25 มี.ค. 2022 เวลา 07:48 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
One for the road 🍸🍷🥃
ภาพยนต์ไทย กำกับโดย บาส พูนพิริยะ
อำนวยงานสร้างโดย หว่อง กา ไว
คะแนน 8/10
เมื่อปลายเดือนกุมภา ได้กลับไทยไปแว๊บ ๆ ตระเวนดูหนังที่อยากดู หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องนี้ รู้สึกตัวเองโชคดีที่ได้กลับไปแล้วหนังยังฉายอยู่ ชอบตั้งแต่ได้ฟังเพลงที่ Stamp แต่งแล้ว อยากดูตั้งแต่เห็นภาพของตัวอย่างหนัง
และนี่คือ 10 Short Notes หลังดูจบ
1. แม้หลายคนจะพูดถึงหว่อง กาไว และคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้น่าจะมีกลิ่นของหว่องจาง ๆ ใครเคยดูหนังของหว่อง และดูหนังของบาส น่าจะรู้ดีว่ามันคนละแนวกัน ดังนั้นการคาดหวังว่า One for the road จะเป็นหนังสไตล์หว่อง ก็คือการดูถูกทั้งหว่อง และทั้งบาส โชคดีที่หนังไม่ได้มีความหว่องใด ๆ ทั้งสิ้น
2. One for the road เป็นหนัง Road movie ในช่วงแรก ๆ ซึ่งก็คือหนังพาเราขับเคลื่อนไปบนถนนพร้อมตัวละครในเรื่อง นำพาเรื่องราวระหว่างทาง และปลายทางในแต่ละจุดมาหลอมรวมให้เราเห็นภาพ
3. อู๊ดตัวละครหลัก โทรหาเพื่อนที่อเมริกาซึ่งก็คือบอสตัวละครหลักอีกตัว ทั้งสองคนไม่ได้ติดต่อกันมาสักพักแล้ว อู๊ดเรียกบอสให้กลับมาทำภารกิจบางอย่างให้ บอสซึ่งไม่ใช่คนว่างงานซักหน่อยแต่ก็กลับมาทันที เพราะอู๊ดบอกว่าป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว
4. ภารกิจที่อู๊ดอยากทำก่อนตายก็คือ กลับไปหาแฟนเก่าแต่ละคนเพื่อขอโทษและบอกลา เพราะเคยมีเหตุการณ์ฝังใจว่าตอนพ่อตัวเองตายด้วยโรคเดียวกันนั้น ตัวเองไม่ได้บอกลา บอสจึงกลายมาเป็นสารถีในการขับรถตระเวนเหนือจรดใต้เพื่อปลดล็อคในใจให้กับอู๊ด
5. ครึ่งแรกของเรื่องมีเท่านี้ คือไปหาแฟนเก่าสามคน ที่จริงมันเป็นเรื่องโรแมนติกแสนเศร้าที่สวยงาม แต่ตอนนั่งดูหนังบอกเลยว่าไม่สนุก ปน ๆ น่าเบื่อด้วยซ้ำ ซึ่งต้องขอสารภาพว่ามีแอบหลับไปช่วงหนึ่ง เพราะเนื้อหามันเบาและหลวม เราแทบไม่มีข้อมูลอะไรก่อนหน้าของแฟนแต่ละคน ไม่รู้ความรู้สึกที่เป็นมาเป็นไปนัก พอไม่รู้ก็ไม่อิน ... เออ ๆ มึงก็ขอโทษ มึงก็ลาให้มันเสร็จ ๆ ไปสิ
6. ซึ่งมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับอยากจะบอกล่ะมั้ง เพราะใจความหลักสำคัญของเรื่องมันอยู่ที่ครึ่งหลัง อีแฟนเก่าสามคนของอู๊ดนั้น คือข้ออ้างทั้งหมดทั้งมวลที่อีอู๊ดหลอกทั้งตัวเองและบอสว่าต้องการทำ เรื่องจริงมันอยู่ที่ตอนท้ายนี่!!
7. หนังครึ่งหลังสนุกมาก เล่าเรื่องดีแบบที่การเล่าเรื่องที่ดีควรจะเป็น ปกติแล้วปัจจัยที่จะทำให้หนังไม่สนุกหลักเลยก็คือการเล่าเรื่อง เหมือนเราฟังเพื่อนเล่าอะไรสักอย่าง มันจะมีเพื่อนคนนึงที่รู้ว่าเรื่องไหนควรบอกตอนไหน และควรเก็บจุดพีคหรือมุกตลกไว้ตอนไหน จากนั้นควรจบที่ประโยคอะไร หนังครึ่งหลังของบาสก็เหมือนการเล่าเรื่องของเพื่อนคนนั้นนั่นแหละ ลงตัวไปหมด
1
8. ภาพในเรื่องนี้สวยมาก สวยแบบที่แม้ว่าช่วงแรกของหนังนั้นน่าเบื่อ แต่ก็ได้ภาพมาช่วยอุ้มไว้จนแล้วจนรอด นอกจากภาพที่สวยบรรยากาศของทั้งเรื่องก็งดงามไปหมด ฉากบาร์เหล้าเอย ฉากบ้านเก่าเอย ฉากเมืองพัทยาเอย ฉากนิวยอร์คเอย หนังมันทำให้เราจมดิ่งไปกับทุกบรรยากาศ
9. การแสดงของทุกคนดีงามแบบไม่มีข้อกังขา
  • บอส ที่แสดงโดย ต่อ ธนภพ มีความคมชัดในทุกช่วงทั้งตอนเด็กที่หัวใจแตกสลาย เป็นวัยรุ่นที่งี่เง่า พอแสดงเป็นตอนโตขึ้นมาก็หล่อมีเสน่ห์กร้าวใจ ข้อดีของต่อก็คือ แค่เอาผมปรกหน้าทำปากบึน ๆ ก็กลายเป็นเด็กเอ๋อได้แล้ว พอหวีผมเสยขึ้น เอ๊า เท่ห์ขึ้นมาเฉยเลย แต่เราจะไม่ให้เครดิตการแสดงด้วยแววตาของเขาเลยก็ไม่ได้
  • วี ไวโอเล็ต ควอเทียร์ คืองดงามเปล่งประกายที่สุด โดยปกติคาแรคเตอร์ของวี เป็นคนที่เราไม่อยากละสายตาอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ผู้กำกับดึงเสน่ห์ยวนใจของเธอออกมาด้วย ยิ่งมาเจอการกำกับภาพที่โคตรสวย ก็ยิ่งสวยทวีคูณ ส่วนตัวชอบการเป็นบาร์เทนเดอร์ของเธอมาก มือไม้ท่าทางมันกลมกล่อมไปหมด
  • ไอซ์สึ ที่แสดงเป็นอู๊ด ตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์ที่สุดในเรื่อง มีทั้งความดีความเหี้ยความน่าสงสาร และถือเป็นแกนกลางหลักของเรื่อง ความหนักจะไปอยู่บนบ่าของไอซ์สึเกือบทั้งหมด แต่เขาก็รับมือกับมันได้ดีมาก ทำให้คนดูอย่างฉันอินไปกับทุกช่วงทุกตอน เผลอด่าในใจก็หลายครั้ง แต่บางทีก็สงสารมันเหลือเกิน
  • สามสาวแฟนเก่า ทำได้ดีในระดับมาตรฐานของแต่ละคน แต่คนที่ฉันประทับใจที่สุดกลับเป็น ญาญ่าหญิง ที่แทบจะไม่มีใครพูดถึงเลย ส่วนตัวรู้สึกว่านี่คือการแสดงที่น้อยแต่มาก เข้าถึงบทที่ตัวเองได้รับไม่มากไปไม่น้อยไป
10. ประโยคประทับใจในหนังก็คือ “มันดีกว่ากูตรงไหน” ซึ่งไม่ใช่คีย์หลักของเรื่องอะไรหรอก เพราะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการขอโทษและบอกลา แต่ฉันฟังแล้วก็นึกถึงที่ใคร ๆ เค้าบอกกันว่า ความรักไม่ใช่รางวัลตอบแทนความดี
1
คนมันรักน่ะมันใช้อารมณ์ความรู้สึกทั้งนั้น ให้มานั่งแจกแจงว่า ใครดีกว่าใครยังไง อันนั้นมันคือการสอบ คือการแข่งขัน กูรักเค้าเพราะกูรักโว้ย ไม่ใช่เพราะดีกว่ามึงตรงไหน
สรุปว่า One for the road เป็นหนังไทยที่ดีเกินระดับมาตรฐานหนังไทยด้วยกัน หลายคนดูแล้วอาจจะอิ่มใจในตอนดูจบในโรงหนัง
แต่สำหรับฉันหนังทำงานต่อมาอีกหลายวันหลังจากนั้น คล้าย ๆ ว่ามันค่อย ๆ ทำงานกับจิตวิญญาณภายใน ทั้ง ๆ ที่เนื้อเรื่องไม่มีอะไรนักหนา นอกจากรักสามเศร้า และความรู้สึกผิด
แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยนั้น มีหลายส่วนที่จับเข้าไปในใจ และค่อย ๆ ทำให้ฉันนึกทบทวนหลากหลายเรื่องราวของชีวิตตัวเอง ดูเสร็จให้คะแนน 8/10 หักสองคะแนนไปกับครึ่งแรกที่ไม่สนุกเลย แต่เมื่อเวลาผ่านมาเกือบเดือนแล้วฉันยังนึกถึงรายละเอียดของมันอยู่ ถ้าถามใหม่ตอนนี้ก็อยากจะให้คะแนน 10/10 นั่นแหละ
1
#หนังที่ฉันชอบเธออาจไม่ชอบ
#ถือว่ามาแชร์ความคิดเห็นละกันนะ
❤️
1
รีวิวเพลงประกอบภาพยนต์ที่แต่งโดย Stamp 👇

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา