8 ก.พ. 2022 เวลา 11:31 • ไลฟ์สไตล์
“ทาน ศีล ภาวนา : พัฒนาคุณภาพชีวิต จิตใจ”
2
“ … เวลาเราทำทานเรามีความสุข
แล้วเรามองให้ออกระยะยาวด้วย
ทำอย่างไรเขาจะอยู่ได้
ทำอย่างไรสัตว์นั้นจะอยู่รอด
จิตใจที่รู้จักให้มันจะพัฒนา
อันแรกเลยมันลดความเห็นแก่ตัว ลดความตระหนี่
อันที่สองมันมีความอ่อนโยน
ใจที่รู้จักเกื้อกูลมันจะอ่อนโยน
ใจที่อ่อนโยนใจมันเป็นกุศลง่าย
อ่อนแอไม่ใช่ ต้องอ่อนโยน
ใจที่อ่อนแอ เป็น อกุศล
ใจที่อ่อนโยน นุ่มนวล เป็น กุศล
ฉะนั้นฝึกเป็นการพัฒนาจิตใจขั้นพื้นฐาน
พัฒนาด้วยทาน ใจก็เกิดมุทิตาจิต
เคยขี้อิจฉาก็หายไป ลดลง ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเอง
เป็นการพัฒนาใจขั้นต้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน
สุดท้ายมันก็มาลงที่การพัฒนาใจทั้งนั้น
ที่อาจารย์มหาเขียนท่านบอกว่า
“ธรรมะทั้งหมดที่ท่านสอนนั้น เป็นไปเพื่อการปฏิบัติ”
ปฏิบัติมันคืออะไร ก็คือการลดละกิเลส การเจริญกุศล
ก็อย่างนั้นล่ะ อย่างวันนี้ที่แจกแจงให้ฟังเรื่องทาน
มันนึกถึงอาจารย์มหาเขียนขึ้นมา
ธรรมะทั้งหมดเกี่ยวกับการปฏิบัติ
เรานึกว่าทำทานไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ
ที่แท้การทำทานเป็นการฝึกจิตขั้นพื้นฐาน
1
ต่อมาเราก็ฝึกให้เข้มข้นขึ้น รักษาศีล
การรักษาศีลจะต้องต่อสู้กับกิเลสตัวเอง
กิเลสมันจะพาเราผิดศีลตลอดเวลา
เราก็พยายามรักษาศีลไว้ ไม่ตามใจกิเลสที่จะทำผิดศีล
โกรธคนอื่นขึ้นมา โกรธสัตว์อื่นขึ้นมา ก็ไม่ทำร้ายเขา
เห็นใจที่เดือดเร่าๆๆๆ ก็บังคับไว้ ข่มไว้ว่านี่มันไม่ดี
พระพุทธเจ้าห้าม
ถ้าเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
เราก็ต้องรู้อันไหนพระพุทธเจ้าห้าม เราก็อย่าทำ
อันไหนที่ท่านให้ทำ เราก็พยายามทำเข้า
รักษาศีลแล้วสิ่งที่เราได้ก็คือธรรม เรียกว่าศีลธรรม
ในการทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายสัตว์อื่น
หรือการฆ่า การทรมาน เราจะต้องไม่ทำ
อย่างบางคนชอบตีไก่ ทุกวันนี้ไม่เฉพาะในคนธรรมดา
คนส่วนใหญ่จำนวนมากเลยก็ยังชอบตีไก่กันอยู่
ตีมาตั้งแต่ก่อนยุคพระนเรศวร
ถึงวันนี้ก็ยังมีบ่อนไก่
วันไหนบ่อนไก่เปิดหน้าบ่อน
โอ้โห รถยนต์จอดเพียบเลย ไม่ใช่คนจนๆ ไปตี
คนมีสตางค์ก็ไปตี ไปเล่นกัน
ไก่มันก็ไปสู้กันบาดเจ็บล้มตาย
ตัวไหนแพ้เคยเป็นที่รักของเจ้าของ
ทุกเช้าประคบประหงมดูแลอย่างดี
อาบน้ำ เช็ดตัว ให้กินอาหารอย่างดี พาเอ็กเซอร์ไซส์
พอตีแพ้จับหักคอต้มเลย
แค้น มันทำให้เราขาดทุนเล่นพนันแล้วแพ้
นี่มันความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจเลย
หาความสุขบนความเจ็บปวดของสัตว์
พอสัตว์แพ้ก็โมโหสัตว์อีก
ไม่โมโหตัวเองว่าใจบาปหยาบช้า นี่ไม่เห็น
ฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธ
อะไรที่ทรมานสัตว์เราก็อย่าไปทำ
ฝึกตัวเองไปให้มันรู้จักเมตตาสงสารเขา
พอใจเรามีศีล เราไม่ยอมทำผิดศีล กุศลมันก็เกิด
รักษาศีลแล้วสิ่งที่เราได้ก็คือธรรม เรียกว่าศีลธรรม
อย่างเราไม่ทำร้ายสัตว์อื่น ไม่ทำร้ายผู้อื่น
ใจเรามันจะค่อยอ่อนโยนลง
ทีแรกมันต้องกดข่มบังคับมากเลย
อยากทำร้ายมาก อยากฆ่ามัน
ฝึกตัวเองอดทนรักษาศีล นี่พระพุทธเจ้าห้ามเราไม่ทำ
พอเรารักษาศีลไปนานๆ
ใจมันคุ้นเคยที่จะไม่เบียดเบียน
ใจมันจะเริ่มอ่อนโยน
มันจะเกิดความเมตตากรุณาขึ้นในใจ
รักษาศีลข้อ 1 พอเรารักษาศีลข้อ 2
เราไม่ขโมยเขา เป็นศีล คืองดเว้นการไปขโมยเขา
ไปฉ้อโกงเขา ไปล่อลวงเอาทรัพย์สินเงินทองของเขา
สิ่งที่เราจะได้ คือ ความไม่โลภ
ถ้าโลภอย่างรุนแรงก็ไปลักเขา ขโมยเขา ไปโกงเขา
ไปล่อลวงเขา
ฉะนั้นถ้าเรารักษาศีลให้ดีมันจะเกิดธรรม
อย่างศีลข้อ 1 เราไม่ทำร้ายสัตว์
เราจะเกิดความเมตตากรุณาขึ้นมาในใจเรา
เราไม่ลักขโมยฉ้อโกงใครเขา
ต่อไปใจเราก็รู้จักแบ่งปัน รู้จักให้
ใจมันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มันค่อยๆ พัฒนาไป
เราไม่ประพฤติผิดในกาม ซื่อสัตย์อยู่ในคู่ของเรา
ฝึกเรื่อยๆ ข่มใจ เห็นเมียคนอื่นสวยอยู่เรื่อย
เมียเราไม่สวย หรือสามีเรา
ยุคนี้ไม่เฉพาะผู้ชายมีชู้ ผู้หญิงก็มี เสมอภาคกัน
ถ้าเราซื่อสัตย์ในคู่ของเรา เราไม่มักมากในกาม
โอกาสที่เราจะภาวนาให้จิตใจสูงขึ้นไป
ถึงระดับพ้นกามก็มีโอกาส
ทีแรกก็สันโดษในกาม สันโดษในคู่ของเรา
ไม่ตามใจกิเลส
ถ้าตามใจกิเลส กิเลสมันมีลักษณะเด่นอย่างหนึ่ง
ถ้าเราตามใจมันจะยิ่งแรงกว่าเก่า
นี่ธรรมชาติของกิเลสเลย
ถ้าตามใจเมื่อไรมันจะยิ่งแรงขึ้นๆ
1
อย่างเราโกรธคน เราไปด่าคน
มันจะด่าหยาบคายมากขึ้นๆ
ต่อไปก็เริ่มลงไม้ลงมือมากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายไปฆ่าเขาตาย
กิเลสหยาบๆ มันก็มาจากกิเลสละเอียดทั้งนั้น
ก่อนที่มันจะหยาบ มันละเอียดมาแล้วทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นกิเลสเล็กกิเลสน้อย
อย่านึกว่าไม่สำคัญ ต้องตั้งใจต่อสู้กับมัน
ถ้าตามใจมันละก็ กิเลสจะโตวันโตคืนเลย
โตเร็วมากเลย ไม่เหมือนกุศล กุศลโตช้า
มันเหมือนต้นไม้พันธุ์ดีกับวัชพืช
กิเลสมันเหมือนวัชพืช
ไม่รดน้ำพรวนดิน ไม่ต้องใส่ปุ๋ยก็งามเอาๆ
กุศลมันเหมือนต้นไม้พันธ์ดี มีคุณค่า มีประโยชน์
เลี้ยงยาก รอดยาก เลี้ยงไม่นานก็ตาย
อย่างพวกหญ้ารกๆ ไม่รู้จักหมดเสียที
ตัดอย่างไรเดี๋ยวก็งอกอีกแล้ว
ปลูกต้นไม้ไว้ ที่วัดจะไปปลูกป่า
พระอาจารย์อ๊าพาพระไปทำ
คนงานไปตัดหญ้าไว้ พระก็รีบเอาต้นไม้ไปปลูก
รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ต้นไม้ขึ้นมานิ้วหนึ่ง หญ้าขึ้นมา ศอกหนึ่ง
กิเลสมันเหมือนวัชพืชโตเร็ว
ไม่ต้องการการดูแลมากก็โตพรวดพราดๆ เลย
ส่วนกุศลเตาะแตะๆ ล้มลุกคลุกคลานอยู่นั่นล่ะ
ฉะนั้นจะให้กุศลเจริญจริงๆ ต้องอดทนจริงๆ
ต้องต่อสู้กิเลสจริงๆ เลย
เหมือนเราปลูกต้นไม้คอยตัดหญ้าไว้
ถ้าตัดหญ้าก็ต้องมีสติด้วย
บางทีเด็กๆ ไปตัดหญ้า มันก็ตัดต้นไม้ที่เราปลูกไว้ด้วย
แหว่งเป็นแถบๆ เพราะมันต้นเล็กกว่าหญ้า
กุศลนี้ก็เหมือนกัน พัฒนาขึ้นมา ใช้เวลา
สิ่งที่เรียกว่ากุศล ก็คือ ความไม่โลก ไม่โกรธ ไม่หลง
นั่นล่ะคือตัวกุศล
ฉะนั้นศีลเป็นการฝึกลดละความโลภ ความโกรธ ความหลง
อย่างศีลหลง กินเหล้าเมายามันหลง
พวกบ้าผู้หญิง พวกบ้ากามก็หลงกาม
ฉะนั้นศีลก็จะข่มกิเลส
ราคะ โทสะ โมหะที่หยาบๆ เอาไว้
แล้วก็เป็นช่องทางที่ให้กุศลคือ
อโลภะ อโทสะ อโมหะ มันเกิด
เห็นไหมว่าทานก็สำคัญ ศีลก็สำคัญ
ถัดไปที่ฆราวาสต้องเรียนนั้นคือภาวนา
เมื่อก่อนหลวงพ่อสอนกรรมฐาน
สอนกรรมฐานให้พวกเราเจริญสติ ทำวิปัสสนา
เคยมีพระท่านติงบอกว่าปราโมทย์สอนยากไป
ฆราวาสสอนมันทำทานถือศีลก็พอแล้ว
นี่ทัศนะของท่าน หลวงพ่อก็ครับๆ
ครับ หมายถึงทราบแล้วว่าท่านว่าอย่างไร
ถามว่าเชื่อไหม ไม่เชื่อ ทำไมไม่เชื่อ
พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเลยว่าฆราวาสทำทาน ถือศีล
ท่านสอนให้เรารู้จักทาน รู้จักศีล รู้จักภาวนา
เห็นไหมมีภาวนาด้วย ไม่ใช่ไม่มี
ฆราวาสก็มีภาวนาเหมือนกัน
ภาวนาได้ถึงขนาดไหน พระโสดาบัน พระสกทาคามี
ไม่ได้มีปัญหาเลย
พระอนาคามีเริ่มดำรงชีวิตอยู่ในโลกลำบากนิดหนึ่งแล้ว
เริ่มไม่เหมือนชาวบ้านเขาแล้ว
ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ควรจะเป็นฆราวาสอยู่ต่อไปแล้ว
ไม่เหมาะ เดี๋ยวจะพาคนอื่นตกนรกไปเยอะแยะเลย
เขาเดินมาทักทายเรา เขกหัวเล่นอะไรอย่างนี้
ฉะนั้นไม่ได้เหมาะ ควรจะไปบวชมากกว่า
1
ภาวนาแปลว่าเจริญ เจริญสมถะกับเจริญวิปัสสนา
แต่ฆราวาสจะต้องภาวนา การภาวนามันมี 2 อันคือ
สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา
ฉะนั้นสิ่งที่หลวงพ่อสอน
ไม่ได้เกินจากที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้สอนฆราวาสเลย
มันอยู่ที่ว่าฆราวาสจะเอาแค่ไหน
ฆราวาสพอใจที่จะภาวนาให้สงบ
ให้จิตมีกำลังเพื่อจะไปสู้กับโลกก็ฝึกไป
เป็นสมถภาวนา อย่างที่มีสำนักสอนเยอะแยะเลย
สาขาท่านอาจารย์วิริยังค์
ท่านสอนทั้งในประเทศ ทั้งต่างประเทศ
มีสาขา ชื่อสถาบันพลังจิตตานุภาพ ฝึกพลังจิต
นั่นคือเรื่องของการทำสมาธิทั้งหมด
ฝึกจิตตานุภาพ ฝึกจิตให้มันมีกำลัง
ก็คือไปนั่งสมาธิจิตมันสงบ มันก็มีเรี่ยวมีแรง
ก็เอาแรงนั้นไปต่อสู้ดำรงชีวิตอยู่กับโลก
ก็ได้เปรียบคนในโลกซึ่งไม่มีพลังจิต
คนมีพลังจิตมันก็ได้เปรียบ
เจอเรื่องเครียดๆ มากมันก็เครียดน้อย
เดี๋ยวนี้ฝรั่งก็เรียน
พวกอังกฤษเขาเรียนนั่งสมาธิกัน จริงจังกว่าพวกเราอีก
พวกเราคนไทยไม่ค่อยทำ ไม่ค่อยภาวนาเท่าไรหรอก
หลงโลกไปวันๆ หนึ่ง เล่นเฟซบุ๊ก เล่นไลน์
หลงโลกไป ไม่ค่อยภาวนา
พวกฝรั่งเขามีข้อดี เวลาเขาตั้งใจทำอะไร เขาทำจริง
เขาฝึกสมาธิเขาฝึกกันจริงจังเลย
ของเราทำบ้างไม่ทำบ้าง
ถือว่าเรียนเมื่อไรก็ได้
ฝรั่งไม่ได้ เสียสตางค์ด้วยที่จะไปเรียน
ก็เลยต้องตั้งใจเรียนหน่อย
ฝรั่งมันทำอะไรมันทำจริง
ของเราอะไรที่ควรจริงเราเล่นหมด
การเมืองเป็นเรื่องจริงๆ เราก็ไปเล่นการเมือง
อยากเล่นไปหมดล่ะ ภาวนาก็ภาวนาเล่นๆ ภาวนาเล่นๆ
บางคนขยันแล้วก็ภาวนาเล่นๆ เล่นอย่างไร
ภาวนาไปแล้วเห็นโน่นเห็นนี่ ระลึกชาติ
มันของเล่นทั้งนั้น
อย่างระลึกชาติได้ ดีใจไหมระลึกชาติ
แหมกูเก่งๆ ที่จริงไม่ได้มีสาระอะไรเลย
พิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง ไม่เหมือนธรรมะ
ธรรมะไม่มีข้อสงสัยเลย พิสูจน์ได้
เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้
แต่นั่งแล้วเห็นผี เห็นโน่นเห็นนี่ เห็นอดีต เห็นอนาคต
ถามว่าพิสูจน์ได้ไหม พิสูจน์ไม่ได้
หลวงปู่ดูลย์ท่านก็ไม่ได้ว่า ไปนั่งแล้วเห็นโน่นเห็นนี่
มีคนไปถามท่านว่าเขาเห็นจริงไหม
ท่านบอกเขานั่งสมาธิเขาก็เห็นจริง
แต่สิ่งที่ถูกเห็นมันไม่จริง
ระลึกได้โน้นนี้
ครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นโลก พ้นสงสาร
ท่านไม่เห็นมีสาระอะไร ของพวกนี้ มันทำให้หลง
ฉะนั้นเราภาวนา ถึงขั้นภาวนา
ภาวนาให้มันได้หลัก ภาวนามี 2 อัน
สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนา
ภาวนาแปลว่าเจริญ
เจริญสมถะกับเจริญวิปัสสนา ก็รู้หลัก
ถ้าจะทำสมถกรรมฐาน
หลักของมันอันแรกเรื่องอารมณ์
อารมณ์ที่ใช้ทำสมถกรรมฐาน ไม่เลือกอารมณ์
ใช้อารมณ์บัญญัติ คือ เรื่องราวที่เราคิดก็ได้
เช่น เราคิดพิจารณากายเป็นปฏิกูลอสุภะอะไรอย่างนี้
อันนี้เป็นเรื่องอารมณ์บัญญัติ
เรื่องคิดๆ เอา บริกรรมพุทโธ นะ มะ พะ ทะ
อะไรนี่เป็นเรื่องบัญญัติทั้งหมดเลยคิดๆ เอา
ทำแล้วถ้าจิตมันสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง
โดยไม่ได้บังคับไว้ จิตมันก็มีสมาธิขึ้นมา
หรือใช้อารมณ์รูปนามก็ได้
เห็นรูปเคลื่อนไหว ใจเป็นคนรู้ไปเรื่อยๆ
เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนรู้ไปเรื่อยๆ ก็ได้สมาธิ
จิตจะสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว
อยู่ในกายบ้าง อยู่ในลมหายใจ
หรือใช้อารมณ์นามธรรมก็ได้
เช่น อ่านความรู้สึกของตัวเองไป
เพ่งลงไป แล้วทำใจสบายดูลงไปในใจ
แล้วจะเห็นมันมีความว่างๆ อยู่
เราเพ่งลงไปในความว่าง
นี่เราใช้นามธรรมมาทำสมถะ
เพ่งลงไปในความว่าง
เราก็จะเข้าสู่อากาสานัญจายตนะ
เราวางความว่างย้อนกลับมาเพ่งตัวผู้รู้
เราก็เกิดวิญญานัญจายตนะ
เราวางทั้งความว่าง วางทั้งผู้รู้
ทรงตัวอยู่กับความไม่จับทั้งอารมณ์ ไม่จับทั้งจิต
มันก็เป็นอากิจจัญญายตนะ
ก็เป็นเรื่องของสมาธิทั้งหมด
สมถภาวนา
ฉะนั้นใช้อารมณ์บัญญัติก็ได้
รูปธรรมก็ได้ นามธรรมก็ได้ ใช้อารมณ์นิพพานก็ได้
แต่พวกเราปุถุชนจะทำไม่ได้
คนที่จะทำสมถะโดยใช้อารมณ์นิพพาน
จะต้องเป็นพระอริยบุคคล
เขาเรียกว่าการเข้าผลสมาบัติ ใช้นิพพานเป็นอารมณ์
ฉะนั้นหลักของการทำสมถะ
ข้อแรก คือ อารมณ์ ไม่เลือกอารมณ์
อารมณ์บัญญัติก็ได้ อารมณ์รูปนามก็ได้
อารมณ์นิพพานก็ได้ ได้ทั้ง 4 อย่าง
แต่เราต้องรู้จักเลือก
อารมณ์ชนิดไหนที่เราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข
เราอยู่กับอารมณ์ชนิดนั้น
หายใจแล้วมีความสุขเราก็หายใจไป
พุทโธแล้วมีความสุขเราก็พุทโธไป
ยืน เดิน นั่ง นอนแล้วมีความสุข
เราก็ยืน เดิน นั่ง นอนไป
เคล็ดลับ ก็คือ รู้จักเลือกอารมณ์ที่มีความสุข
ที่จิตอยู่ด้วยแล้วมีความสุข
เมื่อจิตมันอยู่ในอารมณ์ที่มีความสุข
มันก็ไม่หิว ไม่หนีไปหาอารมณ์อื่น
จิตที่ฟุ้งซ่าน คือ จิตที่หิวอารมณ์
วิ่งไปหาอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น
ทางกาย ทางใจ วิ่งพล่านๆๆ ไปเรื่อยๆ
เหมือนหมาขี้เรื้อนอยู่ตรงนี้ก็คัน
ก็วิ่งไปที่โน้น ที่โน้นก็คัน วิ่งไปที่นี้อีก
ถ้าจิตเรามีอารมณ์ที่พึงพอใจมีความสุข
อยู่กับอารมณ์นั้นไปสบายๆ จิตจะสงบเอง
แต่ก็มีเงื่อนไขว่าอารมณ์ที่เรามีความสุข
ต้องเป็นอารมณ์ที่ดี เป็นอารมณ์ฝ่ายชั่วใช้ไม่ได้
อย่างด่าคนแล้วมีความสุข เล่นไพ่แล้วมีความสุข
อย่างนี้เอาไปทำสมถะ ไม่ได้
บางคนได้ยินว่า
ให้อยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่อง แล้วจะได้สมถะ
บอกว่าเล่นหุ้นเปิดเน็ตดูทั้งวันเลย
หุ้นตัวนี้ขึ้นตัวนี้ลง
นี่อยู่ในอารมณ์อันเดียวไม่ได้หลุดออกจากจอเลย
อันนี้ทำสมถะไม่ได้ จิตจะแกว่งตลอดเวลาเลย
เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ
ตัวนั้นขึ้น ตัวนี้ลง อะไรอย่างนี้
ฉะนั้นอารมณ์นั้นอยู่แล้วมีความสุขจริงๆ ไม่ยั่วกิเลส
ไม่ทำให้จิตแกว่งไปแกว่งมา
เราไปดูตัวเราเองว่าเราเหมาะกับอารมณ์ชนิดไหน
สังเกตตัวเองเอา
แล้วเราอยู่กับอารมณ์นั้นเนืองๆ
เนืองๆ คือ อยู่บ่อยๆ ไม่ใช่อยู่ตลอดเวลา อยู่บ่อยๆ
แล้วใจมันจะสบาย ใจมีความสุข
นี่เคล็ดลับอันที่หนึ่ง รู้จักเลือกอารมณ์
เคล็ดลับอันที่สอง ก็คือ ใช้จิตที่ธรรมดา
รู้จักลักษณะของจิตที่จะทำสมถะ
จิตที่จะทำสมถะได้คือจิตธรรมดาๆ นี่ล่ะ
อย่าไปเค้นมันจนมันเครียดๆ อย่าไปกดข่มจิต
อย่าไปทำจิตให้เบลอๆ เคลิ้มๆ ใช้จิตปกติ
บางคนจะทำสมถะไปทำจิตให้เคลิ้ม เคลิ้มๆ
อย่างนี้ไม่ได้เรื่องหรอก
หรือบางคนก็ทำผิด เคร่งเครียด
ใช้จิตธรรมดา ต้องรู้จักไปเลือกอารมณ์ที่ถูกต้อง
จิตที่จะไปรู้อารมณ์เป็นจิตที่ธรรมดาๆ
มีอารมณ์ที่ถูกต้อง มีจิตที่ปกติ
ไม่เค้นมัน แล้วก็ไม่ไปบีบ ไปน้อมให้เคลิ้มอะไรอย่างนี้
จิตปกติ รู้อารมณ์ เวลารู้ก็รู้ไปตามธรรมดา
อย่ารู้ด้วยความโลภ เมื่อไรจะสงบๆ รับรองว่าไม่สงบ
รู้เล่นๆ ไป รู้ไปสบายๆ ไม่ได้เจตนาจะสงบหรอก
แต่จิตที่มันมีความสุขในตัวของมันเอง
มันไปรู้อารมณ์สุขที่มีความสุข
สุขกับสุขเจอกัน สมาธิเกิดทันทีเลย
ถ้าเลือกอารมณ์ที่มีความสุข
แต่จิตที่ไปดูอารมณ์นั้นไม่มีความสุข
จิตนั้นเคร่งเครียด หรือจิตนั้นเคลิบเคลิ้ม ลืมเนื้อลืมตัว
นี่จิตไม่ดี ไปรู้อย่างไรสมาธิก็ไม่เกิด
จิตใจปกตินี่ล่ะเป็นจิตใจมีความสุข
ไปรู้อารมณ์ที่เรารู้แล้วเราสังเกตเอา
อยู่กับอันนี้แล้วมีความสุข สุขกับสุขเจอกัน
“ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ”
ในคัมภีร์สอนไว้
อารมณ์นั้นก็เป็นอารมณ์ที่ให้ความสุข
จิตที่จะไปรู้อารมณ์ก็รู้อย่างมีความสุข
เราจะสงบอย่างรวดเร็วเลย
ต่อไปเราก็ชำนาญ ต้องการพักจิตเราก็สบาย
ใช้จิตปกตินี่ล่ะ
เมื่อทำกรรมฐานที่เราถนัด
บางคนหายใจ 2-3 ทีจิตก็รวมแล้ว
บางคนชำนาญจริงๆ หายใจปุ๊บรวมแล้ว
ยังไม่ทันจะหายใจสุดเลย
อย่างนั้นฝึกจนมันชำนาญ มีวสี
วิปัสสนาภาวนา
อีกอันหนึ่งคือวิปัสสนาภาวนา ก็มีหลัก
อาศัยสติไปรู้รูปนาม รู้กายรู้ใจ
รู้อย่างที่มันเป็น
รู้กายอย่างที่กายเป็น รู้ใจอย่างที่ใจเป็น
เราใช้จิตซึ่งมันมีพลังแล้ว
ทำสมาธิมามีพลังสงบ ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้ว
อาศัยจิตที่เป็นผู้รู้ผู้ดูไปเจริญวิปัสสนา
จิตผู้รู้มันก็มีวิธีพัฒนาขึ้นมาที่ต่างจากจิตสงบนิดหนึ่ง
จิตสงบ
เราน้อมจิตลงไปอยู่ในอารมณ์อันเดียวอย่างต่อเนื่องแล้วมันสงบ
แต่จิตผู้รู้
ให้รู้ทันจิตไว้ ถ้าจิตสงบก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้
จิตหนีไปคิดก็รู้ คอยรู้ทันจิตไป แล้วเราจะได้จิตผู้รู้
พอเรามีจิตที่เป็นคนรู้แล้ว
เราจะทำวิปัสสนาได้แล้ว
เราสามารถเห็นกายเห็นใจตามความเป็นจริง
กายเป็นอย่างไรรู้ไปอย่างนั้น
จิตใจเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
รู้อย่างที่มันเป็น แล้วถามว่ามันเป็นอะไร
มันเป็นไตรลักษณ์ มันไม่เป็นอย่างอื่นหรอก
เห็นกายแสดงไตรลักษณ์
เห็นใจแสดงไตรลักษณ์
เครื่องมือที่เราต้องพัฒนา ก็คือ สติกับสมาธิ
สติเกิดจากการที่เราเห็นสภาวะบ่อยๆ จิตจำสภาวะได้แม่น
แล้วต่อไปพอสภาวะอันนั้นเกิด สติจะเกิดเอง
สมาธิตัวนี้ไม่ใช่แค่สงบ สงบนั้นเป็นส่วนประกอบอันหนึ่ง
จิตที่ไม่สงบยังไม่มีแรง ถ้าจิตมันสงบแล้วมีแรง
แต่ไม่รู้จักใช้งานก็โง่ เรียกว่ามีแรงเฉยๆ แต่ทำอะไรไม่เป็น
เรียกสมาธิโง่ๆ ก็ต้องพัฒนาอีกนิดหนึ่ง
ต่อยอดจากสมาธิสงบนิดหนึ่ง
อย่างใจเราสงบแล้ว
เราจะเห็นสักพักหนึ่งมันจะเริ่มไม่สงบ
จิตมันจะเริ่มไปคิด เรามีสติรู้ว่าจิตไหลไปคิดปุ๊บ
จิตผู้รู้มันจะเกิด
ฉะนั้นเราทำสมาธิเหมือนเดิม
แต่แทนที่จะให้จิตสงบอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานนั้น
เราคอยรู้ทันจิต
หายใจไปพุทโธไปแล้วจิตหนีไปคิดเรื่องอื่น รู้ว่าจิตหนีไป
หรือจิตไหลเข้าไปที่ลม รู้ว่าจิตไหล
ตรงที่เรารู้ทันจิตที่เคลื่อนไปเคลื่อนมานั่นล่ะ
เราจะได้จิตผู้รู้โดยง่ายดาย จะได้อัตโนมัติเลย
ฉะนั้นสิ่งที่ต้องฝึกมีสติกับสมาธิ
สมาธิตัวนี้คือจิต สภาวะที่ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู
สติเป็นตัวระลึกได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในกายในใจ
สมาธิเป็นตัวที่ทำให้ใจตั้งมั่น สักว่ารู้ว่าเห็น
สักว่ารู้ว่าเห็น ก็คือ ไม่มีอคติ ไม่มี bias จิตปกติอย่างนี้
ไม่ทรงสมาธิ ไม่ทรงฌาน ไม่มีอะไรอย่างนี้
หรือไม่ได้เป็นจิตผู้รู้ มันจะมี bias
มันจะชอบอันนี้ เจออารมณ์อันนี้ชอบ
เจออารมณ์อันนี้เกลียด มันไม่เป็นกลาง
ฉะนั้นมันไม่เห็นสภาวะตามความเป็นจริงหรอก
ฉะนั้นจิตต้องตั้งมั่นแล้วก็เป็นกลาง
ฉะนั้นคีย์เวิร์ดของหลักของวิปัสสนาที่หลวงพ่อสอนก็คือ
ให้เรามีสติรู้กายรู้ใจ ให้มีสติแล้วไปรู้ ไม่ใช่ไปเพ่ง
ไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ไปแทรกแซง
มีสติรู้อะไร รู้กายรู้ใจ
รู้อย่างไร รู้ตามความเป็นจริง
กายเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
ใจเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
แล้วเราจะเห็นว่าที่มันเป็นๆ มันเป็นอะไร
มันเป็นไตรลักษณ์
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เราจะเห็นตัวนี้ได้
จิตเราจะต้องตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู แล้วก็เป็นกลาง
ฉะนั้นหลวงพ่อจะสรุปให้เรา
“มีสติรู้กายรู้ใจ ตามความเป็นจริง”
วงเล็บ “ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง”
หลักของมันมีเท่านี้
เมื่อรู้หลักแล้วก็เดินเอา
ช่วยตัวเอง พยายามพัฒนาตัวเองไป
ฝึกทุกวันมันไม่โง่ตลอดชาติหรอก
วันนี้ล้มลุกคลุกคลาน วันหน้ามันก็เก่งขึ้น
พวกเราจำไม่ได้เอง ก่อนที่เราจะเดินได้
ก่อนที่เราจะยืนได้ เราล้มลุกคลุกคลานมาเท่าไรแล้ว
ตอนเด็กๆ ก็นอน นอนอยู่ต่อมาก็เริ่มขยับหัวได้
ขยับหัวพลิกซ้ายพลิกขวาได้
ต่อมาก็พลิกตัวได้
ต่อมาก็ลุกขึ้นนั่งแล้วก็คลานได้
จากคลาน 4 เท้า จากเดรัจฉาน 4 ขา
จะขึ้นมายืน 2 ขา ขึ้นมาเดี๋ยวก็ล้ม
เดี๋ยวก็ต้องยืนอีกแล้วก็ล้มอีก
ยืนได้แล้วเดิน เดินได้ 2-3 ก้าวล้มแผละอีกแล้ว
กว่าจะวิ่งได้ทุกวันนี้ กว่าจะเดินได้
ผ่านกระบวนการฝึกปรือมาเยอะแล้ว
จิตนี้ก็เหมือนกัน
กว่าเราจะเดินได้ถูกต้องเข้มแข็ง
มันก็ล้มลุกคลุกคลาน แต่มันต้องสู้
ถ้าไปเจอเด็กอ่อนแอ ลุกขึ้นเดินนิดเดียวหกล้ม
ชาตินี้ไม่ยอมเดินอีกแล้ว มันก็พิการอยู่อย่างนั้น
ฉะนั้นจิตเราตอนนี้ล้มลุกคลุกคลาน ไม่เป็นไร
ฝึกตัวเองให้มันเข้มแข็ง ล้มแล้วก็ลุกขึ้นมา
คลานไปให้ได้ อย่าอยู่นิ่ง อย่ายอมแพ้
ฝึกตัวเองอย่างนี้ทุกวัน
มันก็จะอยู่ในเรื่องทาน ศีล ภาวนา
สุดท้ายมันก็ลดละอกุศลลงไป
แล้วก็เจริญกุศลให้ถึงพร้อม
สิ่งที่เรียกว่ากุศลคือไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
อโลภะ อโทสะ อโมหะ
ตัวที่จะฝึกให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
ก็คือศีล สมาธิ ปัญญานั่นล่ะ
ฝึกให้เราไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงได้. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
29 มกราคม 2565
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา