หลังจากที่ผมเคยรีวิวถึง West Side Story (2021) ไปแล้ว... ก็อยากจะย้อนไปพูดถึงอีกเรื่องที่เป็นที่กล่าวขานเมื่อกัน นั่นก็คือเรื่อง La La Land (2016) โดยตัวหนังได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดหนัง Musical ท็อบฟอร์ม กวาดทุกเสียงจากเทศกาลหนัง รวมถึงเข้าชิงลูกโลกทองคำ และยังเข้าชิงออสการ์ด้วยถึง 14 รางวัล และคว้ามาถึง 7 รางวัลอีกด้วย
[ เรื่องย่อ ]
La La Land ถูกกำกับโดย Damien Chazelle เจ้าของหนังดนตรี Jazz สุดระห่ำอย่าง Whiplash (2014)
La La Land เล่าถึงความรักของ มีอา (Emma Stone) และ เซบาสเตียน (Ryan Gosling) กับความฝันอันยิ่งใหญ่ในมหานครลอสแอนเจลิส มีอา เป็นเด็กขายกาแฟในคาเฟ่แห่งหนึ่งและมีความฝันอยากจะเป็นดารา ส่วนเซบาสเตียน หนุ่มช่างฝันที่เชื่อในวิถีแห่งแจ๊สและอยากจะเป็นเจ้าของคาเฟ่แจ๊สแห่งหนึ่งในมหานครแห่งนี้ ทั้งคู่ได้เดินทางตามฝันแต่ในโลกของความเป็นจริงกลับไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้
[ หนังย้อนยุคที่ฉายในปี 2016 ]
La La Land นำภาพกลิ่นอายของภาพยนตร์ฮอลลีวูดช่วงราวยุค 50-60 มาคืนชีพในสไตล์ Romantic & Musical
เซบาสเตียน (Ryan Gosling) และ มีอา (Emma Stone)
สำหรับเนื้อเรื่องของ La La Land ต้องขอบอกว่าไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่เราเคยเห็นทั่วๆ ไปกันอยู่แล้ว แต่จุดที่สร้างความโดดเด่นคือ บทหนังที่ทำได้น่าติดตาม พร้อมกับการทำหนังเลียนแบบ Musical ย้อนยุค (แต่อิงเวลาเป็นยุคปัจจุบัน) ซึ่งถือว่าแหวกแนวและ Art มากเลยทีเดียว
"ท้ายที่สุดแล้ว ใน 'มหานครแห่งฝัน (City of Stars)' แห่งนี้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคนต่างต้องเดินหน้าเพื่อเติมเต็มความฝันของตัวเอง ซึ่งในจุดนี้ก็มีบางอย่างที่ต้องสละทิ้งไปเพื่อแลกกับสิ่งที่ดีกว่ามา"
ภาพดีไซน์ที่งดงาม
จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ ต้องขอชื่นชมในความบ้าของผู้กำกับ เพราะ La La Land เป็นหนังที่ทำยาก และโอกาสพลาดก็มีสูง (ถ้าแป๊กก็เจ๊งสนิท) แต่ในแง่คุณภาพหนัง La La Land เต็มไปด้วยของตื่นตาตื่นใจที่คนดูไม่เคยพบเห็นและเกินความคาดหมาย
ในขณะเดียวกันหนังก็อาจมีข้อเสียในแง่ที่ว่า อาจไม่เหมาะกับผู้ชมที่ชื่นชอบหนัง Blockbuster เพราะ La La Land ก็ไม่ใช่หนังดูง่าย ออกไปทางหนังอาร์ตและเฉพาะทางอยู่พอสมควร ทั้งการดำเนินเรื่องก็ไม่ได้เดินเรื่องแบบปกติ ดังนั้นบางคนก็อาจจะอินไปเลย หรือไม่ชอบไปเลย
[ นักแสดง : คุณภาพนักแสดงในระดับ Oscar ]
การแสดงของ Emma Stone น่าประทับใจในระดับเต็ง Oscar (แล้วก็คว้ารางวัลไปแล้วด้วย !) เนื่องด้วยบท Mia ไม่ใช่บทที่เล่นได้ง่าย นี่จึงเป็นการโชว์ศักยภาพของ Emma ให้เฉิดฉายอย่างเต็มที่
ช็อตที่ตราตรึงกับการแสดงของเธอมากที่สุด ก็คงไม่พ้นซีนดราม่าในฉาก Audition ครั้งสุดท้าย (The Fools Who Dream) เชื่อว่าใครที่ได้ดูฉากนี้ ก็คงเทคะแนนให้เธออย่างเต็มที่
La La Land (2016) ถือเป็นภาพยนตร์ที่งดงาม กลมกล่อม แปลกใหม่ และทรงพลัง โดยสามารถจัดให้อยู่ในแนวหน้าของวงการภาพยนตร์ยุคใหม่ได้เลย อันเนื่องมาจากความแหวกแนว ประณีต มีความเป็นศิลปะ มีสไตล์ที่โดดเด่น