ด้วยความเข้มแข็งของ City of London ศูนย์กลางการเงินโลก GDP ของอังกฤษยังเติบโตได้ 14.8%ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-18) ขณะที่ GDP ของเยอรมนีลดลง 18.2% อังกฤษมีกลยุทธ์อย่างไร จึงสามารถก้าวผ่านวิกฤตครั้งใหญ่ได้ และต้องแลกด้วยอะไรบ้าง?
★ Archduke Franz Ferdinand of Austria รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ถูกลอบสังหาร นำไปสู่ July Crisis ระหว่าง ออสเตรีย-ฮังการี เยอรมนี รัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษ จนกลายเป็นชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1
David Lloyd George (the Chancellor of the Exchequer) ได้นำเสนอ the Currency and Bank Notes Act และได้รับอนุมัติจากรัฐสภา (an Act of Parliament) ให้อังกฤษออกจากระบบมาตรฐานทองคำ (gold standard)
the Currency and Bank Notes Act ที่รัฐสภาอังกฤษอนุมัติให้พิมพ์ธนบัตรได้ โดยไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง จำนวน 300 ล้านปอนด์ และอังกฤษได้ดำเนินการพิมพ์ธนบัตรใหม่นี้ออกมาในช่วงสัปดาห์แรกของสงคราม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นภายในประเทศในช่วงที่เกิดภาวะตื่นตระหนก และต้องแก้ไขสถานการณ์อย่างฉุกเฉินให้ทันท่วงที ซึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพภายในประเทศด้านการดำเนินงานของธนาคาร
4. การระดมทุนทางอ้อม ได้แก่ การเลื่อนและยกเลิกโครงการลงทุน โครงการซ่อมบำรุง (postponing maintenance and repair, as well as cancelling projects deemed unnecessary)
ความพร้อมของอังกฤษกับสงครามโลกครั้งที่ 1
แน่นอนว่าอังกฤษมีเงินไม่เพียงพอในการทำสงคราม แม้ว่าจะเป็นประเทศที่รวยที่สุดในขณะนั้น แต่อังกฤษมี City of London ศูนย์กลางการเงินโลกทั้งตลาดเงินและตลาดทุน มีระบบนิเวศน์ที่พร้อมรองรับการระดมทุนขนาดใหญ่ (Institutional Architecture)