13 ก.พ. 2022 เวลา 23:10 • ปรัชญา
ทำไมเราจึงควรหยุด'ขี้เกียจ'เสียที
เคยพูดคำๆนี้ไหมครับ "โอ๊ย ขี้เกียจจัง" "ไว้ค่อยทำตอนนี้ขี้เกียจ" ขี้เกียจๆแล้วก็ขี้เกียจ คุณพูดคำนี้บ่อยแค่ไหนเคยลองนับดูบ้างหรือเปล่า ถ้าลองนับดูคุณอาจจะตกใจกับจำนวนที่นับได้
แต่วันนี้ผมจะมาบอกเหตุผลว่าทำไมคุณจึงควรเลิกพูดคำว่าขี้เกียจเสียตอนนี้ ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับความขี้เกียจก่อนเลย
ความขี้เกียจคืออะไร มันคืออาการที่เราไม่อยากทำอะไรสักอย่างหรือทุกๆอย่าง ทั้งเพราะมีเหตุผลหรือไม่มี เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกวันเดือนปี และผมยังคิดว่าตัวการที่ทำให้เราขี้เกียจก็คือตัวเราเอง และเหตุผลที่เอามาอ้างก็ไม่มีอยู่จริงอีกด้วย
นี้คือคำนิยายของความขี้เกียจ แต่ความขี้เกียจตามหลักวิทยาศาสตร์ก็มีอยู่เช่นเดียวกัน โดยการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วยการใช้หนูทดลองนั้น บอกว่าความขี้เกียจเป็นเรื่องที่ฝังอยู่ในยีนของเรา และส่งต่อๆไปให้ลูกหลานเราได้ ดังนั้นหมายความว่าหากเราขี้เกียจเราเองก็อาจจะได้รับยีนขี้เกียจมาจากพ่อแม่นั้นเอง
บางแหล่งก็บอกว่า ความขี้เกียจคือสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ เพราะยุคดึกดําบรรพ์นั้น พลังงานยังเป็นสิ่งที่หายากทำให้ร่างกายต้องจัดสรรไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเพื่อเอาชีวิตรอด ฟังดูแล้วก็มีบางส่วนที่ดูสมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ
จากยุคไดโนเสาร์มาจนถึงทุกวันนี้ มันก็ผ่านมานานแสนนานแล้ว มันจะยังคงอยู่จนสามารถบังคับเราได้เลยหรือ หากมันยังสืบต่อมาจากบรรพบุรุษของเราจริงๆ เราจะทำการขัดขืดมันได้หรือไม่
และต่อไปนี้คือเหตุผลที่คุณควรจะทำการต่อสู้ขัดขืนกับความขี้เกียจ
ความขี้เกียจส่งผลต่อตัวคุณโดยตรง
ทำไมกันมันส่งผลยังอย่างไรหรอ
ผมจะบอกให้เจ้านี่มันร้ายกาจมาก มันอาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสดีๆในชีวิตไปก็ได้ ความขี้เกียจจะมาพร้อมกับความกลัว กลัวที่จะทำอะไรแล้วไม่เป็นไปตามที่ต้องการ กลัวจะล้มเหลว กลัวความผิดหวัง และขั้นต่อมามันจะทำให้คุณไร้เป้าหมายในชีวิตไปเลย เพราะคุณไม่อยากทำอะไรสักอย่าง ชีวิตคุณก็จะว่างเปล่า ได้แต่นอนทอดหุ่ยไปวันๆ
เป็นอย่างไรบ้างครับ หลังจากรู้เหตุผลที่ควรแล้ว คุณเริ่มอยากจับอาวุธขึ้นต่อสู้หรือยัง เรามาสู้กันเถอะครับ ผมจะบอกวิธีให้ อาวุธคุณก็มีอยู่แล้วนะ คือ ความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองไงครับ
มาเริ่มกันเลย
ขั้นแรกคุณควรจะนอนก่อนครับ ผมไม่ได้ติดตลกนะครับ คืนนี้คุณนอนให้อิ่มหนำเลย อย่างน้อยให้ได้7ชั่วโมง นอนก่อน22.00 จะดีมากเลยครับ หากคุณนอนเพียงพอแล้ว คุณตื่นขึ้นมาพร้อมอารมณ์ที่สดใสไม่ง่วงซึม สมองพักผ่อนเพียงพอ ทำให้คุณคิดอะไรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่และครับที่ผมอยากให้เกิดขึ้นก่อนที่จะเริ่มขั้นต่อไป
ขั้นต่อมาให้คุณลองตั้งเป้าหมายดูครับ ไม่ต้องยาก เราพึ่งเริ่มเอง เอาง่ายๆก่อนครับ สิ่งเล็กๆทำได้ง่ายๆ
เช่น วันนี้จะเก็บโต๊ะเขียนหนังสือให้สะอาด
เมื่อได้เป้าหมายแล้ว ต่อไปหาเหตุผลที่เราควรทำสิ่งนั้น เช่น ที่ฉันจะเก็บโต๊ะหนังสือเพราะว่าปากกาของฉันหายไปหลายด้ามแล้ว ฉันซื้อมันใหม่ไม่ไหวแล้ว ฉันคิดว่ามันคงอยู่ซอกไหนสักแห่งบนโต๊ะตัวนี้แหละ แต่มันช่างลกเหลือเกิน ฉันจะจัดการมันเอง
ได้แล้วแรงจูงใจ ต่อไปให้คิดถึงภาพตอนที่เราได้ทำสิ่งนั้นๆสำเร็จไปแล้ว ภาพของโต๊ะที่สะอาดตา ปากกาที่หายไปเกือบสิบด้ามกลับมาอยู่ในที่ๆมันควรจะอยู่ และเราไม่ต้องซื้อปากกาใหม่แล้ว
3ขั้นก่อนหน้าก็คือการกระตุ้นตัวเอง และเรามาถึงขั้นตอนสำคัญแล้วครับ คือการเริ่มลงมือทำ เริ่มจากง่ายๆไปก่อน ค่อยๆทำ อาจจะเริ่มจากการขยับโต๊ะออกมาจากมุมเดิมของมันนิดหน่อยเพื่อที่เราจะได้เห็นของที่หล่นอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็เริ่มจัดเก็บสมุด บางเล่มที่ใช้ก็เก็บเรียงซ้อนๆกันไว้ เล่มไหนไม่ใช้ต้องการทิ้งก็จัดการเสีย และค่อยๆทำไปจนสำเร็จ
แนะนำว่าระหว่างที่ลงมืออยู่นั้นควรจะนึกภาพโต๊ะหรือความสำเร็จในสิ่งที่เรากำลังทำไว้ด้วยนะครับเพื่อเป็นแรงกระตุ้นเราตลอดเวลา
สุดท้ายคุณจะพบว่ามันไม่นานเลยสักนิด มันจบไวมาก มันสำเร็จแล้ว โต๊ะเบื้องหน้าช่างสะอาดแลดูเป็นระเบียบ ตบท้ายคุณควรให้รางวัลเล็กๆน้อยกับตัวเองเพื่อเป็นกำลังใจในการต่อสู้ครั้งต่อๆไป
อาจจะเป็นไอศกริมสักแท่งก็ได้ ครั้งหน้าถ้าคุณทำสิ่งที่ใหญ่กว่านี้ เช่น เปลี่ยนเป็นเก็บห้องนอน หรือเก็บกวาดทั้งบ้าน ของรางวัลก็ควรจะเพิ่มขึ้นตามด้วยเช่นกัน
แค่ทำตามนี้คุณเองจะค้นพบว่าความขี้เกียจช่างอ่อนแออะไรอย่างนี้ และคุณจะบอกตัวเองว่า ตัวฉันเองจะไม่ยอมแพ้ต่อเจ้านี่อีกเด็ดขาด
สุดท้ายนี้คงต้องบอกว่าความขี้เกียจไม่ได้มีแค่ข้อเสียเท่านั้น บางทีความขี้เกียจก็ทำให้ร่างกายของเราได้พักผ่อน ได้ผ่อนคลายความเครียดจากเรื่องต่างๆที่พบพานมาในแต่ละวัน
ขอบคุณที่อ่านจนจบ ผมดีใจมากๆที่ทุกท่านอ่านมาจนถึงตรงนี้ และยังคงหวังว่าบทความต่อๆไปของผมจะได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่านทุกท่าน
อ้างอิง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา