25 ก.พ. 2022 เวลา 11:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
La La Land (2016) : ทรงพลัง งดงาม ท่ามกลางมหานครแห่งดวงดาว
" ละครชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน... ท่ามกลางดวงดาวและความฝัน ”
หลังจากที่ผมเคยรีวิวถึง West Side Story (2021) ไปแล้ว... ก็อยากจะย้อนไปพูดถึงอีกเรื่องที่เป็นที่กล่าวขานเมื่อกัน นั่นก็คือเรื่อง La La Land (2016) โดยตัวหนังได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดหนัง Musical ท็อบฟอร์ม กวาดทุกเสียงจากเทศกาลหนัง รวมถึงเข้าชิงลูกโลกทองคำ และยังเข้าชิงออสการ์ด้วยถึง 14 รางวัล และคว้ามาถึง 7 รางวัลอีกด้วย
[ เรื่องย่อ ]
La La Land ถูกกำกับโดย Damien Chazelle เจ้าของหนังดนตรี Jazz สุดระห่ำอย่าง Whiplash (2014)
La La Land เล่าถึงความรักของ มีอา (Emma Stone) และ เซบาสเตียน (Ryan Gosling) กับความฝันอันยิ่งใหญ่ในมหานครลอสแอนเจลิส มีอา เป็นเด็กขายกาแฟในคาเฟ่แห่งหนึ่งและมีความฝันอยากจะเป็นดารา ส่วนเซบาสเตียน หนุ่มช่างฝันที่เชื่อในวิถีแห่งแจ๊สและอยากจะเป็นเจ้าของคาเฟ่แจ๊สแห่งหนึ่งในมหานครแห่งนี้ ทั้งคู่ได้เดินทางตามฝันแต่ในโลกของความเป็นจริงกลับไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้
[ หนังย้อนยุคที่ฉายในปี 2016 ]
La La Land นำภาพกลิ่นอายของภาพยนตร์ฮอลลีวูดช่วงราวยุค 50-60 มาคืนชีพในสไตล์ Romantic & Musical
เซบาสเตียน (Ryan Gosling) และ มีอา (Emma Stone)
สำหรับเนื้อเรื่องของ La La Land ต้องขอบอกว่าไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่เราเคยเห็นทั่วๆ ไปกันอยู่แล้ว แต่จุดที่สร้างความโดดเด่นคือ บทหนังที่ทำได้น่าติดตาม พร้อมกับการทำหนังเลียนแบบ Musical ย้อนยุค (แต่อิงเวลาเป็นยุคปัจจุบัน) ซึ่งถือว่าแหวกแนวและ Art มากเลยทีเดียว
นอกจากนี้การกำกับก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำได้เยี่ยม เพราะวิสัยทัศน์ของเรื่อง แนวการดำเนินเรื่องทั้งในส่วนเนื้อเรื่องจริงกับส่วน Musical สามารถผสมผสานได้อย่างลงตัว อารมณ์ บทสนทนา ท่าเต้น จังหวะหนัง จังหวะเพลง องค์ประกอบเหล่านี้กลมกลืนกันอย่างสวยงาม จุดนี้ขอยกเครดิตให้ผู้กำกับที่สามารถคุมองค์ประกอบได้อย่างยอดเยี่ยม
ฉากดีไซน์ยอดยุคอันน่าทึ่ง
[ ความเป็นศิลปะในทุกอณู ]
ในส่วนงาน Production การกำกับฉากและแสงสีก็อยู่ในระดับห้าดาว มีการให้แสงสีต่างๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอารมณ์ รวมถึงย้อมโทนสีให้คล้ายกับเหมือนเราย้อนกลับไปดูหนังฮอลลีวูดเก่าๆ อีกครั้ง (ถ้าเทียบกับหนังไทยสมัยใหม่ ก็โทนสีคล้ายเรื่อง 'ฟ้าทะลายโจร' แต่ไม่ฉูดฉาดเท่า)
ภาพบรรยากาศในหนังที่ถูกย้อมจนสีท้องฟ้าดูเหนือจริง
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ Long Take มาประกอบในหนังอยู่บ่อยครั้ง ทำให้หนังมีมุมกล้องที่แปลกใหม่ เต็มไปด้วยเทคนิคอันแพรวพราวกระจายทั่วทั้งเรื่อง
ส่วนภายในเรื่องเราจะพบฉากโทนย้อนยุคที่มีองค์ประกอบศิลป์งดงาม เช่น เสื้อผ้า การแต่งตัว การเต้นแบบ Musical (Contemporary Dance & Tap Dance) สไตล์ฮอลลีวูดย้อนยุค ดนตรีแจ๊ส เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ทำได้ประณีตและ Tribute หนังฮอลลีวูดยุคเก่าได้อย่างน่าประทับใจ
การเต้นโชว์สุดอลังการ
[ ภาพรวมหนัง ]
" รื่นเริงในตอนแรก และขมขื่นในฉากสุดท้าย "
ภาพรวมหนังเป็นไปตามคอนเซ็ปต์ของเรื่องคือ เริ่มต้นด้วยการตามล่าฝันของชายหญิงที่มีความกล้าอย่างเต็มเปี่ยม ไปจนถึงฉากสุดท้ายที่ทั้งมีอาและเซบาสเตียนต่างสมหวังในบางอย่างและผิดหวังลึกๆ ในบางอย่าง บทสรุปของหนังเป็นไปตามแนวคิดว่า
"ท้ายที่สุดแล้ว ใน 'มหานครแห่งฝัน (City of Stars)' แห่งนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคนต่างต้องเดินหน้าเพื่อเติมเต็มความฝันของตัวเอง ซึ่งในจุดนี้ก็มีบางอย่างที่ต้องสละทิ้งไปเพื่อแลกกับสิ่งที่ดีกว่ามา"
ภาพดีไซน์ที่งดงาม
จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ ต้องขอชื่นชมในความบ้าของผู้กำกับ เพราะ La La Land เป็นหนังที่ทำยาก และโอกาสพลาดก็มีสูง (ถ้าแป๊กก็เจ๊งสนิท) แต่ในแง่คุณภาพหนัง La La Land เต็มไปด้วยของตื่นตาตื่นใจที่คนดูไม่เคยพบเห็นและเกินความคาดหมาย
ในขณะเดียวกันหนังก็อาจมีข้อเสียในแง่ที่ว่า อาจไม่เหมาะกับผู้ชมที่ชื่นชอบหนัง Blockbuster เพราะ La La Land ก็ไม่ใช่หนังดูง่าย ออกไปทางหนังอาร์ตและเฉพาะทางอยู่พอสมควร ทั้งการดำเนินเรื่องก็ไม่ได้เดินเรื่องแบบปกติ ดังนั้นบางคนก็อาจจะอินไปเลย หรือไม่ชอบไปเลย
[ นักแสดง : คุณภาพนักแสดงในระดับ Oscar ]
การแสดงของ Emma Stone น่าประทับใจในระดับเต็ง Oscar (แล้วก็คว้ารางวัลไปแล้วด้วย !) เนื่องด้วยบท Mia ไม่ใช่บทที่เล่นได้ง่าย นี่จึงเป็นการโชว์ศักยภาพของ Emma ให้เฉิดฉายอย่างเต็มที่
ช็อตที่ตราตรึงกับการแสดงของเธอมากที่สุด ก็คงไม่พ้นซีนดราม่าในฉาก Audition ครั้งสุดท้าย (The Fools Who Dream) เชื่อว่าใครที่ได้ดูฉากนี้ ก็คงเทคะแนนให้เธออย่างเต็มที่
ด้วยคุณภาพการแสดงของเธอ ที่เราเคยเห็นจากเรื่องอื่นแล้ว (อย่าง Birdman) ทั้งยังทำคะแนนได้ดีในเรื่องนี้ ผสานกับบทหนังที่ดันเธอให้เด่นที่สุดในเรื่อง จึงทำให้เธอสามารถคว้า Oscar ได้สำเร็จ
ส่วน Ryan Goshing (Sebastian) ก็แสดงได้ดี สมบทบาทในมาดหนุ่มติสท์ บื้อ โรแมนติก มาดเข้ม แอ๊คหล่อแต่ก็แอบตลก (ตามคาแรคเตอร์พระเอกฮอลลีวูดสมัยก่อน) เพียงแต่ว่า หนังไม่ได้ดันบทของ Ryan ให้แสดงอารมณ์ที่หลากหลายมากเท่ากับ Emma จึงทำให้เข้าชิงออสการ์ แต่ไม่ได้คว้ารางวัลกลับบ้านไป...
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ทั้งสองก็ไปไกลถึงเวทีออสการ์ ด้วยคุณภาพของทั้งคู่ที่ได้ทุ่มเทการแสดงอย่างเต็มที่ ทั้งแสดงเต้น ร้อง !
[ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ : งดงาม ทรงพลังในวิถีแห่ง Jazz ]
La La Land ได้รับการประพันธ์ดนตรีโดย Justin Hurwitz งานประพันธ์ชิ้นนี้ผมขอยกให้ว่า "โคตรดีระดับ 5 ดาว" ทั้งเพลงและดนตรีประกอบ มีธีมดนตรีที่ติดหูและยังสื่อถึงบรรยากาศหนังได้ดี ทั้งในแง่เศร้า สนุก ขมขื่น โรแมนติก ภาพของดวงดาวและมหานครแห่งความฝัน
ด้านเพลงประกอบหนัง 'City of the Stars' ก็ยอดเยี่ยม ด้วยทำนองที่โดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงาและที่สำคัญ เป็นบทสรุปของหนังที่หนังต้องการจะบอกเรา
[ สรุป ]
“ ละครชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน... ท่ามกลางมหานครแห่งความฝัน”
ความฝันกับความจริงเป็นสิ่งที่บรรจบกันได้ยาก แต่ถึงอย่างไรมนุษย์ก็เกิดมาเพื่อมีฝัน ไม่อย่างงั้นเราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ถึงแม้ว่าฝันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม...
La La Land (2016) ถือเป็นภาพยนตร์ที่งดงาม กลมกล่อม แปลกใหม่ และทรงพลัง โดยสามารถจัดให้อยู่ในแนวหน้าของวงการภาพยนตร์ยุคใหม่ได้เลย อันเนื่องมาจากความแหวกแนว ประณีต มีความเป็นศิลปะ มีสไตล์ที่โดดเด่น
หนังพาเราไปสัมผัสถึงฉากย้อนยุคคลาสสิค และยังโชว์การคารวะหนังเก่าอย่างมีชั้นเชิง หนังมีเทคนิคอันแพรวพราว พร้อมด้วยนักแสดงและดนตรีคุณภาพเยี่ยมที่ช่วยพาเราไปท่องโลกในมหานครแห่งดวงดาว
นี่จึงเป็นหนังห้าดาวที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง !
ป.ล. Reference จากหนังคลาสสิคต่างๆ ที่ La La Land นำมาใช้
ป.ล. 2 อีกหนึ่งช่องทาง หากชอบรีวิวหรืออยากติดตามพูดคุยกันนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา