23 ก.พ. 2022 เวลา 08:02 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
เหตุผลที่ทำให้เราหลงรักหนังเพลง หรือหนังในแนว musical คือนอกจากจะมันเป็นการเปิดโลกดนตรีแนวใหม่ๆ ให้เราได้สัมผัส การได้ฟังเพลงเพราะๆ(โดยเฉพาะในโรงหนัง)แล้ว หนังประเภทนี้มักจะพูดถึงความฝัน ความสำเร็จ และให้แรงบันดาลใจ เติมเต็มห้วงอารมณ์ดีๆ มากมายให้กับเราในเวลาเดียวกัน จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถ้าหากเป็นหนังเพลงที่มีความน่าสนใจแม้เพียงแค่เล็กน้อย เราก็จะเปิดใจดูอย่างไม่มีข้ออ้างใดๆ ต้องบอกก่อนว่าเนื้อหาของแต่ละเรื่องอาจจะไม่ได้สุขสมหวังตลอดไป ถึงแม้จะบอกว่าเป็นลิสท์หนังของคนรักดนตรีก็เถอะ
15. Yesterday (2019)
รับชมได้ทาง HBO GO
ผลงานสร้างจากผู้กำกับ Danny Boyle รวมทีมกับ Richard Curtis ( คนหลังคือคนที่เขียนบทให้กับหนังรักขึ้นหิ้งอย่าง Love Actually, About Time และ Notting Hill )
จะเกิดอะไรขึ้นหากทั้งโลกนี้ลืมวงดนตรีในตำนานอย่างสี่เต่าทอง The Beatles หนังว่าด้วยเรื่องหนุ่มนักดนตรีตกงานที่เหมือนเป็นผู้ได้รับพรพิเศษในคืนหนึ่งในช่วงที่ไฟฟ้าทั้งโลกดับชั่วขณะ ทำให้เขากลายเป็นคนเดียวบนโลกที่ยังจดจำบทเพลงของ The Beatles ได้อยู่ นำไปสู่เรื่องราวความสำเร็จในด้านดนตรี ที่เดินคู่ไปกับความรัก และการตั้งคำถามไปถึงความสำเร็จอันแท้จริงของชีวิต ประเด็นของการได้มาและสูญเสียไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เล่าผ่านความเรียบง่ายแสนจะธรรมดา ที่หนังสร้างสรรค์บรรยากาศออกมาได้สงบ เย็นใจเหลือเกิน
14. School of Rock (2003)
คงจะเป็นที่รู้จักกันดีในหนังประเภทนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชาวร๊อค กับเรื่องราววุ่นๆในโรงเรียนของ ดูอี้ ฟินน์ ชายผู้คลั่งไคล้และบูชาในดนตรีแนว rock n roll อีกทั้งยังเป็นพวกต่อต้านความมั่นคงอย่างสุดโต่ง มีพฤติกรรมและความคิดไม่เหมือนคนอื่นๆทั่วไป จนถูกไล่ออกจากวงดนตรี วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน ได้ตัดสินใจสวมรอยรับงานในตำแหน่งครูเข้าไปสอนแทนที่โรงเรียนประถมอันทรงเกียรติ มีโอกาสคลุกคลีกับเด็กๆ และรู้วิธีที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา จึงเลือกที่จะฝึกฝนเด็กๆ ที่มีความสามารถทางด้านดนตรีอยู่แล้วให้กลายเป็นวงร็อคสุดร้อนแรง และเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
Jack Black ที่รับบทเป็น ดูอี้ ฟินน์ เรียกว่าคนเดียวเอาคนดูอยู่หมัดทั้งเรื่อง และไม่คิดว่าหนังที่ใส่ความเป็นเพลงร็อคเข้าไปจะมีบรรยากาศที่อบอุ่นได้ขนาดนี้ มีใครยังไม่เคยดูอีกบ้างง
13. The High Note (2020)
รับชมได้ทาง HBO GO
เรื่องราวของ แม็กกี้ (Dakota Johnson) ผู้ช่วยส่วนตัวของศิลปินนักร้องเสียงสวรรค์ชื่อดัง เกรซ เดวิด (Tracee Ellis Ross) ที่ต้องการจะผันตัวเป็นโปรดิวเซอร์เพลง นอกจากจะเป็นความใฝ่ฝันอันสูงสุดของเธอแล้ว เกรซยังเป็นไอดอลของเธอตั้งแต่ยังเด็กอีกด้วย เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอรักในเสียงดนตรีเลยก็ว่าได้ หนังเล่าให้เห็นถึงความจริงของเบื้องหลังการทำงานในวงการเพลง รวมถึงนายทุนต่างๆ ภายใต้เสียงเพลงที่มีความโรแมนซ์มากๆ อยู่อย่างลงตัว เสียดายที่ไม่ได้มีซีนดราม่าลึกซึ้งให้เราซึมซับมากเท่าไหร่อย่างที่เราหวังไว้กับหนังเพลงทั้งหลาย แต่ประเด็นการเติบโตของตัวละครของแม็กกี้ทำเราแพ้ทางเอามากๆ
12. Begin Again (2013)
เชื่อว่าถ้าพูดถึงหนังเพลง หลายคนคงจะนึกถึงเรื่องนี้แหละ เพราะก่อนอื่นต้องยอมรับว่าเพลงในหนังเพราะทุกเพลง(ทุกเพลงจริงๆ) การพูดถึงความฝัน ความรัก หนทางของความสุข มันดีต่อใจเราหมดเลย เหนือสิ่งอื่นใดบรรยากาศในนิวยอร์กทำเราตกหลุมรักอย่างไม่ต้องมีเหตุผล
11. Back to the 90s (2015)
รับชมได้ทาง Netflix
หรือมีชื่อไทยว่า (2538 อัลเทอร์มาจีบ) หนังสำหรับคนรักดนตรียุค 90 และพล็อตเรื่องข้ามเวลาสุดคลาสสิค ส่วนตัวไม่ได้ชอบตัวหนังมากเท่าไหร่ แต่ประทับใจตรงที่หนังคอยหยอดเพลงเก่าๆ โดนๆ ใส่เข้ามาตลอดทั้งเรื่อง บรรยากาศเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนย้อนกลับไปดูก็ชวนคิดถึงอยู่เหมือนกัน(ยุคใช้เพจเจอร์ และฟังเพลงเทป) ชอบมุมน่ารักๆ ของใบเฟิร์นที่เราคิดว่าเป็นคนที่แต่งชุดนักเรียนขึ้นมาก เรื่องรักวัยใส ปนดราม่า ก็ต้องบอกว่าเป็นนักแสดงที่สร้างสรรค์องค์ประกอบเหล่านั้นขึ้นมาได้ดีอย่างน่ามหัศจรรย์
10. Sing Street (2016)
อีกหนึ่งผลงานคุณภาพของ จอห์น คาร์นีย์(Once, Begin Again) ที่เล่าเรื่องราวของกลุ่มเด็กวัยรุ่นกับความฝันในการเป็นนักดนตรี ต้องเจอกับปัญหาครอบครัวแตกแยก เศรษฐกิจย่ำแย่ในยุคนั้น รวมไปถึงปัญหาของตัวเอง ที่ทั้งหมดทั้งมวลจะผ่านไปไม่ได้เลยถ้าปราศจากเสียงเพลงในการเล่นดนตรี และนั่นคือสิ่งที่วัยรุ่นคนนึงรักมากที่สุด
ชอบตรงที่หนังเล่าถึงความสุขปนเศร้าในความรักของบทเพลง ทำออกมาได้ดีมากๆ จนมันไม่ใช่แค่หนังเพลงของวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป มันพาเราไปไกลกว่านั้น ในจุดที่พูดถึงการยอมรับความจริงต่างๆ กับสิ่งที่ต้องเผชิญในชีวิต เดินหน้าไปพร้อมกับทั้งความสุขที่ปนเศร้าและมองมันเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ในการก้าวผ่าน
9. Music and Lyrics (2007)
รับชมได้ทาง Netflix
“Music and Lyrics” ชื่อหนังนั้นบ่งบอก และนิยามความเป็นตัวหนังได้เป็นอย่างดี มันคือการสื่อสารกันของท่วงทำนอง เนื้อเพลง เสียงดนตรี ที่ถ่ายทอดผ่านความสัมพันธ์อันโรแมนติกของชายหญิงคู่หนึ่งได้เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจมากๆ มันเลยออกมาเป็นหนังรอมคอมที่หวานแบบไม่เกินจริงไปหน่อยเลย ประกอบกับเพลงเพราะๆ ติดหูด้วยแล้ว ก็เติมเต็มช่วงเวลาดีๆ ของคนชอบฟังเพลงอย่างเราไปได้อย่างอิ่มเอม
8. Sound of Metal (2019)
รับชมได้ทาง Prime Video
หนังค่อนข้างมีโทนดราม่าที่ชัดเจนในตัวมาก เหมือนเป็นการตั้งโจทย์ให้กับตัวละครและตั้งคำถามให้กับคนดูในเวลาเดียวกันเมื่อต้องจัดการกับปัญหาในใจของตัวเอง ตลอดจนถึงการตัดสินใจเลือกเส้นทางให้กับชีวิต โดยเล่าผ่านนักดนตรีมือกลองที่หูหนวกไม่ได้ยินเสียงต้องการจะรักษาเพื่อให้ได้กลับมาเป็นปกติ แต่ทว่าคนรอบข้างเขาต่างมองว่าการไม่ได้ยินเสียงหรือหูหนวกนั้น ไม่ใช่จุดบกพร่องของชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมองว่าเป็นพิการ หากเราแก้ไขปัญหาภายในจิตใจเรา ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ จริงๆ รายละเอียดในหนังมีอีกเยอะมากที่น่าสนใจและอยากให้ไปดูกัน (หนังคว้ารางวัลออสการ์ไป 2 สาขาทั้งบันทึกเสียงยอดเยี่ยม และลำดับภาพยอดเยี่ยมอีกด้วย)
7. Once (2007)
รับชมได้ทาง HBO GO
“คนบางคนผ่านมาแค่ชั่วคราว เพื่อเป็นเรื่องราวให้เราจดจำตลอดไป” ประโยคติดหูอย่างแรงจากเรื่องนี้ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังสื่อความหมายและภาพรวมของหนังได้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย เป็นหนังเพลงของนักดนตรีชายข้างถนน กับหญิงสาวแปลกหน้าที่การเจอกันของทั้งคู่ในครั้งนี้ เปลี่ยนแปลง และเติมเต็มอะไรมากมายให้กับพวกเขา รวมถึงคนดูอย่างเราที่จะจดจำมันในฐานะหนังที่มอบความทรงจำดีๆ ให้กับเรา
6. La La Land (2016)
รับชมได้ทาง Netflix
หนึ่งในหนังเพลงที่พูดถึงความฝันในแบบที่มีชีวิตและจิตวิญญาณมาก นับว่าเป็นศิลปะแห่งวงการภาพยนตร์ และดนตรีเลยแหละ นอกจากรางวัลที่หนังได้กวาดมาครอบครองอย่างมากมายแล้ว หัวใจความเป็นดราม่าที่เล่าถึงสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ได้ระหว่างความรักกับความฝันของคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ก็เป็นอะไรที่ทั้งชวนใสลาย และเติมเต็มการดูหนังให้กับเราอย่างมากมายเลยทีเดียว
5. Teen Spirit (2018)
หนังดนตรี-ดราม่าของผลงานผู้สร้างจาก La La Land ที่อบอวลไปด้วยเพลงป๊อปของศิลปินแนวหน้าแห่งยุค หนังว่าด้วยเรื่องของ ไวโอเล็ต วาเลนสกี้ (Elle Fanning) เด็กวัยรุ่นสาวที่อพยพมาจากโปแลนด์และอาศัยอยู่กับแม่บนเกาะ Isle of Wight (ไอล์ออฟไวท์) นอกชายฝั่งของอังกฤษ เพื่อมาเข้ารายการประกวดร้องเพลงในเมือง และมีความฝันอันสูงสุดคือเป็น "ศิลปินนักร้องชื่อดัง"
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะได้เห็น Elle Fanning โชว์สกิลการร้องเพลงที่ไม่ได้เห็นที่ไหนบ่อยๆด้วย เธอร้องเพราะมากนะ ดีทุกเพลง เนื้อเสียงไม่ตามแบบพิมพ์นิยมเลยสักนิด
ตัวหนังไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย เพียงแต่เป็นการเติมพลังใจให้ไปถึงฝัน เป็นแรงบันดาลใจให้กับการก้าวข้ามอุปสรรคนั้นไปอีกเลเวลอย่างมี Spirit และความเป็นตัวเองที่สุด ถึงแม้ทั้งหมดจะต้องต่อสู้เพียงลำพัง เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งมุมมองในการสู้ฝันผ่านจิตวิญญาณของวัยรุ่นอย่างแท้จริง
4.CODA (2021)
เรื่องราวของ รูบี้ (Emilia Jones) เด็กสาวผู้หลงรักในการร้องเพลง เติบโตมากับครอบครัวชาวประมงของเธอที่หูหนวกกันทุกคน มีเธออยู่คนเดียวที่ได้ยินเป็นปกติ หลังจากรูบี้ได้เข้าชมรมประสานเสียงกับทางโรงเรียน การตัดสินใจครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นเพราะดูเหมือนมีสองสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ได้ระหว่างครอบครัวที่ต้องการเธอ กับความฝันในการร้องเพลงที่ราวกับเป็นเสียงเรียกร้องมาจากหัวใจ พล็อตเรื่องง่ายๆ แค่นี้เลย แต่จุดนี้เองที่หนังเลือกที่จะเล่ามันอย่างละเอียดอ่อน ชวนน้ำตาไหล เต็มไปด้วยความความเข้าอกเข้าใจในการก้าวผ่านปัญหาในแบบที่อบอุ่นมากๆ
เรียกว่าเป็นหนัง Coming of Age ที่ดีงามสมกับรางวัลเรื่องหนึ่งเลยนั่นแหละ มากไปกว่านั้นคือมันให้อารมณ์หนังครอบครัวได้เต็มอิ่มมากๆ อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ที่โดดเด่นจับใจเราคือพาร์ทดราม่าที่เล่าผ่านความเรียบง่ายโดยไม่ต้องเรียกร้องความสนใจใดๆ มากมายเลย แต่สามารถทำเราอินไปกับมันได้อย่างลึกซึ้งจริงๆ ชอบตรงนี้แหละ
3. A Gift (2016)
รับชมได้ทาง Netflix
ภาพยนตร์ของขวัญต้อนรับปีใหม่ ผลงานจาก GDH ที่รวมเรื่องสั้นของคู่รัก 3 คู่ ต่างบริบทกัน แต่มีจุดประสงค์จะใช้ดนตรีในการเยียวยา หรือสร้างความสุขให้กับชีวิตเหมือนกัน เป็นหนังไทยน่ารักๆ ดูเพลินๆ อีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้ลองชมกันครับ
2. Whiplash (2014)
แน่นอนว่าสิ่งที่ชอบมากๆ ในหนังคืออุปสรรคที่เข้ามาอย่างถาโถม มันเลยเป็นมุมมองความพยายามของมนุษย์ที่มีเป้าหมายเพื่อจะชนะในบางสิ่งบางอย่างให้ได้ ซึ่งหนังนำเสนอมันออกมาได้แบบบ้าคลั่งมาก หลายคนน่าจะเคยดูกันแล้ว แต่กลับมาดูอีกรอบน่าจะได้อะไรใหม่ๆ กลับไปอีกไม่มากก็น้อยนะ
1. A Star Is Born (2018)
รับชมได้ทาง Netflix
ผลงานกำกับหนังเรื่องแรกของ แบรดลีย์ คูเปอร์ แน่นอนว่าสิ่งที่เรารักในความเป็นหนังของเรื่องนี้มากที่สุดคือท่วงทำนองของเสียงเพลง ที่มันถูกถ่ายทอดออกมาในฐานะของนักแต่งเพลง นอกจากมันจะติดหูเรามากๆแล้ว ยังสามารถทำให้เราเข้าใจการสื่อสารภาพโดยรวมของหนังอีกด้วย ผ่านทั้งการแสดงและเรื่องราวที่ถูกเล่าออกมาอย่างมีหัวใจ ถัดมาคงจะเป็นพาร์ทของความรักที่มันดราม่าอย่างรุนแรงนั่นแหละ พอนำมันมาผสมกันระหว่างเสียงเพลงและเรื่องของชีวิตรัก เราเลยคิดว่ามันให้แง่คิดกับเราหลายๆอย่างเลยทีเดียว กับเส้นทางชีวิตของตัวละครที่พาเราเดินทางไปยังจุดสูงสุดของชีวิตคนๆนึง และดิ่งลงมายังจุดที่โหดร้ายจนยากเกินจะยอมรับ แต่นั่นก็ทำให้เราเข้าใจว่านี่แหละ ถึงแม้จะเสียใจแค่ไหนเราก็ต้องเข้าใจยอมรับ และอยู่กับมันให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ จากลา การเปลี่ยนแปลง หรือเรื่องอะไรที่มันหนักหน่วงกับเราก็ตาม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา