14 มี.ค. 2022 เวลา 01:15 • ไลฟ์สไตล์
“แค่ของถูกรู้ถูกดู”
“… ถ้าดูกายก็เห็นกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
ความสุข ความทุกข์ ก็ของถูกรู้ถูกดู
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
ดูลงไปเลยกุศล อกุศลทั้งหลาย
กุศล อกุศลทั้งหลาย มันตามหลังสัญญาและเวทนามา
ตัวเวทนาคือตัวความรู้สึกสุข ทุกข์
กับตัวสัญญาการจำได้หมายรู้
บางทีเวทนามันเด่น กระทบเวทนาปุ๊บ
อย่างเราเจ็บ ถูกไม้ฟาดขาเปรี้ยง ขาหัก
ร่างกายมันเจ็บมีเวทนารุนแรง จิตใจก็หวั่นไหว
แต่ก่อนจะหวั่นไหวมันมีการหมายรู้ก่อน
อุ๊ย ขาของเราเจ็บแล้ว ขาของเราจะหักแล้ว
มันมีการหมายรู้ผิดๆ
หมายรู้วัตถุอันนี้ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา
ใจก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา กังวล ขาเราหักแล้ว
กระบวนการทำงานมันจะทำงานอย่างนี้
แต่เราไม่ต้องดูละเอียดขนาดนี้ มันเห็นเอง
ค่อยภาวนาเรื่อยๆ แล้วมันเห็นเอง
ตอนนี้เอาแค่ง่ายๆ ก็คือใจเรามีความสุขเรารู้
ใจเรามีความทุกข์เรารู้
ใจเราเฉยๆ เรารู้
ก็จะเห็นสุข ทุกข์ เฉยๆ ไม่ใช่เรา
ใจมีความโลภเกิดขึ้นก็รู้
ใจมีความโกรธเกิดขึ้นก็รู้
ใจหลงไปก็รู้
หรือในทางกลับกันใจไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็รู้
ฉะนั้นอย่างถ้าคนขี้โมโหเราก็สังเกตไป
จิตเดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็ไม่โกรธ
เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็ไม่โกรธ ดูอย่างนี้
แล้วต่อไปก็จะเห็นเลยความโกรธมันก็ไม่เที่ยง
เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็ไม่โกรธ
นี่แสดงไม่เที่ยง ความโกรธก็ไม่ยั่งยืน
อยู่แล้วก็เดี๋ยวก็แตกสลายไป
มันทนอยู่ไม่ได้ คือ ทุกขัง
แล้วจิตจะโกรธหรือจิตจะไม่โกรธสั่งไม่ได้
มันโกรธได้เอง มันหายโกรธได้เอง
อันนั้น คือ อนัตตา
ที่สำคัญง่ายๆ เลย มันเป็นของถูกรู้ถูกดู
ถ้าเราเห็นว่าความโกรธเป็นของถูกรู้
เราจะรู้สึกเลยว่าความโกรธไม่ใช่ตัวเราหรอก
มันเป็นของถูกรู้ถูกดู
คนที่รู้ที่ดูมันอยู่ต่างหาก
คือจิตที่เป็นคนรู้คนดูมันอยู่ต่างหาก
ความสุข ความทุกข์
ความดี ความชั่วทั้งหลาย
ล้วนแต่ของถูกรู้ถูกดู
เพราะฉะนั้นเราดูไปเรื่อยๆ
เราก็จะเห็นร่างกายก็ของถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่เรา
เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ
ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ก็ของถูกรู้ถูกดู
ไม่ใช่ตัวเราเพราะเราสั่งมันไม่ได้
คำว่า อนัตตา มองได้หลายแง่มุม
ไม่ใช่แปลว่าสั่งไม่ได้อย่างเดียว
หรือไม่ได้แปลว่าไม่ใช่ตัวเราอย่างเดียว
ทั้งหมดไม่ใช่ตัวเรา แต่มันมองได้หลายแง่หลายมุม
อย่างวัตถุ ร่างกายมันเป็นวัตถุ
เป็นสมบัติของโลกอย่างนี้ ดูได้ง่ายว่าไม่ใช่เรา
จิตใจนี้เราเฝ้ารู้เฝ้าดูไว้
สุข ทุกข์ ดี ชั่ว
หรือจิตที่ออกรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มีแต่เกิดแล้วดับ
ตรงที่สุขเกิดแล้วดับ ทุกข์เกิดแล้วดับ
ดีเกิดแล้วดับ ชั่วเกิดแล้วดับ
จิตที่ไปดู ไปฟัง ไปดมกลิ่น ลิ้มรส
ไปรู้สัมผัสทางกาย ไปคิดนึกทางใจ
มีแต่เกิดแล้วดับ อันนี้เห็นอนิจจัง
แล้วเราเห็นว่าเราสั่งไม่ได้
เราสั่งให้จิตมีความสุขตลอดกาลไม่ได้
ห้ามจิตอย่าทุกข์ไม่ได้
ตรงที่เราไม่มีอำนาจเหนือ
นี่เป็นการเห็นอนัตตาอีกมุมหนึ่ง
เราไม่มีอำนาจเหนือมัน
ถ้ามันเป็นอัตตา เป็นตัวเราจริงๆ
เราต้องมีอำนาจเหนือมัน แต่นี้เราไม่มี
ล้างความเห็นผิดเป็นลำดับๆ ไป
เฝ้ารู้เฝ้าดู เราจะค่อยๆ ล้างความเห็นผิดเป็นลำดับๆ ไป
รูปนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
เวทนาคือความรู้สึกสุข ทุกข์
ความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์
ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
เป็นแค่ของถูกรู้ถูกดู
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
สังขารทั้งหลาย
ความปรุงดี ความปรุงชั่วทั้งหลาย
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
สั่งไม่ได้ จิตเองก็สั่งมันไม่ได้
เดี๋ยวจิตก็ไปดูรูป เดี๋ยวจิตก็ไปฟังเสียง
เดี๋ยวจิตก็ไปคิด เลือกไม่ได้
2
ทดสอบดูก็ได้ลองมองอะไรข้างหน้า
มองตอนนี้ส่วนใหญ่ก็มองจออยู่ใช่ไหม
ลองมองจอภาพแล้วมองให้เห็นหลวงพ่อให้ชัดเจนตลอดเวลา
ลองดูสิทำได้ไหม
สังเกตไหมเห็นหลวงพ่อชัดแวบเดียวเท่านั้น
แล้วมันจะเบลอๆ แล้วต้องดูใหม่
ต้องตั้งใจดูอีกทีก็ชัดขึ้นอีกนิดหนึ่ง
เดี๋ยวก็เบลออีกแล้วก็ต้องดูอีก
นี่จิตที่เกิดที่ตา เกิดแล้วดับ
เห็นรูปนี้เห็นชัดอยู่แวบเดียว เดี๋ยวก็ไม่เห็นแล้ว
ทำไมเรารู้สึกว่าเราเห็นได้ตลอดเวลา
ที่เราเห็นอย่างนั้นเพราะสัญญามันหลอกเรา
มันจำรูปเก่าได้ พอเห็นรูปใหม่มันก็เอามาลิงก์กัน
ก็เลยรู้สึกว่าเราเห็นอยู่ตลอดเวลา ที่จริงไม่ใช่
เราเห็นเป็นขณะๆ เท่านั้นเอง
ค่อยๆ เรียนค่อยๆ รู้ลงไป
เราก็จะค่อยๆ รู้ถูกเข้าใจถูก
จิตจะเกิดที่ตา หรือจิตจะเกิดที่หู
หรือจิตจะคิด สั่งไม่ได้ เลือกไม่ได้
ลองดูลองสั่งต่อไปนี้ห้ามคิด
ลองดูสักแป๊บหนึ่ง ห้ามคิด คิดไหม
บางคนบอกไม่ได้คิด ท่องพุทโธอยู่
อ้าว พุทโธก็คิดนั่นล่ะ
แต่ว่าคิดพุทโธ มันก็คิดนั่นล่ะ
จิตจะคิดห้ามไม่ได้เห็นไหม เขาแสดงอะไร
เขาแสดงอนัตตาให้ดู
ฉะนั้นเราดูลงในขันธ์ 5
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
วิญญาณก็คือตัวจิตที่เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทั้งหมดเต็มไปด้วยความไม่เที่ยง
ทั้งหมดทนอยู่ไม่ได้ในสภาวะอันใดอันหนึ่ง
ทั้งหมดไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
อย่างร่างกายก็เป็นสมบัติของโลก
นามธรรมทั้งหลายก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ
คำว่า อนัตตา มันมีหลายมุม
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับก็เป็นมุมของอนัตตาอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่สมบัติของเราก็เป็นมุมหนึ่ง
ดูได้หลายอย่าง
เฝ้ารู้เฝ้าดู ไปทำเอา
ธรรมะเรียนด้วยการฟังไม่ได้เรื่องหรอก
เรียนด้วยการฟัง ด้วยการอ่าน เดี๋ยวก็ลืม
แต่เรียนด้วยการเห็นของจริง
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านบอกมีดวงตาเห็นธรรม
ท่านไม่ได้บอกว่ามีสมองไว้ฟังไปจำธรรมะ
ไม่ได้สอนอย่างนั้น
ไม่ได้บอกว่าเอาหูไปฟังธรรม
หูมันฟังอะไรได้ หูมันฟังเสียงได้
แต่จิตมันฟังธรรมได้ มันเห็น เห็นความจริง
เขาเรียกว่ามันกำลังเรียนธรรมะอยู่
ฉะนั้นเราพาจิตใจของเรานี้เรียนความจริง
ร่างกายนี้ถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา
ความรู้สึกสุข ทุกข์ มันถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา
กุศล อกุศลทั้งหลายถูกรู้ถูกดู ไม่ใช่ตัวเรา
วิญญาณคือจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เกิดดับๆ สั่งไม่ได้ เลือกไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวเรา
เราลองดูสิว่าสั่งไม่ได้ เลือกไม่ได้จริงไหม
สังเกตให้ดีตอนที่นั่งดูหลวงพ่อเทศน์อยู่นี้
เราดูจออยู่ใช่ไหม
สังเกตไหมเดี๋ยวก็เห็นรูปหลวงพ่อชัด
เดี๋ยวเสียงหลวงพ่อก็ชัด
ช่วงที่ได้ยินเสียงหลวงพ่อตาเราจะเบลอลงไปแล้ว
จะเห็นรูปไม่ชัดหรอก เพราะอะไร
เพราะจิตไปอยู่ที่หู จิตมันเกิดดับ
ถ้าจิตเกิดที่ตามันก็เห็นรูปชัด
แต่เห็นได้แวบเดียวไปฟังเสียงที่หลวงพ่อเทศน์แล้ว
จิตไปเกิดที่หูฟังเสียงได้ชัด
ฟังได้นิดเดียวเข้ามาคิดทบทวนสิ่งที่หลวงพ่อพูด
สังเกตไหมฟังไปคิดไป
ถ้าฟังแล้วไม่ทบทวนจะสักแต่ว่าได้ยิน ไม่ได้อะไรเลย
เพราะฉะนั้นที่เราเข้าใจธรรมะ เข้าใจ
ฟังหลวงพ่อเทศน์แล้วเข้าใจๆ
รู้หรือยังว่าไม่ได้เข้าใจหรอก คิดเอา …”
1
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
5 มีนาคม 2565
อ่านธรรมบรรยายเต็ม ๆ ได้ที่ :
รับฟังธรรมบรรยายเต็ม ๆ ได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา