4 เม.ย. 2022 เวลา 01:14 • ปรัชญา
“จิตที่ตั้งมั่นเป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญต่อการเจริญปัญญา”
“ … วิธีการฝึกสมาธิ
วิธีการที่จะฝึกสมาธิ ขั้นต้นหลวงพ่อแนะนำ
เราต้องทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
จะหายใจเข้าพุทหายใจออกโธก็ได้
จะรู้ร่างกายที่เคลื่อนไหวก็ได้
จะรู้ร่างกายที่หายใจก็ได้
จะรู้ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอนก็ได้
1
หรือจะรู้ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์
ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นที่ใจก็ได้
หรือคนไหนขี้โมโหก็ทำกรรมฐาน
ใจเราโกรธขึ้นมาเรารู้ ใจเราหายโกรธเรารู้
นี่ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
แล้วทันทีที่เราทำกรรมฐาน ให้เราสังเกตที่จิตใจของเรา
ไม่ได้ทำกรรมฐานเพื่อให้จิตสงบ
ไม่ได้ทำกรรมฐานให้จิตดี
เราไม่ได้มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความสุข ความสงบ ความดี
เพราะความสุขเป็นของไม่ยั่งยืน
ความสงบก็เป็นของไม่ยั่งยืน
ความดีก็ไม่ยั่งยืน
ทุกอย่างเกิดแล้วดับหมดเลย
เราไม่ได้มุ่งเอาของพวกนี้หรอก
เราฝึกทำกรรมฐานเสียอย่างหนึ่ง
แล้วเราคอยรู้ทันเวลามันลืมตัวเอง
เช่น เราหายใจเข้าพุทหายใจออกโธ นี่ทำกรรมฐาน
รู้ลมหายใจ หายใจเข้าพุทหายใจออกโธ
ไม่ได้มุ่งที่ความสงบ
สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
พอเราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธแล้ว
ใจเราหนีไปคิดเรื่องอื่น
เรารู้ว่าใจเราหนีไปคิดเรื่องอื่น
ทันทีที่เรารู้ว่าใจเราหลงไป
ความหลงมันจะดับอัตโนมัติ
จิตเราจะกลับมาอยู่กับตัวเอง
จิตใจมันจะอยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมา
กลับมาที่ตัวเองได้โดยที่เราไม่ได้เจตนา มันกลับมาเอง
ฉะนั้นเราฝึกเยอะๆ เลย
เช่น หายใจไปพุทโธไป
จิตมันหนีไปคิดเรื่องอื่น มันลืมพุทโธ ลืมลมหายใจแล้ว
รู้ทันว่ามันหลงไป
จิตมันก็จะกลับมามีสมาธิตั้งมั่นอยู่กับตัวเอง
ฉะนั้นเราฝึกทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
แล้วคอยรู้ทันใจของตัวเองไว้
หรืออย่างบางคนขยับมือ
อย่างสายหลวงพ่อเทียนสอนขยับมือ 14 จังหวะ
เคลื่อนไหวแล้วรู้สึกเอา
เวลาเคลื่อนๆๆ ให้เรามีสติรู้ทันจิตตัวเอง
เราขยับมือเสร็จแล้วใจเราก็เผลอไปคิด
ตอนนี้ท่านี้แล้วต่อไปจะเป็นท่าไหน จะเคลื่อนอย่างไร
ใจมันหลงไปอยู่ในโลกของความคิดแล้ว
มันลืมตัวเองแล้ว อันนั้นขาดสติไปแล้ว
ให้เรารู้ทันว่าตอนนี้ขยับมือแล้วจิตหลงไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
หรือไปคิดเรื่องมือแล้ว
พอเรารู้ทันว่าจิตหลงไปคิดเท่านั้น จิตรู้ก็จะเกิดขึ้น
จิตรู้ก็คือจิตที่มีสมาธิที่ถูกต้องมันจะเกิดขึ้น
หรือเราเดินอยู่ เราเดินจงกรมเดินไปเดินมา
เดินจงกรมไม่ใช่เดินเอาว่าจะให้เดินเท่านั้นชั่วโมงเท่านี้ชั่วโมง
เราไม่ได้เดินเอาระยะเวลา
ไม่ได้เดินว่าจะเดินกี่รอบ
เราไม่ได้เดินเอาระยะทาง
เราเดินเพื่อให้มีสติ ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว
ฉะนั้นเวลาเราเดินจงกรมนี่เดินไป พอใจเราลืมการเดิน
ร่างกายมันเดินอยู่ แต่ใจมันหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
คิดเรื่องจะไปช็อปปิงแล้ว
ทั้งๆ ที่กายกำลังเดินจงกรมอยู่
ให้เรารู้ทันว่าจิตใจมันหนีไปแล้ว
ลืมรู้ร่างกายที่เดินจงกรมแล้ว
พอเรารู้ทันว่าจิตใจมันหนีไป
สมาธิ หรือ ความตั้งมั่นของจิต มันก็จะเกิดขึ้น
1
สมาธิ ไม่ได้แปลว่า สงบ
สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่นของจิต
ความตั้งมั่นของจิต
มันตรงข้ามกับความไม่ตั้งมั่นของจิต
1
ความไม่ตั้งมั่นของจิต คือ การที่จิตมันหลงไป
ไหลไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย
หรือไหลไปคิดทางใจ
นั่นคือความไม่ตั้งมั่น
เมื่อไรเรารู้ทันว่าจิตไม่ตั้งมั่น
ความตั้งมั่นของจิตจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้นสมาธิที่ถูกต้องเราอย่าไปทำขึ้นมา
ไม่จำเป็นต้องทำขึ้นมา
ให้เรารู้ทันจิตที่ไม่ตั้งมั่น
จิตมันหลงไปดูเรารู้ทัน จิตมันหลงไปฟังเรารู้ทัน
จิตหลงไปดมกลิ่นเรารู้ทัน
จิตหลงไปลิ้มรสเรารู้ทัน
จิตหลงไปรู้สัมผัสที่ร่างกายเรารู้ทัน
จิตหลงไปคิดเรารู้ทัน
พอเรารู้ทันเท่านั้นเอง
จิตรู้หรือสภาวะที่จิตตั้งมั่นก็จะเกิดขึ้น
สมาธิชนิดตั้งมั่นเกิดขึ้น ก็ทำให้จิตตั้งมั่น
ทำกรรมฐานเพื่อเตรียมจิตให้พร้อมที่จะเจริญปัญญา
ตัวนี้ต้องฝึกให้มากๆ เลย
เพราะจิตที่ตั้งมั่นเป็นจุดสำคัญที่จะก้าวไปสู่การเจริญปัญญา
ถ้าจิตใจของเราวอกแวก
เดี๋ยวก็วิ่งไปดู วิ่งไปฟัง วิ่งไปคิด
เราไม่สามารถเจริญปัญญาได้
ต้องให้จิตใจตั้งมั่น ให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวเสียก่อน
เราถึงจะเจริญปัญญาได้จริง
ในตำราเขาจะสอน บอก
สัมมาสมาธิ คือ สมาธิที่ทำให้จิตใจตั้งมั่น
เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
ฉะนั้นถ้าจิตใจเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เราไม่สามารถจะเกิดปัญญาได้
ฉะนั้นสิ่งที่หลวงพ่ออยากฝากพวกเราก็คือ
ทุกวันเราจะต้องแบ่งเวลาเอาไว้ปฏิบัติในรูปแบบ
จะเดินจงกรม จะนั่งสมาธิ จะรู้ลมหายใจ
หรือจะทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะทำกรรมฐานอะไร
สิ่งที่เราต้องรู้ คือ จิตใจของตัวเอง
1
เช่น เรานั่งหายใจเข้าพุทหายใจออกโธ
จิตเราหนีไปคิดเรารู้ทัน
จิตเราไหลไปอยู่ที่ลมหายใจ
อย่างรู้ลมแล้วจิตมันก็ไหลจมลงไปอยู่ที่ลม เรารู้ทัน
อย่างนี้ก็ใช้ได้
ตรงที่รู้ทันว่าจิตไหลไปนั่นน่ะ
จิตจะหยุดไหล แล้วมันจะตั้งมั่นขึ้นโดยอัตโนมัติ
เราไม่ได้เจตนาให้ตั้งมั่น
สมาธิที่ดีเกิดอัตโนมัติ
หรือเราดูท้องพอง ดูท้องยุบ
ในเมืองไทยก็มีสอนท้องพองท้องยุบ
เอามาจากพม่าอีกทีหนึ่ง
ส่วนใหญ่พอไปเห็นท้องพองท้องยุบ
จิตมันไหลไปอยู่ที่ท้อง อันนั้นไม่ใช่สมาธิที่ดีเลย
เป็นสมาธิที่หลงไปนิ่งไปแช่อยู่ที่ท้อง
จิตไปจมนิ่งๆ อยู่ อันนั้นไม่ใช่สมาธิที่ดี
เป็นสมาธิที่ไม่ดีหรอก จิตมันหลงไป หลงไปอยู่ที่ท้อง
วิธีการ ก็คือ ถ้าเราถนัดจะดูท้องพองยุบ เราก็ดู
แต่เรารู้ทันจิตของตัวเอง
1
อย่างท้องพองเรารู้ท้องยุบ เรารู้
ดูไปดูมา จิตเราไหลจมลงไปอยู่ที่ท้อง
รู้ทันว่าจิตไหลลงไปที่ท้อง
ทันทีที่รู้ว่าจิตไหลไปที่ท้อง
จิตที่ไหลไปจะดับ จะเกิดจิตรู้ขึ้นมาแทน
จิตที่มีสัมมาสมาธิก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
จิตใจจะอยู่กับเนื้อกับตัวตั้งมั่นขึ้นมา
1
ฉะนั้นเราทำกรรมฐาน
เราคอยรู้ทันจิตที่มันไหลไปไหลมา
กรรมฐานอะไรก็ได้ขอให้รู้ทันจิตเท่านั้น
ถ้าเราไม่รู้ทันจิต
ไม่ว่าทำกรรมฐานอะไร ก็ไม่ถูกทั้งสิ้น
1
หรือเราขยับมืออย่างหลวงพ่อเทียน
ขยับมือแล้วจิตเราไหลไปอยู่ในมือ
เราไม่เห็นว่าจิตไหลไปที่มือ อันนี้ใช้ไม่ได้
2
หรือขยับมือแล้วจิตหนีไปคิดเรื่องอื่น อันนี้ใช้ไม่ได้
ถ้าขยับมือแล้วจิตเราไหลไปที่มือ
เรารู้ทันว่าตอนนี้จิตมันถลำลงไปอยู่ที่มือแล้ว
จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา
มันจะตั้งมั่นเหมือนที่เราหายใจ
แล้วเรารู้ว่าจิตมันจมลงไปในลมหายใจ
เหมือนกับเห็นท้องพองยุบแล้วรู้ว่าจิตจมลงไปอยู่ที่ท้อง
จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมา
เพราะฉะนั้นกรรมฐานอะไรนี่ใช้ได้ทั้งนั้น
ขอให้รู้ทันจิต
ถ้าไม่รู้ทันจิตก็ใช้ไม่ได้เหมือนกันหมด
ไม่มีอันไหนดีกว่าอันไหนหรอก
เพราะเราทำกรรมฐาน
เพื่อเตรียมจิตของเราให้พร้อมที่จะเจริญปัญญา
ฉะนั้นเราคอยรู้ทัน ต้องทำ
ทุกวันทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
หรือเราเดินจงกรม เดินๆๆ ไป
เดิน เราเห็นร่างกายมันเดิน
แล้วเดินอยู่ดีๆ จิตมันลงไปเพ่งที่เท้า
เท้ายกเท้าย่างเท้าลงอะไรอย่างนี้
จิตมันลงไปอยู่ที่เท้าแล้ว
ให้รู้ทันว่าจิตไหลไปอยู่ที่เท้าแล้ว จิตรู้ก็จะเกิดขึ้น
จิตที่อยู่กับเนื้อกับตัวมีสมาธิเกิดขึ้นเอง
หรือเดินจงกรมอยู่หนีไปคิดเรื่องอื่น
หนีไปคิดเรื่องโควิดจะระบาดไหมอะไรต่ออะไร
ใจเราหลงไป เรารู้ว่าใจเราหลงไปคิด
ทันทีที่รู้ว่าใจหลงไปคิด ใจรู้จิตรู้ก็จะเกิดขึ้น
คือจิตที่มีสมาธิมีความตั้งมั่น
จิตใจที่อยู่กับเนื้อกับตัวมันจะเกิดขึ้น
1
เมื่อเรามีจิตใจที่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว อันนี้ต้องฝึก
ใช้เวลาทำทุกวันๆ
พอจิตใจเราอยู่กับตัวเองแล้วมันจะเผลอสั้นๆ
เผลอแวบเดียวรู้สึกแล้ว
เหมือนเมื่อก่อนหลวงพ่อฝึกมันก็เผลอเหมือนกัน
ตอนยังเป็นโยมอยู่
อย่างวันหนึ่งเห็นเพื่อนเดินอยู่คนละฝั่งถนน
เห็นเพื่อนคนนี้ไม่เจอหลายปีแล้ว ดีใจ
ดีใจแล้วไม่เห็นว่าตัวเองดีใจ นี่ขาดสติ ใช้ไม่ได้
1
พอก้าวเท้าจะข้ามถนนไปหาเพื่อน
พอเท้ามันเคลื่อนเท่านั้นล่ะ ความรู้สึกตัวมันเกิด
เรารู้ เราเคยฝึกเคลื่อนไหวแล้วรู้สึกตัว
เคลื่อนไหวแล้วรู้สึกตัว
พอเราเคลื่อนไหวปุ๊บ ไม่ได้เจตนาจะรู้สึกตัวเลย
ความรู้สึกตัวเกิดขึ้นเอง จิตที่ตั้งมั่นเกิดขึ้นเอง
กลับมารู้สึกกายรู้สึกใจได้
ฉะนั้นต้องฝึกให้เยอะๆ
ทำกรรมฐานไปสักอย่างหนึ่งแล้วจิตมันไหลไปแล้วรู้
จิตมันไหลไปแล้วรู้
ต่อไปพอจิตไหลปุ๊บมันจะรู้อัตโนมัติ
ตรงนั้นเราได้สติ ได้สมาธิที่ดีแล้ว
ถัดจากนั้นก็คือขั้นสุดท้ายแล้ว
ขั้นของการเจริญปัญญา
เจริญปัญญา
จำได้ไหมทีแรกหลวงพ่อบอกให้มีศีลเพื่อเราจะได้ไม่ยอมแพ้กิเลส เราไม่ปล่อยให้กิเลสซึ่งมันเข้มแข็งนี่มาทำร้ายจิตใจของเราให้ตกเป็นทาสของมันด้วยการตั้งใจรักษาศีล
ต่อมาเราก็มาฝึกเรื่องของสมาธิ คราวนี้เราจะเตรียมต่อสู้เอาชนะกิเลสแล้ว การฝึกสมาธิเหมือนเราสะสมกำลัง เหมือนเราเตรียมทหารเตรียมกองทัพสะสมอาวุธเพื่อจะไปโจมตีข้าศึกคือกิเลส
การเข้าไปต่อสู้ทำลายล้างข้าศึกจริงๆ คือการเจริญปัญญา การทำสมาธิเหมือนการเตรียมอาวุธเตรียมทหารเตรียมความพร้อมที่จะต่อสู้
ฉะนั้นพอเราฝึกสมาธิอย่างที่หลวงพ่อบอก
ทำกรรมฐานแล้วจิตไหลแล้วรู้ ไหลแล้วรู้ไป
พอเรามีสมาธิจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
อันนี้ล่ะจิตใจเราเป็นทหารที่พร้อมจะทำสงครามแล้ว
พร้อมที่จะเจริญปัญญา
การเจริญปัญญา คือ การทำลายล้างกิเลส
ศีลเป็นแค่หนีเข้าป้อม กิเลสมันเข้มแข็งเราสู้ไม่ไหว
หนี ไม่สู้มัน หนีมัน
เวลาสมาธิเกิด ฝึกสมาธิ
ช่วงไหนมีสมาธิเราก็ผลักกิเลสถอยไป
ช่วงไหนสมาธิเราตก กิเลสก็รุกเข้ามาอีก
ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
แต่ช่วงที่จะเผด็จศึกนี่คืองานเจริญปัญญา
ฉะนั้นเราเตรียมกองทัพของเราให้พร้อม
คือเตรียมจิตใจของเราให้มีสติให้มีสมาธิให้มากๆ
แล้วเราถึงจะเจริญปัญญาได้
เตรียมสติ เตรียมสมาธิ
ก็ทำกรรมฐานอย่างที่หลวงพ่อบอกนั่นล่ะ
ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งจิตไหลแล้วรู้ๆ
ตรงที่มันรู้ได้เอง ตรงนั้นล่ะมีสติ
ตรงที่มันกลับมาตั้งมั่น ตรงนั้นมันมีสมาธิ
เพราะฉะนั้นการที่ทำกรรมฐานอย่างที่หลวงพ่อบอก
สิ่งที่เราจะได้คือสติและสมาธิ
นี่คืออาวุธสำคัญที่จะไปสู้กับกิเลสในขั้นของการเจริญปัญญา
ทีนี้การเจริญปัญญาทำอย่างไร
ในเบื้องต้น การเจริญปัญญาในเบื้องต้น
งานแรกที่เราต้องทำคือเราต้องแยกให้ออกว่า
อะไรคือจิตที่เป็นผู้รู้ อะไรเป็นสิ่งที่ถูกรู้
เรียกว่าแยกขันธ์ให้ออก แยกรูปแยกนามให้ออก
อย่างเรานั่งอยู่นี่ เราทุกคนตอนนี้ ก็กำลังนั่งอยู่
วิธีการก็คือ ถ้าใจเราอยู่กับเนื้อกับตัว
เราเห็นร่างกายมันนั่ง
หรือเราเห็นร่างกายมันกำลังหายใจ
แล้วเราก็มีความรู้สึกขึ้นมา
ร่างกายที่นั่งอยู่นี่มันถูกรู้อยู่
ร่างกายที่หายใจนี่มันถูกรู้อยู่
1
เราไม่ต้องไปหาว่าผู้รู้อยู่ที่ไหนหรอก
แค่เรารู้ว่าร่างกายกำลังถูกรู้
จิตซึ่งมันมีสมาธิอยู่ดีแล้วมันจะเห็นเองว่า
ร่างกายนี้เป็นส่วนหนึ่ง เป็นของถูกรู้
จิตซึ่งตั้งมั่นอยู่นี่ เป็นผู้รู้ผู้ดู
จิตกับร่างกายก็จะแยกออกจากกัน
การแยกขันธ์ แยกกาย แยกใจ แยกรูป แยกนาม
คือจุดตั้งต้นของการเจริญปัญญา
ก่อนจะเกิดวิปัสสนาปัญญา
ก่อนจะเกิดโลกุตตรปัญญา
ปัญญามีหลายระดับ ก่อนจะเกิดวิปัสสนาปัญญา
เราต้องฝึกแยกรูปแยกนามให้ได้ก่อน
อย่างตอนนี้ร่างกายมันนั่ง เรารู้สึกลงไป
เออ ร่างกายมันนั่ง ร่างกายที่นั่งถูกรู้อยู่
บางคนกำลังหาว หาวอย่างนี้
เราเห็นร่างกายที่กำลังหาวเป็นของถูกรู้ถูกดู
หรือเวลาเราเดิน
เดินจงกรมหรือเราจะไปเดินช็อปปิงก็ได้
เดินตรงไหนก็ได้
แล้วเราก็รู้สึกขึ้นมาร่างกายมันเดิน ใจเราเป็นคนรู้สึก
กายกับใจมันเป็นคนละอันกัน
ฉะนั้นเราแยกให้ออกกายกับใจเป็นคนละอันกัน
อย่างนี้เรียกว่าเราเริ่มแยกรูปแยกนามได้แล้ว
เป็นการเจริญปัญญาในขั้นต้นแล้ว เป็นขั้นต้นแล้ว
เราฝึกให้จิตใจเราตั้งมั่นขึ้นมา
พอเราเดิน เราก็รู้เห็นร่างกายมันเดินด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นแล้ว
มันจะรู้สึกเลยร่างกายนี้อันหนึ่ง
จิตใจนี้เป็นอีกอันหนึ่ง
คนละอันกัน
อย่างหลวงพ่อขยับมืออย่างนี้ เรามีสติอยู่
เรารู้สึกร่างกายที่เคลื่อนไหวมันถูกรู้อยู่ มันถูกรู้
ใครเป็นคนรู้ จิตมันเป็นคนรู้
เวลาร่างกายเคลื่อนไหวเรารู้สึก
อย่างเดินจงกรมแล้วเห็นร่างกายมันเดิน
นั่งอยู่เราเห็นร่างกายมันนั่ง ใจเป็นคนรู้
เดินอยู่ร่างกายเป็นคนเดิน ใจเป็นคนรู้
ไม่ต้องหาว่าใจอยู่ที่ไหน
แค่รู้ว่าร่างกายมันถูกรู้ ตัวรู้มันจะมีขึ้นมาเอง
แต่ถ้าเราฝึกสมาธิมาเป็นลำดับๆ
อย่างที่หลวงพ่อบอกทีแรก ตัวรู้เราจะเด่น
เราจะรู้เลยตัวรู้มันเด่นดวงขึ้นมา
ร่างกายนี้มันถูกรู้ถูกดู
ตรงนี้เป็นจุดตั้งต้นที่จะเจริญวิปัสสนาแล้ว
ตรงนี้เป็นปัญญาขั้นต้น ปัญญาขั้นที่หนึ่ง
ปัญญามีทั้งหมด 16 ขั้น
ปัญญาขั้นที่หนึ่ง คือการแยกได้
กายกับใจแยกออกจากกันได้
รูปนามแยกออกจากกันได้
ต่อไปเราก็แยกละเอียดต่อไปอีก
ร่างกายนี้ถ้าจะแยกให้ละเอียดออกไป
ร่างกายเป็นอะไร ร่างกายเป็นธาตุ
มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
แต่เราไม่ต้องเรียนเยอะขนาดนั้น
เราก็แค่รู้สึกว่าร่างกายกับจิตใจมันคนละอันกัน
คอยรู้สึกอยู่แค่นี้
ทุกคนลองทดลอง ลองยิ้มสิยิ้ม ยิ้ม ยิ้มหวานๆ
ยิ้มเหมือนมีคนมาบอกรักเรา ยิ้ม ลองยิ้มสิ
รู้สึกไหมร่างกายยิ้ม
ต้องส่องกระจกไหมถึงจะรู้ว่ากำลังยิ้มอยู่ … ไม่ต้อง
เรารู้ รู้ไหมร่างกายยิ้ม
ลองทำหน้าบึ้งสิเหมือนกำลังโกรธ ลองทำหน้าโกรธ
เรียนกรรมฐานเสร็จแล้วไปเป็นดาราได้เลย
สั่งให้โกรธก็หน้าโกรธได้ ทำหน้าบึ้งหน้าโกรธ
รู้สึกไหมหน้าเรา หน้าโกรธเป็นอย่างนี้
หน้ายิ้มเป็นอย่างนี้
เห็นไหมร่างกายนี้มันถูกรู้
เห็นไหมหน้าตาเราตอนนี้มันถูกรู้
มันเป็นอย่างไรคอยรู้ไว้
แล้วเราจะเห็นเลยว่าร่างกายกับจิตใจ มันคนละอันกัน
ร่างกายมันถูกรู้
ยกมือๆ ก็เห็นร่างกายมันเคลื่อนไหว
มันก็รู้ด้วยความรู้สึก
ไม่ต้องไปนั่งดูอย่างนี้ ไม่ต้อง
รู้ได้ด้วยความรู้สึก
อย่างหน้ายิ้มหน้าบึ้งอะไรอย่างนี้
เราไม่ต้องส่องกระจก
ไม่ได้ดูด้วยตา แต่เรารู้ด้วยความรู้สึก
1
ร่างกายมันขยับเราก็รู้ด้วยความรู้สึก
ร่างกายมันยืน มันเดิน มันนั่ง มันนอน
เราก็รู้ด้วยความรู้สึก
แล้วเราจะเห็นเลยว่าร่างกายกับจิตใจนี้เป็นคนละอันกัน
จิตใจเป็นผู้รู้ผู้ดู ร่างกายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกดู
การแยกขันธ์ยังแยกให้ละเอียดต่อไปได้
อันแรก แยกกายกับใจออกจากกันได้
เรียกว่าแยกรูปกับวิญญาณออกจากกันได้
ได้ 2 ขันธ์แล้ว
ทีนี้มาดูในใจเรา
ในใจเราเดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยๆ
สังเกตดู ใจเราตอนนี้มันสุข หรือมันทุกข์ หรือมันเฉยๆ
ยากไหมที่จะรู้ ไม่เห็นยากตรงไหนเลย
กำลังกลุ้มใจรู้ว่ากลุ้มใจ
กำลังสบายใจรู้ว่าสบายใจ ไม่เห็นจะยากเลย
แต่มันยากสำหรับคนทั่วไป
เพราะเวลากลุ้มใจ มันจะไปคิดถึงเรื่องราวที่ทำให้กลุ้ม
เวลาสบายใจ มันก็เพลินดูต้นไม้สวยๆ ดูทะเลสวยๆ
ดูผู้หญิงสวยๆ มันเพลินไป
มันไม่ได้ดูว่าตอนนี้ใจกำลังมีความสุขอยู่
การที่จะดูว่าใจเราสุข หรือใจเราทุกข์ หรือใจเราเฉยๆ
ทุกคนดูได้ ง่ายที่สุดเลย ไม่มีอะไรลึกลับเลย
เพียงแต่ใส่ใจสนใจที่จะรู้เท่านั้นเอง
คนทั่วไปพอมีความสุข
อย่างมีความสุขในใจเกิดขึ้น ก็ไม่ยอมรู้ว่าใจกำลังมีความสุข
แต่กลับไปสนใจสิ่งที่ทำให้ใจมีความสุข
เช่น ได้ยินเสียงเพลงเพราะๆ อะไรอย่างนี้
มัวแต่เพลินหลงไปฟังเพลง
ไม่รู้ว่าใจกำลังมีความสุขอยู่
เพราะฉะนั้นการที่เราจะคอยรู้ว่าตอนนี้ใจเราสุข
หรือใจเราทุกข์ หรือใจเราเฉยๆ อะไรนี่
ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร
ถ้าเราดู หัดดูอย่างที่หลวงพ่อบอกเรื่อยๆ
ต่อไปเราก็จะเห็นความจริง
ความรู้สึกสุข มันผ่านมาแล้วก็ไป
ความทุกข์ผ่านมาผ่านไป
ความเฉยๆ ผ่านมาผ่านไป
มันเป็นของถูกรู้ถูกดูทั้งหมดเลย
มันเหมือนร่างกายเรา
เหมือนร่างกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน
หายใจออก หายใจเข้า
เคลื่อนไหว หยุดนิ่ง เป็นของถูกรู้ถูกดู
จิตเป็นคนรู้คนดู
พอความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ
ก็ของถูกรู้ถูกดูเหมือนกัน
ความสุขเกิดขึ้นเรารู้ ความทุกข์เกิดขึ้นเรารู้
เฉยๆ เกิดขึ้นเรารู้
พอเราเห็นว่ามันเป็นแค่ของถูกรู้ถูกดู
จิตผู้รู้ผู้ดูมันก็เกิดขึ้นเอง มันก็จะมีขึ้นมา
เราพยายามฝึกตัวเอง ฝึกเรื่อยๆ สังเกตไป
ค่อยๆ แยกไป
ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ
ไม่ใช่จิต มันเป็นแค่สิ่งที่จิตไปรู้เข้า
คนในโลกมันหลงอยู่ที่ความสุขความทุกข์นี่ล่ะ
อยากจะมีความสุขมันก็ดิ้นรนวุ่นวาย
บางทีก็ทำร้ายผู้อื่น ทำร้ายสัตว์อื่นสารพัดที่จะทำเลย
ทุกสิ่งทุกอย่าง หวังว่าจะมีความสุข
อย่างอยากรวยเยอะๆ คิดว่ารวยแล้วจะมีความสุข
คนรวยแล้วกลุ้มใจเยอะแยะไป
ไม่ได้มีความสุขเสมอไปหรอก
แทนที่เราจะมาวุ่นวายกับโลกข้างนอก
เราสังเกตจิตใจของเรา
มันมีความสุขเกิดขึ้นเรารู้
มันมีความทุกข์เกิดขึ้นเรารู้
เฉยๆ เกิดขึ้นเรารู้ หัดรู้ไปเรื่อย
เราจะเห็นว่า
ความสุขความทุกข์ ยังไม่ใช่จิตใจของเราหรอก
เป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาชั่วคราวเท่านั้นเอง
ต่อไปเราก็หัดแยกทางจิตใจของเราให้ละเอียดขึ้นไปอีก
สิ่งที่อยู่ในใจเราไม่ได้มีแค่ความสุขความทุกข์
แต่มันมี กุศล อกุศลด้วย
อย่างโลภ โกรธ หลง นี่ก็เกิดในใจเรา เราก็สังเกตไป
อย่างใจเราโกรธขึ้นมา
เราก็เห็นความโกรธมันเกิดขึ้น แล้วก็ผ่านไป ดับไป
ความโลภมันเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป ค่อยๆ เห็นไป
ความโลภ ความโกรธ ความหลง อะไรนี่
มันไม่ใช่จิตหรอก มันเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า
ฉะนั้นเวลาโกรธ คนทั่วไปคิดว่า
คนทั่วไปจะไม่รู้เลยกายใจของตัวเอง
มันจะไปสนใจคนที่ทำให้เราโกรธ
คนทั่วๆ ไปจะเป็นอย่างนั้น
ผู้ปฏิบัติที่ดีขึ้นมาหน่อยก็จะเห็นว่าเราโกรธ
ตอนนี้เรากำลังโกรธแล้ว
ผู้ปฏิบัติที่เก่งขึ้นไปอีกก็จะเห็นเลยว่า
ตอนนี้ความโกรธเกิดขึ้น จิตเป็นคนรู้ว่าโกรธ
จิตไม่ได้โกรธ จิตเป็นแค่คนรู้ว่าโกรธ
มันจะค่อยๆ พัฒนาความสามารถของจิตใจเราขึ้นมา
อย่างคนทั่วไปเห็นไหม
โกรธนี่มันก็ไปสนใจคนที่ทำให้โกรธ
รัก มันก็ไปสนใจคนที่ทำให้เรารัก
ปฏิบัติในเบื้องต้นมันก็จะเห็นว่า
ตอนนี้เรากำลังรัก ตอนนี้เรากำลังโกรธ
พอปฏิบัติเข้มแข็งขึ้น จะเห็นว่า
ความรักหรือความโกรธ มันเป็นของแปลกปลอมเข้ามาในใจเรา
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปชั่วคราวเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็ไปแล้ว
เฝ้ารู้เฝ้าดูจะเห็นว่าจิตใจที่เป็นคนรู้มันอยู่ต่างหาก
ไม่เกี่ยวกัน
พอเราแยกอย่างนี้ได้
แยกรูปคือร่างกายออกไป แยกเวทนาออกไป
แยกสังขารคือความปรุงดีปรุงชั่วออกไป
แยกจิตวิญญาณเป็นตัวรับรู้ออกไป
แยกออกจากกัน
เราก็จะเจริญปัญญาได้ในขั้นวิปัสสนาแล้ว ต่อไปนี้
แยกกาย แยกใจ แยกเวทนา แยกสังขาร
แยกจิตวิญญาณอะไรอย่างนี้
อันนี้เป็นปัญญาเบื้องต้น
ยังไม่เห็น ยังไม่ถึงขั้นเจริญวิปัสสนา
ตรงที่จะเจริญวิปัสสนานี่คือ
พอเราแยกกายออกไปส่วนหนึ่ง
เวทนาออกไปส่วนหนึ่ง
สังขารความปรุงดีปรุงชั่วส่วนหนึ่ง
จิตอยู่ส่วนหนึ่ง
พอแยกออกจากกันแล้วค่อยๆ สังเกตไป
ทุกๆ สิ่งนั้นเป็นของที่เกิดแล้วดับทั้งสิ้น
ค่อยๆ ดูอย่างนี้
นี่เรียกว่าเราเริ่มดูเจริญปัญญาแล้ว
เช่น เราเห็นร่างกายที่หายใจออก
หายใจออกแล้วร่างกายที่หายใจออกก็ดับ
มีร่างกายที่หายใจเข้าขึ้นมาแทนที่
ร่างกายหายใจเข้าอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ
มีร่างกายที่หายใจออกมาแทนที่
หรือเราเห็นร่างกายนั่งอยู่มันก็ไม่ได้นั่งตลอด
ประเดี๋ยวมันก็ต้องลุกขึ้นมาเดิน
หรือลงไปนั่งแล้วเดี๋ยวก็นอน
ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ
ทำไมมันต้องเปลี่ยนอิริยาบถ เพราะมันทุกข์
มันถูกความทุกข์บีบคั้น
เราดูลงในร่างกายเรื่อยๆ จิตเป็นคนรู้คนดู
เราก็จะเห็นร่างกายเดี๋ยวก็ต้องหายใจออก
ร่างกายเดี๋ยวก็หายใจเข้า
ร่างกายเดี๋ยวก็ยืน เดี๋ยวก็เดิน เดี๋ยวก็นั่ง เดี๋ยวก็นอน
ร่างกายเดี๋ยวก็เคลื่อนไหว ร่างกายเดี๋ยวก็หยุดนิ่ง
เคลื่อนไหวตลอดแล้วเป็นอย่างไร
เคลื่อนตลอดเวลาทุกข์ไหม
ขยับมืออย่างนี้ทั้งวันทุกข์ไหม มันก็ทุกข์
ร่างกายก็ทรมาน
ฉะนั้นเราต้องหยุดขยับ นิ่งๆ
เพื่อแก้ทุกข์ของการเคลื่อนไหว
การเห็นความจริง เรียกว่า วิปัสสนา
ถ้าเรามีสติรู้อยู่ในร่างกายเรา จิตเป็นคนรู้คนดูอยู่นี่
ต่อไปเราจะเห็นความจริงของร่างกาย
การเห็นความจริงนั่นล่ะเรียกว่าวิปัสสนา
การที่เราเห็นกาย การที่เราเห็นใจตรงนั้นเรามีสติ
แต่ตรงที่เราเห็นว่าร่างกายมีแต่ความทุกข์บีบคั้นอยู่
ตรงนี้เราขึ้นเจริญปัญญาในขั้นวิปัสสนาปัญญาแล้ว
เราเห็นร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
หรือบางคนก็เห็นร่างกายเป็นแค่วัตถุ
หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก
หายใจออกแล้วก็หายใจเข้า
มีธาตุไหลเข้า ธาตุอะไรไหลเข้าไป มีธาตุลมไหลเข้าไป
แล้วก็มีธาตุลมไหลออกไป กลับไปกลับมา
ร่างกายนี้เป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุเท่านั้นเอง
หรือกินอาหารเข้าไปใช่ไหม เสร็จแล้วก็ขับถ่ายออกมา
ร่างกายเป็นแค่วัตถุธาตุ
มีธาตุไหลเข้าไปแล้วก็มีธาตุไหลออกมา
ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเราของเราหรอก
วัตถุมันเป็นสมบัติของโลก
เพราะฉะนั้นร่างกายมันเป็นวัตถุ
มันก็เป็นของโลก มันไม่ใช่ของเรา
เราเริ่มเห็นสิ่งที่เรียกว่า อนัตตา แล้ว
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา เป็นสมบัติของโลก
ตรงนี้เรียกว่าเราเจริญวิปัสสนา
การเจริญวิปัสสนานี่จะต้องเห็นไตรลักษณ์อันใดอันหนึ่ง
เห็นกายเห็นใจเป็นอนิจจังก็ได้
เห็นกายเห็นใจเป็นทุกขังก็ได้
เห็นกายเห็นใจเป็นอนัตตาก็ได้
เห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
เห็นอย่างใดอย่างหนึ่งว่าอนิจจังก็ได้
หรือทุกขังก็ได้ หรืออนัตตาก็ได้
อย่างดูร่างกายนี่ ตัวที่เห็นได้ง่าย คือ ตัวทุกข์
ลองนั่งแล้วไม่ขยับสิ แป๊บเดียวก็ทุกข์แล้ว เมื่อย
ที่เรานั่งแล้วต้องขยับไปขยับมา
เพราะมันเมื่อย มันทุกข์
ร่างกายนี้ถูกความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นเรามีสติระลึกรู้อยู่ในกายเนืองๆ
เราจะเห็นเลยร่างกายนี้ไม่ใช่ของดีของวิเศษ
ร่างกายนี้เป็นตัวทุกข์
ถ้ารู้อย่างนี้มันได้อะไรขึ้นมา
วันหนึ่งเราแก่ร่างกายเราเคลื่อนไหวไม่ค่อยไหวแล้ว
หรือเราไม่สบายมาก นอนติดเตียงแล้วทรมานมากเลย
คนซึ่งไม่เคยฝึกกรรมฐานมันจะทุรนทุรายกลุ้มใจ
แต่คนที่เคยฝึกกรรมฐานมันจะเห็นว่า
ธรรมดาของร่างกายมันเป็นอย่างนี้
คือธรรมดาของร่างกายมันต้องแก่
มันต้องเจ็บ มันต้องตาย
เราเคยฝึกกรรมฐาน
เราเคยรู้แล้วร่างกายไม่ใช่ของวิเศษอะไร
มีแต่ความทุกข์
เพราะฉะนั้นมันจะแก่ มันจะเจ็บ มันจะตาย
เป็นเรื่องธรรมดา
พอเราเห็นว่าร่างกายมีธรรมดา
ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ยอมรับตรงนี้ได้
พอเราแก่มันจะไม่กลุ้มใจเพราะมันเรื่องธรรมดา
เวลาเราเจ็บเราก็ไม่กลุ้มใจเพราะมันเรื่องธรรมดา
เราเห็นร่างกายเจ็บอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
หายใจเข้าก็เจ็บใช่ไหม
เดี๋ยวก็ทรมานก็ต้องหายใจออก
หายใจออกก็เจ็บอีกแล้วก็ต้องหายใจเข้าแก้ทุกข์
นี่มันมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา
คนทั่วไปมันไม่เคยเห็น
แต่เรามาฝึกกรรมฐานเราเห็น
ร่างกายมันมีความทุกข์ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ฉะนั้นการที่มันจะเจ็บมันจะป่วยอะไร
ใจมันไม่หวั่นไหวหรอก มันรู้สึกว่าธรรมดา
ถ้ายอมรับคำว่าธรรมดาได้
คำว่า ธรรมะ กับคำว่า ธรรมดา นี้คำเดียวกัน
คำว่า ธรรมะ ธรรมดา
เฝ้ารู้เฝ้าดูจนใจมันยอมรับความจริง
ร่างกายมีธรรมดาต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
มีแต่ความทุกข์บีบคั้นอยู่
เวลาจะตายจริงๆ มันจะไม่กลุ้มใจไม่เสียดายแล้ว
ตัวทุกข์มันจะตาย เสียดายไหม
ตัวทุกข์จะตายเราไม่เสียดาย
แต่ถ้าตัวดีๆ ของเราตายเราถึงจะเสียดาย
แต่เพราะเราเห็นความจริงเสียแล้ว
ร่างกายมันตัวทุกข์ มันทุกข์จริงๆ
คนในโลกมันหนีความจริง
มันทำเป็นเผลอๆ เพลินๆ ไป
แต่ถ้าเรามีสติรู้สึกในกายจริงๆ มันคือทุกข์ทั้งนั้นเลย
ฝึกตัวเองให้เห็นความจริง
พอเราเห็นความจริงของกายแล้ว
เราจะไม่ทุกข์เพราะร่างกายอีกต่อไปแล้ว
ร่างกายเจ็บมันเรื่องของร่างกาย
ร่างกายแก่ก็เรื่องของร่างกาย
ร่างกายจะตายก็เรื่องของร่างกาย
ใจเราสบาย ใจเราเป็นกลาง
มีความสุข มีความสงบ
ในขณะที่คนอื่นทุกข์ทรมานแทบแย่ เราสบาย
นี่ค่อยๆ ฝึกตัวเอง
ทีนี้มาดูทางด้านจิตใจบ้าง
เราไม่ได้มีแต่ร่างกาย เรามีจิตใจด้วย
เราก็เฝ้ารู้เฝ้าดูไปเลย
ความสุขมันมาแล้วก็ไป
ความทุกข์มันมาแล้วก็ไป
ฉะนั้นเราจะบ้าแสวงหาความสุขอะไรนักหนา
บางคนก็ดิ้นรน เหนื่อยแทบแย่เลย
ทำมาหากินหวังว่ารวยเยอะๆ แล้วจะมีความสุข
หลวงพ่อก็เห็นเยอะแยะคนรวยๆ ไม่ได้มีความสุขก็มี
กลุ้มใจ รวยมากแล้วไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหน
จะไปฝากธนาคารเดี๋ยวธนาคารก็จะล้ม
จะไปลงทุนอะไรดี เดี๋ยวหุ้นก็ตก
อย่างโน้นอย่างนี้มีเรื่องกลุ้มตลอดเลย
หรือโจรมันจะมาปล้น คนรวยๆ ก็มีความทุกข์
ฉะนั้นเราดูให้ดีเถอะ คนในโลกนี้อยากได้ความสุข
คนในโลกนี้อยากพ้นทุกข์ อยากไม่เจอความทุกข์
แล้วคนมันไม่ฉลาดก็คิดว่าถ้ารวยๆ แล้วจะสุข
ทั้งๆ ที่ความจริงรวยแล้วก็ยังไม่สุข
มีเมียสวยๆ แล้วจะมีความสุข
ลองมีดูสิแล้วก็จะรู้ว่ามันยังไม่สุขหรอก
เดี๋ยวมันก็ทุกข์อีก
อย่างเรารักใครสักคน
เราคิดว่าเราอยู่กับคนที่เรารักแล้วเราจะมีความสุข
แต่เวลาเราไปอยู่กับคนที่เรารัก
เราจะเสียอิสรภาพบางส่วนไป
เราจะต้องเอาใจเขาใช่ไหม ต้องคอยเอาใจ
พูดไม่เข้าท่าเราก็ต้องทำเป็นยิ้มๆ อะไรอย่างนี้
1
หรือสามีเราเอะอะโวยวาย
เราก็รักเขาไม่กล้าทิ้งเขา
เราก็เสียความเป็นตัวของเราเอง
ฉะนั้นเราคิดว่ามีความรักแล้วจะมีความสุข
ในความเป็นจริงไม่ใช่
เวลาเรามีความรัก
เราก็เสียอิสรภาพของเราไปบางส่วนแล้ว
ฉะนั้นเวลาคนในโลกนี้มันเที่ยวหาความสุข
แต่มันหาแบบไม่ฉลาด
มันคิดว่าถ้ามีอันนี้แล้วจะมีความสุข
ถ้าไม่มีอันนี้ถึงจะมีความสุข
มันไม่เห็นความจริงหรอก
ความสุขไม่ใช่ของที่ต้องดิ้นรนหาหรอก
เพราะดิ้นรนหาแทบตาย
มันอยู่แป๊บเดี๋ยวมันก็ไปแล้ว …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์​ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 กุมภาพันธ์ 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา