เมื่อก้าวสู่ยุค....ข้าวยากหมากแพง
เราต้องปรับตัวยังไง ?
ถ้าเราลองย้อนกลับไปในอดีต จะเห็นได้ว่าของแพงนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น การเสื่อมค่าของเงิน และที่สำคัญคือ ค่าเงินเฟ้อ นั่นเองค่ะ
เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ราคาทองบาทละ 4,000 บาท ตอนนี้ 29,000 บาท ซึ่งลงมาจากที่เคยไปทำจุดสูงสุดที่ 30,400 บาท
น้ำมัน ลิตรละ 7 บาท ตอนนี้แม้แต่ดีเซล ก็ยังแตะที่ 30 บาท ส่วนเบนซินเคยขึ้นไปถึงลิตรละ 41 บาท
ก๋วยเตี๋ยว ชามละ 3-5 บาท มาตอนนี้ชามละ 50-60 บาท ราคาที่แบบอยู่ท้อง
ภาพจาก PPTV
ที่น่าฉุกคิดกว่านั้น เวลารัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ละพื้นที่จะไม่เท่ากัน เขตนี้จะได้ 2 บาท เขตนี้จะได้ 4 บาท แต่ค่าก๋วยเตี๋ยวขึ้นไปแล้ว 5 บาท แล้วแบบนี้คุณภาพชีวิตของประชาชนตาดำๆ จะเป็นอย่างไรคะ
วันนี้จึงชวนมาพิจารณาช่องทางรายได้ของเรากันค่ะ ซึ่งมีอยู่ 5 แบบด้วยกัน และเราจะเป็นแบบไหน ควรจะปรับตัวหรือไม่
แบบที่1 >> รายได้แบบรับครั้งเดียว (One time income) เช่น อาชีพเกษตรกร ทำนาเก็บเกี่ยวได้ครั้งเดียว ครั้งที่ 2 ก็ต้องปลูกข้าวใหม่ หรืออาชีพทนาย เมื่อทำคดีจบ ก็ต้องไปหาคดีใหม่ หรือวิศวกร คุมอาคารก่อสร้าง เมื่อจบโครงการก็ต้องไปหารับโปรเจคใหม่ เป็นต้น
แบบที่2 >> รายได้ถดถอย (Regressive income) ตัวอย่างของรายได้ลักษณะนี้ เช่น การเป็นดารานักร้องในวงการบันเทิง ซึ่งตอนเข้าวงการแรกๆ อาจได้เป็นพระเอก นางเอก รายได้ค่าตัวค่อนข้างสูง พอเริ่มแก่ตัวลง เปลี่ยนบทบาทเป็นพ่อเป็นแม่บ้าง บทตายายบ้าง ฝีมือเล่นเป็นทุกบทบาท แต่ค่าตัวลดลงไปหลายเท่า แบบนี้ก็ต้องไปหาอาชีพอื่นเพื่อเสริมรายได้
แบบที่ 3 >> รายได้ขึ้นลงตามสถานการณ์ (Intermittent income) ตัวอย่างเช่น ทำธุรกิจส่วนตัว ทัวร์นักท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท ฯลฯ กิจการเหล่านี้ รายได้ขึ้นลงตามสถานการณ์ ค่อนข้างจะเจ็บปวดหนักเมื่อเจอวิกฤตแต่ละที
เช่น พอเจอสถานการณ์ covid-19 เข้าไป จากปี 2019 จนถึงปัจจุบันนี้ สถานการณ์ก็ยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ และรายได้ก็ยังไม่เหมือนเดิม
แบบที่ 4 >> รายได้ขั้นบันได (Linear income) เช่น พนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ใน 1ปี อาจมีการขึ้นเงินเดือนครั้งนึงไปเรื่อยๆ ลักษณะเหมือนขึ้นบันได
โดยมีเงื่อนไขระหว่างขึ้นบันไดว่า ห้ามขาด ห้ามลา ห้ามสาย ห้ามป่วย ห้ามตาย ถ้าเข้าช่องใดดังที่กล่าวมา ก็อาจถูกหักเงินเดือน ถูกงดหรือลดโบนัส
สำหรับรายได้รูปแบบนี้ มักจะสิ้นสุดขั้นบันไดที่ 60 ปี หรือบางที่ 55 ปี หรือปัจจุบันก็มีหลายๆ บริษัทที่เกษียณเร็วขึ้น แต่ถึงรายได้จะขึ้นตามขั้นบันได แต่ค่าครองชีพกลับขึ้นลิฟต์
และเมื่อเจอวิกฤติ covid-19 หลายๆ บริษัทได้รับผลกระทบ ก็มีการขอลดเงินเดือนพนักงาน 20-30% โดยให้เลือก 2 ทาง ถ้ายินยอมก็ได้อยู่ต่อ แต่ถ้าไม่ยอม ก็อาจต้องได้ไปหางานใหม่ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะเลือกเอาไว้ก่อน
แบบที่ 5 >> รายได้แบบหลายชั้นหรือพหุคูณ (Passive income) เป็นรายได้ที่ดีที่สุดในโลก คือการสร้างสินทรัพย์เพื่อให้สินทรัพย์ทำงานแทนเรา หรือการสร้างเครือข่ายต่างๆ และเมื่อสิ่งที่เราสร้างขึ้นนั้นประสบผลสำเร็จ มันเหมือนกับเราทำงานโดยที่เราไม่ต้องทำนั่นเอง
เช่น งานเน็ตเวิร์กมาเก็ตติ้ง ก็เป็นรายได้ที่มาจากการทำทรัพย์สินให้มีค่าในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วมันก็เจริญเติบโตได้เอง หลังจากนั้นมันก็จะสร้างรายได้ให้เราไปตลอด โดยที่ไม่ต้องลงแรงทำอีกต่อไป หรือธุรกิจเครือข่าย (MLM) หรือการลงทุนในสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะให้ดอกผลเราได้เก็บกินไปตลอด เป็นต้น
ถ้าเรารู้จักสร้างรายได้แบบพหุคูณไว้จะดีมากๆ เพราะวิกฤตไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว แต่มันจะเกิดขึ้นตอนไหน ก็ไม่อาจทราบได้ และในชั่วชีวิตเราสิ่งที่หนีไม่พ้นแน่ๆ ก็คือ ภาษี วิกฤติ และความตาย
ซึ่งวิกฤติและความตายนั้นเราไม่ทราบหรอกว่ามันจะมาเมื่อไหร่ แต่ความตายถ้ามันเกิดขึ้นจริงเราก็ไม่รับรู้อะไรต่อไปแล้ว แต่วิกฤติจะเป็นตัวที่ทำให้ชีวิตเรายากลำบากเกินที่จะคาดเดาได้ ดังนั้นการเตรียมตัวรับมือไว้จึงเป็นการดีที่สุดค่ะ
ส่วนเรื่องภาษีนั้น ในเมื่อหลีกหนีไม่พ้น ก็จงทำใจให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้วกันนะคะ 🤭
เห็นอย่างนี้แล้ว ก็อย่ารอโชคชะตาหรือรอวันที่สินค้าจะถูกลง เพราะมันจะไม่มีวันนั้น สิ่งที่เราต้องทำ คือ จัดระบบชีวิตเรา การมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เดือน ต้องพยายามศึกษาเรียนรู้เรื่องการเงิน และการลงทุนให้มาก เพราะเป็นสิ่งสำคัญในยุคปัจจุบัน ใครมีพื้นความรู้มากกว่าย่อมได้เปรียบ
ต้องระมัดระวังและรอบคอบในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น ควรใช้ชีวิตให้ต่ำกว่ารายได้เสมอ อย่าใช้เกินรายได้ และให้พัฒนาศักยภาพของเราให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะรายได้ก็จะขึ้นตามศักยภาพของเรานั่นเองค่ะ
Cr. FTC TALK
เรียบเรียงโดย : ลงทุนในบัญชีและภาษี
ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่มีให้กันเสมอค่ะ
🌷🌷❤❤🙏🙏🙏🙏❤❤🌷🌷
- 15
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
