24 ก.พ. 2022 เวลา 11:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Another Round (2020) - เมื่ออาจารย์ปิ๊งไอเดียเมาทุกวันก่อนสอน... ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ?
" Another Round ตั้งคำถามได้อย่างน่าสนใจ ถึงผลลัพธ์ของการดื่มสุรา และเส้นศีลธรรมที่ถูกแบ่งไว้... "
สวัสดีครับทุกท่าน... เนื่องจากตอนนี้ก็กำลังเริ่มเข้าใกล้เทศกาลออสการ์ขึ้นทุกที ดังนั้นผมอยากจะมาแนะนำหนังเดนมาร์กเรื่องเยี่ยมที่คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศได้ในปี 2020 นั่นก็คือเรื่อง Another Round หรือ Druk (ภาษาเดนมาร์ก)
[ เรื่องย่อ ]
Another Round (2020) ได้รับการกำกับโดย Thomas Vinterberg เนื้อเรื่องพูดถึง Martin (Mads Mikkelsen) อาจารย์ที่กำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤติวัยกลางคน ทั้งรู้สึกไม่มีตัวตนในสายตาของครอบครัวและนักเรียน จนในวันหนึ่งเขาและกลุ่มเพื่อนครูในโรงเรียนได้ค้นพบทฤษฏีของ Finn Skårderud จิตแพทย์ชาวนอร์เวย์ที่กล่าวไว้ว่า
'มนุษย์มักมีระดับ alcohol ในเลือดต่ำกว่าที่ควรจะเป็น 0.05% เสมอ... และที่ระดับ 0.05% จะทำให้มนุษย์ผ่อนคลายและมีความคิดสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น'
พวกเขาจึงวางแผนในการทดสอบทฤษฏีนี้โดยแอบจิบสุราก่อนสอนทุกคาบ ส่งผลให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นทันตาเห็น แต่เรื่องวุ่นๆ ก็ทะยอยเริ่มเข้ามา...
[ ความรู้สึกหลังได้รับชม ]
ก่อนหน้านี้ ผมเคยมีโอกาสได้ดูผลงานของ Thomas Vinterberg เรื่อง The Hunt (2012) ซึ่งต้องขอยกนิ้วให้เลยว่า เป็นงานที่สุดยอดมากกับความดราม่าเสียดลึก (ตัวหนังได้เข้าชิงออสการ์ปี 2012) มาในงวดนี้ Thomas ก็ยังทำหนังได้สุดทางเหมือนเดิม ด้วยการใช้พล็อตเรื่องสุดครีเอท จากประเด็นเบาๆ อย่างการทดสอบจิบสุรา แต่นำมาพลิกขยายความ เพื่อพยายามสำรวจพฤติกรรม / จิตใจของมนุษย์ และผลลัพธ์ของการกระทำ
ผลลัพธ์จากในเรื่องถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า เมื่อเราอยากที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนเลือกที่จะถลำลึกข้ามเส้น (ศีลธรรม) บางอย่างแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง (เช่น การดื่มสุราหนักๆ) ท้ายที่สุดตัวเราเองจะเป็นอย่างไร ?
อีกประเด็นหนึ่งที่ผมชอบ คือ ประเด็นเรื่อง "การเป็นคนไม่มีตัวตน" นี่เป็นอีกประเด็นที่หนังพยายามสำรวจให้เราเข้าใจถึงปัญหานี้ เมื่อพระเอกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตนในสายตาของใครๆ ซ้ำยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ความรู้สึกนี้ก่อให้เกิดผลกระทบหลายอย่างตามมา...
ในจุดนี้น่าคิดว่า ถ้าทุกคนพยายามหันหน้ามาคุยกัน พยายามใส่ใจกันและกัน และช่วยกันหาทางแก้ไข ความเสียหายและผลลัพธ์อันเลวร้ายก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
ภาพบรรยากาศขณะมาร์ตินและผองเพื่อนกำลังเมาจนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว
สำหรับในส่วนของภาพยนตร์ หนังดำเนินเรื่องด้วยสไตล์นิ่งๆ (แบบยุโรป) แต่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายและความเฉียบคมในการเล่า โดยเฉพาะการเล่าเรื่องผ่านบริบทของสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดในเรื่อง และพยายามเสนอแนวคิดกับผู้ชมอย่างไม่ยัดเยียด
ตัวหนังเน้นนำเสนอความเป็นไปได้และผลลัพธ์ของแต่ละทางให้แก่ผู้ชม และท้ายที่สุด ผู้ชมจะต้องชั่งน้ำหนักและตัดสินใจด้วยเหตุผล / วิจารณญาณของตัวเอง (เช่น ดื่มเหล้าแล้วดีหรือไม่ดี / เราควรดื่มหรือไม่ควรดื่ม ?)
 
นอกจากความเรียบง่ายและการเชื่อในวิจารณญาณของผู้ชม หนังใส่ความตลกร้ายเข้ามาในเรื่องได้แนบเนียน ทำให้เรารู้สึกอินไปกับเรื่อง หรือทันทีที่เข้าพาร์ทดราม่า หนังก็พาเราดิ่งได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ทำให้หนังดูลึกและมีหลายอารมณ์ที่เสียดใจคนดู ทำให้เรารู้สึกสนุก และเจ็บปวดไปกับตัวละคร
ในส่วนของนักแสดง ผมรู้สึกประทับใจในตัว Mads Mikkelsen (Martin) แกยังมีมาดเท่อยู่เสมอ แม้ว่าตัว Mads อาจจะไม่ได้เป็นนักแสดงที่นำคาแรคเตอร์ของตัวละครนั้นๆ มาสวมเข้ากับตัวเองอย่างสมบูรณ์ แต่ Mads มีความสามารถในการตีความคาแรคเตอร์ของบทบาทเขาให้มีบริบทที่เข้ากับตัวเขาเอง ทำให้ตัวละครมีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจ (เห็นแล้วก็นึกถึง เหลียง เฉาเหว่ย ที่ไม่ว่าแสดงเรื่องอะไร ก็มีมาดที่เท่และสมบทบาทอยู่เสมอ แม้จะไม่ได้เปลี่ยนคาแรคเตอร์ตัวเองมากนัก)
[ ดนตรีและเพลงประกอบภาพยนตร์]
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ มีการใช้ดนตรีคลาสสิคค่อนข้างเยอะ ซึ่งทำให้หนังดูมีฟีลลิ่งที่แตกต่างจากหนังทั่วไป ดูมีคลาสของความเป็นหนังยุโรป / หนังนอกกระแสดี อย่างเพลงธีมในเรื่องก็ใช้เพลง Fantasie in f Moll, D 940 ของ Schubert
ในฉากสุดท้ายของเรื่อง เมื่อพระเอกสำนึกผิดและขอโอกาสแก้ไขให้กับตัวเอง หนังไม่ได้ใจร้ายปิดโอกาสพระเอกซะทีเดียว แต่จบหนังด้วยบทสรุปปลายเปิดที่เราต้องไปคิดต่อเอาเอง... เรียกว่าจบเรื่องได้อย่างสร้างสรรค์ตามภาษาหนังรางวัล / นอกกระแส
หลังจากหนังสามารถจบประเด็นทุกอย่างได้แล้ว ก็ตบท้ายด้วยฉากการเต้นฉลองจบการศึกษาของนักเรียน พร้อมเพลง What A Life ของวง Scarlet Pleasure
ด้วยซีนนี้เอง ก็ช่วยทำให้หนังปิดฉากได้อย่างสวยงามและสมบูรณ์
" What a life, what a night
What a beautiful, beautiful ride
Don't know where I'm in five
But I'm young and alive
what they are saying, what a life... "
[ สรุป ]
Another Round (2020) ถือเป็นต้นแบบของงานที่ลงทุนไม่เยอะ แต่อาศัยบทหนังที่เรียบง่ายและเฉียบลึก รวมถึงความสามารถทางการแสดงของนักแสดงในการช่วยเล่าบริบทเรื่อง ซึ่งจุดนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะ Another Round แสดงให้เห็นว่า แม้จะไม่ได้มีทุนใหญ่มากมาย แต่ถ้ามีบทหนังที่ดี ก็สามารถพาหนังก้าวไปในระดับโลกได้ แถมยังไม่พยายามสอนคนดู แต่ให้คนดูไปขบคิดเอาเองจากสิ่งที่หนังนำเสนอ
นอกจากนี้หนังก็ไม่ได้เป็นแนวประเภทอาร์ตจนดูยากแบบต้องปีนบันไดดู ตรงกันข้าม หนังเต็มไปด้วยความสนุกและความเรียบง่าย อย่างพล็อตง่ายๆ เบาสมอง แต่นำเสนอได้เฉียบลึกและตรงประเด็น
ดังนั้นต้องถือว่า Another Round เป็นงานชั้นเยี่ยมสมกับที่ได้ออสการ์ในปี 2020 และเป็นหนังอีกเรื่องที่ถ้ามีโอกาสก็แนะนำให้ชมกันนะครับ !
ป.ล. ด้วยความครีเอทและความน่าสนใจของพล็อตเรื่อง ดูเหมือนว่า Leonardo DiCaprio จะได้สิทธิ์การทำหนังเรื่องนี้ไป โดยจะนำไปรีเมคเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษและนำแสดงเอง ส่วน Thomas Vinterberg จะได้นั่งเป็น Producer ของหนังในเวอร์ชั่นใหม่ครับ รอติดตามเลย !
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากคุยหรือติดต่อกับผมนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา