20 ก.พ. 2022 เวลา 08:26 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Dune (2021) - มหาศึกแห่งดูน
บทเริ่มต้นของมหากาพย์ไซไฟครั้งใหม่จากบทประพันธ์อันลือชื่อ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของหนังไซไฟหลายเรื่อง
เนื่องจากเพิ่งอ่านหนังสือ Dune ไปจนอดใจรอดูผ่าน Streaming ไม่ไหว ต้องกดซื้อจาก ITunes มาดู ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ งานภาพงานเสียงสวยงามยอดเยี่ยมตามคำสรรเสริญ
2
คะแนน 9/10 สำหรับคนอ่านหนังสือมาแล้ว
คะแนน 7/10 สำหรับคนไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน
10 Short Notes หลังดูจบ (ไม่สปอยล์หรอกจ้ะ)
1. นี่คือภาพยนต์ไซไฟที่สร้างจากหนังสือได้ตรงต้นฉบับ เติมเต็มจินตนาการที่เราอาจจะไปไม่ถึงในตอนที่อ่านหนังสือ
เพราะมันเป็น Sci-fi ไง ต่อให้ดูหนังสไตล์นี้มานักต่อนักแล้วก็ตาม บางทีมันก็นึกภาพไม่ค่อยออกเวลาหนังสือบรรยายถึงนู่นนี่นั่นที่มันไม่ได้เห็นจริงในชีวิตปัจจุบันบนโลกมนุษย์ พอได้เห็นเป็นภาพถอดมาจากการบรรยายตัวหนังสือ มันยิ่งใหญ่สมจริงเกินกว่าที่เรานั่งนึกตอนอ่านไปมาก
นั่นคือที่มาของคะแนน 9/10 สำหรับคนที่เคยอ่านหนังสือมาก่อน
2. เรื่องราวเล่าถึงปีที่หนึ่งหมื่นต้น ๆ ซึ่งมีเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่ในดาวหลาย ๆ ดวง ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิ ซึ่งก็เป็นการต่อสู้ชิงอำนาจทางการเมืองของเผ่าพันธุ์/สมาพันธุ์ทั่วไป อย่างที่เราเห็นจากหนังไซไฟในหลาย ๆ เรื่อง โดยใจกลางเรื่องจะพูดถึงเด็กหนุ่มอายุ 15 ปีคนหนึ่งที่น่าจะเป็น The One ที่ถูกทำนายไว้ว่าจะมาเป็นผู้นำหรือผู้ปลดปล่อยประมาณนี้
3. ทีนี้ในเรื่อง Dune ภาคแรกนี้มันเป็นภาคปูพื้นวางโครงเรื่อง เล่าความเป็นมาคร่าว ๆ ของทั้งพระเอก ตระกูแต่ละเผ่า อีกทั้งจักรวาลความเป็นอยู่ของเรื่องราวต่าง ๆ ฯ ใครที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อน ก็อาจจะรู้สึกงง ๆ บ้าง เนือย ๆ บ้าง เพราะไม่มีฉากต่อสู้อะไรมากนัก
อีกทั้งหนังต้องย่อความจากหนังสือที่บรรยายโคตรละเอียดทั้งบทสนทนา ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ความเป็นมานู่นนี่นั่นให้มาอยู่เหลือแค่ สองชั่วโมงครึ่ง มันก็ยากเอาการ คนที่ดูหนังอวกาศที่เน้นต่อสู้อาจจะหลับไปได้เลยในบางช่วง
4. หน้งสือ Dune นี่มีทั้งหมด 6 เล่มนะ ตอนนี้มีแปลเป็นไทยคือเล่ม 1 ซึ่งยังต้องทำออกมาเป็น 2 เล่มเลยเพราะมันหนามาก ตัวหนัง Dune ภาคแรกนี้ เป็นเพียงครึ่งเรื่องของเล่ม 1 เท่านั้น ดังนั้นเรื่องราวจึงยังไม่เข้มข้นเพราะเรื่องมันเพิ่งเริ่ม แต่ก็ขอชมว่าผู้กำกับและคนเขียนบททำได้ดีมาก กระชับมาก แต่ก็ไม่พร่องในรายละเอียด
5. Dune ไม่ได้เน้นเรื่องการต่อสู้และการเมืองเพียว ๆ แต่พ่วงเรื่องปรัชญา ความเชื่อ ความศรัทธา ลงไปด้วย ตอนอ่านหนังสือจะสนุกมากเพราะบรรยายละเอียด แต่พอมาทำเป็นหนังการจะสื่อถึงสิ่งที่ตัวละครคิดทำได้ยาก
อีกทั้งผู้กำกับคนนี้ไม่เน้นเรื่องการดำเนินนำเสนอแบบโต้ง ๆ แต่เน้นสัญลักษณ์การตีความมากกว่า ซึ่งส่วนตัวชอบมากเพราะรู้สึกมีชั้นเชิงมากกว่า มีศิลปะมากกว่า (แต่เชื่อว่ามีหลายคนไม่ชอบเอามาก ๆ เช่นกัน)
6. Dune คือดาวทะเลทรายที่ร้อนระอุและขาดน้ำ เราจึงจะได้เห็นการดำรงชีวิตเอาตัวรอดบนดาวผ่านเครื่องมืออุปกรณ์ ชุดแต่งกาย การเดินทาง ฯ ผ่านภาพที่สวยงามมาก ๆ ของเนินทรายที่สลับซับซ้อนงดงามและอันตราย
ฉันเองตอนแรกดูผ่านมือถือ ยังต้องลุกไปเปิดทีวีจอยักษ์ดูแทน เพราะมันได้อารมณ์และความอลังการที่ต่างกันมาก ไม่แปลกใจเลยที่หลายคนบอกว่า ต้องดูที่ IMAX ถึงจะครบอรรถรส
7. พูดถึงนักแสดงบ้าง พระเอกของเรื่องซึ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุ 15 ปี นามว่าพอล อาทรีเดส นำแสดงโดย Thimothée Chalamet หน้าสวยมีเสน่ห์ชวนมอง สามารถถ่ายทอดผ่านแววตาได้ดีเหลือเกิน ทั้งตอนที่สับสน หวาดกลัว และก็ตอนเอาจริงเอาจัง แข็งกร้าว ดุดัน ทำให้เราเชื่อได้ว่านี่แหละคือ The One ตามตำนาน คือคนที่จะมาเป็นผู้นำ ที่มาพร้อมความสามารถลึกลับ
ส่วนนางเอกที่แสดงโดย Zadaya แม้ในภาคนี้จะมาสั้น ๆ แต่เอาใจฉันไปแล้ว ชอบเธอในเรื่องนี้มากกว่าตอนเป็นแฟนสไปเดอร์แมนภาคล่าสุดอีกนะ รู้สึกว่าบทมันตอบโจทย์บุคลิกท่าทางของเธอได้มากกว่า มีทั้งความเท่ เก๋ และเสน่ห์แบบมองพิศ แล้วติดตรึงใจ
8. แต่ที่ขโมยซีนไปเกือบทั้งเรื่องก็คือแม่พระเอก Lady Jessica นำแสดงโดย Rebecca Ferguson นี่คือผู้หญิงที่งดงาม ครบเครื่องจริง ๆ สมบูรณ์พร้อมไปหมด บทบาทในเรื่องเธอจะคือสาวกของกลุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็น “นางแม่มด” เพราะสำนักนี้ถูกฝึกฝนให้มีความสามารถลึกลับ มีพลังจิตที่สั่งผู้คนโดยน้ำเสียง หรืออ่านจิตใจใครต่อใครได้
ถ้าดูหนังก็จะคิดว่าพลังพวกนี้เป็นพลังติดตัวมาจากเผ่าพันธุ์ ต้องอ่านหนังสือมาถึงจะรู้ว่ามันคือการฝึกจิตมาอย่างยาวนาน บวกผสมกับความว่องไวในการสังเกตุและชั้นเชิงทางจิตวิทยา เพราะในหนังสือจะบรรยายความคิดของตัวละครละเอียดว่านางนั้นไม่ได้อ่านใจได้ แต่เป็นการเดาใจและโน้มน้าว
ซึ่ง Rebacca แสดงเป็น Jessica ได้ถอดแบบจากในหนังสือครบถ้วน ต้องเป็นผู้หญิงที่เห็นปุ๊บหลงรักได้ทันที แต่ก็จะรู้สึกคร้ามเกรงกับความลึกลับที่ซ่อนอยู่ด้วยเช่นกัน
9. คิวบู๊การต่อสู้ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกใจฉัน เพราะทำออกมาได้ธรรมชาติดี เราจะไม่เห็นการสู้ประชิดตัวแบบจา พนม ที่กระโดดหมุนตีลังกาอะไรเทือกนั้น แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ที่เรียบง่าย เน้นทักษะสมจริง พูดง่าย ๆ ว่าไม่เว่อร์วังอลังการ แต่กลับรู้สึกจับต้องได้แบบมนุษย์มนาประดาบกันน่ะ
10. ในส่วนโปรดักชั่นนั้นยิ่งใหญ่สมกับราคา ทั้งนี้ยานอวกาศ ชุดอวกาศ หรือกองทัพต่าง ๆ ผู้กำกับและทีมงานไม่ได้เลือกโชว์ความไฮเทค วิบวับ แบบหนังไซไฟรุ่นใหม่ ๆ แต่เน้นไปที่ความเรียบง่ายเหมือนหนัง Star wars ยุคแรก ๆ อย่างนั้นแหละ
ส่วนตัวชอบมากรู้สึกดิบดี ทำให้โทนสีของหนังมันกลมกล่อมเข้ากับดาวทะเลทราย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ได้ความบันเทิงของหนังอวกาศนะ เทคนิคนู่นนี่ที่โชว์ความล้ำของโลกอนาคตก็ยังมีให้เสพอยู่อย่างที่ควรจะเป็น เพียงแต่ภาพและสีสันมันดูดิบ ดูเรียลหน่อยเท่านั้นเอง
สรุป : นี่คือหนังไซไฟ ฟอร์มยักษ์ที่ละเมียดละไมเหมือนเสพงานศิลป์ เติมเต็มจินตนาการแฟนหนังสือได้ทั้งหมด การได้เห็น “หนอนยักษ์” ที่นึกภาพยังไงก็นึกไม่ออกตอนอ่านหนังสือ พอมาขึ้นจอให้เห็นเท่านั้น เติมความน่ากลัวให้ทบทวีคูณกันไปเลย
ป.ล. Dune ได้เข้าชิงออสการ์ทั้งหมด 10 สาขา เน้นไป Production เกือบทั้งหมด
🙏😎

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา