23 มี.ค. 2022 เวลา 01:19 • ไลฟ์สไตล์
“ปัญหาอุปสรรค … เป็นสิ่งที่ให้คุณค่ากับเราเสมอ”
1
“ … สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือ การวางใจที่ถูกต้อง
ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นน่ะ มันมีสองด้านอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าเราจะมองด้านไหน มองในด้านที่เป็นคุณประโยชน์ หรือมองในด้านที่มันเกิดโทษ
ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนมีสองด้านเสมอ
ทั้งสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ แล้วก็สิ่งที่เป็นโทษนั่นเอง
เวลาเราเจอความทุกข์ต่าง ๆ บีบคั้น
ความไม่สบายกายบ้าง ความไม่สบายใจบ้าง
ถ้าเรามองด้านเดียว ก็คือ เราก็จะไปจมกับปัญหานั้น
จมกับความป่วย
พอกายไม่สบาย ใจเริ่มป่วยตาม นี่คือเราจมเข้าไปกับสิ่งที่มันเป็นนั่นเอง
จริง ๆ แล้ววิบากกรรมน่ะ
มันเล่นงานได้เฉพาะแค่ขันธ์ ๕ เท่านั้นแหละ
เพราะความหลง ใจเรามันก็จะลงไปยึดขันธ์ ๕
เป็นตัวเรา กลายเป็นเราป่วย
กลายเป็นเราไม่สบาย
สุดท้ายใจเรามันก็จะเศร้าหมองตามไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่ถ้าเราวางใจถูก เรียนรู้ ยอมรับ
กายป่วย … ใจไม่ป่วยด้วย
กายทุกข์ … ใจก็ไม่ทุกข์ด้วย
ก็เรียกว่า ฝึกที่จะละวางกายลงนั่นเอง
ละวางจากการยึด จากการหลงไปกับสิ่งสมมติต่าง ๆ นั่นเอง
แท้ที่จริงแล้ว ทุกอย่างมันมีสองด้านเสมอ
เวลามีความป่วยไข้ไม่สบาย หรือปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่มันเข้ามาบีบคั้นจิตใจของเราน่ะ มันทำให้เราเกิดความทุกข์ ความเจ็บปวดต่าง ๆ
แต่อีกด้านหนึ่ง เขาก็มาให้คุณค่ากับเรา
เราได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างหรือยัง ?
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
“เห็นทุกข์ย่อมเห็นธรรม”
เหมือนไฟที่มันกำลังไหม้อยู่บนศรีษะ มันเป็นธรรมดาที่ทุกคนต้องรีบดับไฟโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
เวลาเจอถูกความทุกข์บีบคั้น ทุกคนต้องพยายามหาทางดับทุกข์ หรือพ้นทุกข์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว สิ่งนี้มันก็เหมือนยาขมนั่นแหละ
ยาขมเนี่ย ยา … มักมีรสขมเสมอ
แต่มันให้คุณค่าในการรักษาต่าง ๆ ได้
ให้ใจเรามันวางลงได้ มันคลายลงได้
จากสิ่งที่ยึดที่หลงอยู่นั่นเอง
การที่เราหลงยึดมั่นมากที่สุด ก็คือ กาย นี่แหละ ที่มันหลงยึดหลงติดข้องอยู่กับร่างกายนี้เป็นอันมากทีเดียว
ถ้าเราไม่เจอยาขมซะบ้างเนี่ย มันก็ยังหลงไปกับเรื่องของกาย
อยากให้ร่างกายสบายบ้าง
อยากให้ร่างกายแข็งแรงบ้าง
ทำทุกอย่างเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
สรรหาสิ่งสารพัดบำรุงบำเรอ ไม่มีที่สิ้นสุด
ก็หลงไปกับกายสังขารนี้นั่นเอง
แท้ที่จริงแล้ว กายสังขารนี้
มันก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเราหรอก
มันก็เป็นสิ่งที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
แต่เพราะความหลงเข้าครอบงำจิตใจ
มันก็หลงไปยึดกาย เป็นตัวเราเป็นของเราทั้งหมด
ถ้าเราวางได้เนี่ย ปลด ปลง ลง วาง มันก็ว่างสบาย
มันก็จะคลี่คลายลงไปได้ ก็จะรู้สึกได้
ได้ตระหนักเรียนรู้ว่า … อ๋อ ร่างกายนี้มันของหนักนะ
บุคคลต่างหาก … ผู้แบกของหนักพาไป
การปลด ปลง ลง วาง เสียได้
จึงเป็นความสุขในโลกต่างหาก
เรามองไปหมดเลย เราปลดสิ่งต่าง ๆ ได้เนี่ย
แต่เราไม่ได้มองตัวเองเลยว่า
สิ่งที่เราแบกไว้มากที่สุด ก็คือ ร่างกายเรานี่แหละ
ฝึกที่จะละกาย วางกาย วางความคิดลง
ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ เนี่ย มันสอน มันให้คุณค่าแก่พวกเราเสมอ
ให้เราได้เรียนรู้
ให้เราได้ตระหนักถึงโทษภัยในวัฏสงสาร
ให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท
ให้เราได้ดำเนินในวิถีที่ถูกต้อง
ตรงกันข้ามกับชีวิตที่มันสุข ที่มันสบาย มีแต่สิ่งดี ๆ เลยเนี่ย อีกด้านนึงมันก็รู้สึกว่ามันดีเหลือเกิน มีความสุขความสบาย แต่อีกด้านหนึ่ง มันก็เหมือนขนมหวานนั่นแหละ
คนก็ชอบรสหวาน ขนมหวานต่างๆ
แต่ขมนมหวานเนี่ย มันมักก่อโทษภัยให้กับร่างกายมากทีเดียว
“ยาพิษ มักมาในรูปของหวานเสมอ”
2
การที่เรามีแต่ชีวิตที่ดี ที่สะดวกสบาย มีแต่ความเพลิดเพลิน มันก็จะทำให้เรา หลงเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่าง ๆ ในโลก ก็เรียกว่า ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงโทษภัยในวัฏสงสาร
เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่แล้ว คนที่มีวาระที่จะได้ก้าวเดินน่ะ จะถูกความทุกข์บีบคั้นเป็นเรื่องธรรมดาเลย
สังเกตเถอะ เราเข้ามาปฏิบัติธรรมเพราะอะไรล่ะ ?
ส่วนใหญ่แล้วก็เจอความทุกข์กันก่อน มันต้องหาทางออก ทุกข์มันบีบคั้นมาก เหมือนไฟกำลังไหม้บนหัว มันต้องหาทางดับ
คนกำลังร้อน มันก็ต้องหาน้ำที่ดับความร้อน มันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
น้อยคนที่ไม่เคยเจอความทุกข์เลย แล้วรู้สึกตื่นขึ้นมาได้ว่า … โลกนี้มันไร้สาระ หาทางพ้นทุกข์ดีกว่า
มีเหมือนกันในสมัยพุทธกาล ถ้าเราศึกษาเรื่องราวในพระไตรปิฏก ผู้ที่ญานแก่กล้าจริง ๆ อย่างท่านพระมหากัสสปะเถระ ทุกอย่างเพียบพร้อม ทุกอย่างเลย
รวยล้นฟ้า ทรัพย์สมบัติมาก แต่งงานก็ได้ภรรยาที่สวยมาก แต่ท่านไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้เลย รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นของร้อน มันคือกับดักของวัฏฏะ ปรารถนาที่จะออกบวช เพื่อการหลุดพ้นถ่ายเดียวเท่านั้น
เพราะท่านมีญานแก่รอบเต็มที่แล้ว เห็นทุกอย่างมันคือไฟไปทั้งหมดแล้ว
ถามว่า ถ้าบ้านเรากำลังไหม้ไฟ ไฟกำลังไหม้บ้าน เราจะอยู่ไหมล่ะ ?
… มันต้องหาทางออกมาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่ถ้าเรานอนอยู่ในบ้านที่มันห้องเย็นสบาย มันไม่อยากไปไหนละ พักสบายก็ดีอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง มันมีสองด้านเสมอ
มันมีทั้งด้านที่เป็นคุณประโยชน์
แล้วก็ด้านที่เป็นโทษ
อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นทั้ง ๒ ด้านหรือเปล่า ?
ถ้าเรามองเห็นทั้งสองด้าน
เราจะได้เรียนรู้ ยอมรับ ทุกสรรพสิ่งก็เป็นเช่นนั้นเอง
ปัญหาอุปสรรคนี่แหละ
เป็นสิ่งที่ให้คุณค่าแก่เราเสมอ
เวลาเจอปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น ให้ตระหนัก ได้เรียนรู้ว่า เราได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้ต่างหาก
ไม่ใช่ว่าเราไปจมกับปัญหา แต่สิ่งนี้จะทำให้เราได้ตื่นรู้
ได้เรียนรู้ ได้เติบโต
ได้ก้าวข้ามบางสิ่งบางอย่าง นั่นเอง … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา