโหดบุกเข้ามาที่ห้องพร้อมกับจับให้ต้องเล่นเกมที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน เอาชีวิตรอดจากนักสังหารสาว (แสดงนำโดย Samara Weaving)
โดยเงื่อนไขคือมีปืนสองกระบอกมัดติดกับมือทั้งสองข้าง ซึ่งจะบอกว่าไอเดียของหนังมันแปลกใหม่ก็คงจะไม่ผิด การจัดสรรค์องค์ประกอบที่เอาปืนมาอยู่กับคนเกลียดปืน บวกกับเกมที่เล่นก็ล้วนเกิดขึ้นจากโครงสร้างของระบบ IT ตลอดจนถึงบทสรุปที่ทิ้งไว้ให้มีภาคต่อได้อย่างง่ายดาย เพียงเท่านี้นอกจากจะใหม่สำหรับเราแล้ว ยังเต็มไปด้วยความบันเทิงภายใต้เส้นเรื่องแอ็คชั่น-คอมเมดี้ อย่างลงตัว
3. Bad Neighbors 2 (2016)
ถ้าถามว่าระหว่างภาคแรกกับภาคนี้อันไหนสนุกกว่า ตอบเลยว่าชอบไม่แพ้กันเลยนะ มันดีคนละแบบ แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดเราจากภาคนี้คือการได้เห็น โคลอี้ มาร่วมสมทบความป่วน ความฮาครั้งนี้ด้วย อีกทั้งประเด็นของตัวละครโคลอี้นี่คือไปไกลกว่าที่คิดไว้เยอะเลย
ชอบโครงสร้าง และทิศทางของหนังที่ยังคงเคารพภาคแรกอยู่ เหมือนการเซ็ทอัพตัวละครหลายๆ ตัวมันเวิร์คมาตั้งแต่แรกแล้ว ที่เหลือก็รอจังหวะปล่อยของให้ถูกที่ถูกเวลาเท่านั้นเอง คิดว่าถ้าใครชอบก็น่าจะไปในขั้นที่รักในตัวหนังเลยแหละ ส่วนใครที่ไม่ชอบก็น่าจะส่ายหัว หรือดูไม่จบเลยก็เป็นได้
2. Shazam! (2019)
หากพูดถึงหนังจักรวาล DC ช่วงหลังๆ มานี้เราชอบหมดเลย เห็นได้ชัดว่าทางค่ายมาถูกทางขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญคือมีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นได้โดยไม่ต้องทำอะไรที่มันไปซ้ำกับมาร์เวล Shazam คืออีกเรื่องหนึ่งที่ออกมาดีผิดคาดเราเยอะอยู่เหมือนกัน มันคือหนังฮีโร่ที่พูดถึงการเติบโตได้น่าสนใจมาก ถึงพาร์ทคอมเมดี้จะเยอะไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ไปกลบเส้นเรื่องจนดูไม่ได้ขนาดนั้น
หนังยังคงมีการวางเป้าหมายที่ชัดเจน และเราว่าเป็นเรื่องที่ยากอยู่นะที่จะทำให้มันแตกต่างจากหนังฮีโร่เดิมๆ ได้แบบสุดโต่งถึงขั้นนี้ นี่ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำสำเร็จในฐานะหนังฮีโร่ที่มอบความสุข ความอบอุ่นให้กับเราได้ในเวลาเดียวกัน
รับชมได้ทาง Netflix
1. American Ultra (2015)
ความจริงก็ไม่คอมเมดี้เท่าไหร่หรอก มันตลกแบบตลกร้ายมากกว่า หยิบมาใส่ในลิสท์เพราะชอบความกวนๆ ของหนังด้วยแหละ สีสันที่โคตรแสบของหนังทำให้เราเอ็นจอยกับมันจริงๆ
นอกเหนือจากนั้นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฉากแอ็คชั่น ที่เราจำได้แทบจะทุกฉาก รายละเอียดของงานแอ็คชั่นเป็นอะไรที่น่าพูดถึง และน่าจดจำจริงๆ ยิ่งถ้าใครชอบสองนักแสดงคู่นี้อยู่แล้ว น่าจะชอบเหมือนกับที่เราชอบนะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา