22 ก.พ. 2022 เวลา 14:31 • ธุรกิจ
การลงทุนในช่วงเงินเฟ้อสูง เราควรลงทุนอย่างไร มาฟังแนวคิดของ Peter Lynch ว่าเราจะเดินหน้าในช่วงที่ยากต่อการคาดการณ์สถานการณ์ที่ตลาดอาจจะตกต่ำในระยะสั้น อาจเป็นกลางปี เดือนหน้า หรือพรุ่งนี้ ไม่มีใครรู้
แน่นอนว่าเป็นผลตามธรรมชาติของการเพิ่มดอกเบี้ย สภาพแวดล้อมของอัตราดอกเบี้ยที่สูงส่งแรงกดดันมากขึ้นอย่างแน่นอนต่อตลาดหุ้นมากกว่าสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำ และทำให้เกิดความกังวลในการลงทุน
Peter Lynch ได้พูดเกี่ยวกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยใน Wall Street ในปี 1994 ว่า
“ไม่มีใครคาดเดาความน่าตกใจได้ว่าตลาดหุ้นจะพังหรือไม่และอัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร สิ่งที่สำคัญคือควรเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ซึ่งพบว่าในรอบ 93 ปีที่ผ่านมา ตลาด S&P 500 ลดลง 50 ครั้ง ทุกๆ สองปีตลาดตก 10% เราเรียกว่าการปรับฐาน นั่นหมายความถึงคำสละสลวยสำหรับการสูญเสียเงินจำนวนมากอย่างรวดเร็ว มี 15 ครั้งที่ตลาดลดลง 25% ซึ่งเรียกว่าตลาดหมี หรือตามสถิติตลาดสามารถลดลง 25% ทุกๆ หกปี นั่นคือทั้งหมดที่คุณต้องรู้ว่าตลาดมีขาลง บางครั้งถ้าคุณไม่พร้อมสำหรับสิ่งนั้น คุณก็ไม่ควรเป็นเจ้าของหุ้น”
“การทำในฐานะนักลงทุนคือการยอมรับว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นและการรักษาทัศนคติระยะยาว ยกเว้นว่าคุณต้องการเงินในเดือนหน้า เพื่อจ่ายค่าเช่า เพื่อให้ลูกๆ ไปเรียนมหาวิทยาลัย กำลังจะแต่งงาน ถ้าคุณเอาเงินที่ต้องเตรียมรองรับค่าใช้จ่ายมาใช้ลงทุน นั่นแปลว่า คุณเป็นนักลงทุนที่แย่เพราะตลาดอาจตกต่ำในระยะสั้น”
“หากคุณกำลังลงทุนด้วยเงินที่คุณต้องการใช้ในระยะสั้นเพื่อสร้างรายได้อย่างรวดเร็วในตลาด จำไว้ว่าเราไม่รู้ว่าภาวะตลาดตกต่ำจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และถ้ามันเกิดขึ้นจะลดลงในระยะสั้นคุณจะเดือดร้อนอย่างมาก”
“คุณยังคงใส่เงินแม้ในภาวะตลาดที่อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยอาจจะสูงขึ้น เพื่อผลตอบแทนระยะยาว 5, 10, 15, 20, 25, 30 ปีข้างหน้า ตราบเท่าที่คุณลงทุนด้วยเงินออมจริงๆ ไม่ใช่เงินที่คุณจำเป็นต้องเอามาใช้”
“ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือ คุณจะดูว่าภาวะตลาดตกต่ำน่ากลัวอยู่เสมอ หรือมีเรื่องให้ต้องกังวลอยู่เสมอ แต่สิ่งที่คุณต้องทำคือเป็นเจ้าของบริษัทที่ดี และใช้กรอบความคิดระยะยาวศึกษาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผลการดำเนินงานระยะสั้นและระยะยาวของบริษัทที่ลงทุนในสภาวะอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่สูงนั้น”
แนวทางการเลือกลงทุนในช่วงที่มีความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
3
  • 1.
    มองหาบริษัทที่ง่ายพอที่จะเข้าใจธุรกิจในการศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุนในฐานะเจ้าของกิจการที่มีหุ้นในบริษัทนั้น
  • 2.
    บริษัทที่มีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และมีอำนาจในการกำหนดราคาเพื่อให้สามารถขึ้นราคาได้และไม่ได้รับผลกระทบใดๆ หรือได้รับผลกระทบไม่มากนัก
  • 3.
    ภาระหนี้ของบริษัท เพราะหากมีภาระหนี้มาก แปลว่ารายได้ส่วนใหญ่ต้องใช้ในการจ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมากจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
  • 4.
    โครงสร้างอัตราดอกเบี้ยคงที่กับหนี้ที่มีอัตราผันแปร เพราะหากมีหนี้ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่เป็นสัดส่วนที่มากก็จะลดผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยได้มาก
  • 5.
    สำคัญที่สุด คือ อย่าใช้เงินที่ต้องการนำมาใช้จ่ายมาลงทุน เพราะตลาดอาจตกต่ำได้ในระยะสั้น และประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น
1
ในช่วงที่ภาวะการลงทุนมีความผันผวนอย่างมากจากสิ่งแวดล้อมทั่วโลกในทุกๆ มิติทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เป็นเรื่องจริงที่เรากำลังเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น และก็เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้หรือคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
อยากเน้นย้ำอีกครั้งว่าสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ที่นำเฉพาะเงินออมที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อย่างน้อยในอีก 5 ปีข้างหน้ามาลงทุน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะตลาดตกต่ำในระยะสั้น และความเดือดร้อนจากการขาดเงินเพื่อใช้จ่ายหรือชำระหนี้
แล้วติดตามกันต่อในตอนต่อๆ ไป กับ Manage Your Money ค่ะ
References :
1. Peter Lynch is an American investor, mutual fund manager, and philanthropist. As the manager of the Magellan Fund at Fidelity Investments between 1977 and 1990, Lynch averaged a 29.2% annual return, consistently more than double the S&P 500 stock market index and making it the best-performing mutual fund in the world. Wikipedia
2. Peter Lynch: How to Invest During High Inflation by New Money https://youtu.be/Zpthvpy3UKg

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา